ตอนที่แล้วSTBI : ตอนที่ 12 การฆ่าครั้งแรก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSTBI : ตอนที่ 14 129,600 อาณาเขต

STBI : ตอนที่ 13 แม่น้ำวิญญาณ


เช้าวันรุ่งขึ้น.

หลังจากออกกำลังกายมาตลอดทั้งคืนและแอบกลับไป ไป๋ตงหลิน ก็หลับอยู่ในห้อง และ ตื่นเช้าไปที่โรงอาหารเพื่อกินอาหารโดยทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในวันธรรมดา นายน้อยสิบสามคนนี้ ได้วิ่งไล่ สุนัข จับไก่ และ เล่นกับนก ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาออกไปล่าสัตว์ปีศาจบนภูเขาเฮยเฟิงเพียงลำพัง

หลังจากเสร็จธุระเมื่อคืน เขาก็ซ่อนทุกสิ่งอย่างเอาไว้อย่างมิดชิด

เมื่อเขากำลังจะก้าวเข้าไปในโรงอาหาร ก็มีเสียงดังมาไกลจากข้างนอกและเขาได้ยินเสียงตะโกนดังชัดเจน

“คุณชายรองกลับมาแล้ว! คุณชายรองกลับมาแล้ว!”

“พี่รองกลับมาแล้วงั้นเหรอ?”

ไป๋ตงหลิน ไม่มีอารมณ์กินข้าวอีกต่อไป เขาได้หายตัวไปในทันที

โดยทิ้งเด็กในตระกูลไป๋ที่หลงเหลือไว้ด้วยท่าทีตกตะลึง

“เมื่อกี้ ข้าเห็น นายน้อยสิบสาม ทางทิศตะวันออก”

“แต่ตอนนี้เขากลับหายตัวไปแล้ว เจ้าลองหยิกข้าที ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่ตื่น!”

“โอ้ยย!”

เด็กหนุ่มคนนึงได้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

ที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลัก

ในเวลานี้ ภายในห้องโถงต่างเต็มไปด้วยผู้คน และ เหล่าลูกหลานของตระกูลไป๋ บรรดา ผู้อาวุโสที่มักจะมองไม่เห็นเงา ต่างก็มาที่นี่ด้วยความตื่นเต้น เพราะ คุณชายรองของพวกเขา คือนักพรตเต๋าเพียงคนเดียวในตระกูลไป๋ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ไป๋ตงหลิน มองเห็น ไป๋เจียง เดินออกมาจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว รูปร่างของเขาค่อนข้างสดใสและเป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก

เกี่ยวกับเรื่องนี้เขาต้องยอมรับเลย

แม้ว่าเขาจะคิดว่าตนเองจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาด้อยไปกว่าพี่รองของเขา แต่รัศมีความเปล่งประกายของอีกฝ่ายกลับเหนือล้ำกว่าเขายิ่งนัก

คล้ายกับว่าอีกฝ่ายเป็นเทพบุตรก็มิปาน

ในเวลานี้ ไป๋เจียง รับรู้ได้ถึงการจ้องมองอย่างรุนแรง เขาได้หันศีรษะกลับไปและพบ ไป๋ตงหลิน เขาได้ปรายตามองอย่างตื่นเต้น

“พี่รอง!”

“น้องชาย!”

หลังจากพี่น้องพบกันก็คือการแสดงการทักทายที่บ่งบอกถึงความเคารพโดยธรรมชาติ

บรรยากาศงานเลี้ยงครอบครัวได้มีชีวิตชีวาอยู่พักนึง หลังจากผละตัวออกมา ไป๋ตงหลิน และ ป้าของเขา ก็พา ไป๋เจียง และ ศิษย์พี่หลิวอี้ ไปที่ตำหนักจื่อหยุนในทันที

“น้องชาย ข้าไม่ได้พบเจ้าเพียงแค่ 3 ปี ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แม้แต่ร่างกายก็ดูกำยำมากยิ่งขึ้น”

แน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของ ไป๋ตงหลิน ไม่สามารถหลุดพ้นสายตาวิเศษของนักพรตเต๋าอย่างไป๋เจียงไปได้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบัง

“พี่รอง ก่อนหน้านี้ข้าพบว่าร่างกายของข้ามีความสามารถในการฟื้นฟูที่แข็งแกร่ง ดังนั้นข้าจึงได้ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายจนสามารถฝึกฝนร่างกายมาถึงสถานะปัจจุบันได้”

หลิวอี้ ได้มองดูอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก นางเคยเห็น นักพรตเต๋าที่มีร่างกายและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป และ ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายเช่นนี้ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก

เพราะถ้าเจ้าของร่างไม่มีความสามารถในการฝึกฝนพลังปราณมันก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปโดยทันที

เพียงแต่ว่า ไป๋ตงหลิน เพียงให้คำอธิบายเรื่องนี้แก่ ไป๋เจียง เพียงเท่านั้น

หลี่อี้ชิว ได้รีบตรวจสอบร่างกายของ ไป๋ตงหลิน เป็นการส่วนตัว หลังจากไม่พบความผิดปกติใด ๆ นางก็ถอนหายใจออกมา

“ไม่คิดเลยว่า หลินเอ๋อร์ จะมีพรสวรรค์เช่นนี้ อีกไม่กี่วัน ท่านพ่อของเจ้าก็จะกลับมา บางทีหากเขารู้เรื่องนี้ เจ้าคงจะได้รับอนุญาติให้เข้าไปในอารามอู๋”

ไป๋ตงหลิน ได้กล่าวขอบคุณและเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้มากเกินไป

ทั้ง 4 คน ได้ดื่มชมและนั่งเล่นในบ้าน จากนั้นจึงออกไปให้อาหารนก และ สุดท้ายก็ตบด้วยอาหารเย็นก่อนที่จะแยกย้ายกัน

ไป๋ตงหลิน ได้กลับไปที่ ตำหนักฉิงโหยว และ เตรียมชารอให้พี่รองของเขามา

ผ่านไปครู่นึง แสงกระบี่ก็ตกลงที่สนามหน้าบ้านของเขา

“พี่รองมาดื่มชากันเถอะ!”

“เข้าใจแล้ว”

ไป๋เจียง ได้ยิ้มออกมา และ นั่งลงข้างหน้าเขา พร้อมกับจิบชาจากถ้วย

“พี่รอง ข้าอยากจะฝึกฝนการบ่มเพาะพลัง”

ไป๋ตงหลิน ได้กล่าวออกมาโดยตรง และ ไม่จำเป็นจะต้องก้มหน้าต่อหน้าพี่รองของเขา

ไป๋เจียง ที่ขยับถ้วยน้ำชาได้หยุดมือและมองดูน้องชายของเขาด้วยความประหลาดใจ

แม้ว่าเขาจะคาดหวังอยู่แล้วว่าน้องชายของเขาคงจะมีอะไรบางอย่างในใจ แต่เขาไม่คิดเลยว่า น้องชายของเขาจะพูดออกมาตรง ๆ เช่นนี้

เหตุผลที่เขามาที่นี่คืนนี้ ก็เพราะว่า น้องชายของเขา เพิ่งจะอายุ 10 กว่าปี แต่ก็เริ่มฝึกฝนศิลปะต่อสู้อย่างลับ ๆ โดยไม่บอกใคร

การฝึกฝนร่างกายเป็นเรื่องที่ยากมาก

หากไม่มีจิตใจและความอดทนไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนได้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลไป๋ ก็นับเป็นตระกูลผู้ฝึกยุทธ์เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าคนในตระกูลส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นปรับแต่งร่างกาย แต่ก็มีในระดับดินแดนปราณแท้จริงจำนวนมากภายในตระกูล

นอกจากนี้ ดินแดนปราณแท้จริง ก็ยังเป็นขีดจำกัดของผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาทั่วไป

แต่เห็นได้ชัดว่า เป้าหมายของน้องชายของเขาไม่ใช่แค่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาทั่วไปแต่เป็นนักพรตเต๋า!

“เดิมข้าก็มาหาเจ้าด้วยเหตุผลนี้เหมือนกัน ยังไงก็เถอะ ก่อนหน้านั้นมาทดสอบกันก่อนเป็นไง!”

หลังจากพูดจบ ไป๋เจียง ก็หยิบผลึกคริสตัลใสออกมาจากแหวนเก็บของ ของเขา

แหวนมิติ! ดวงตาของ ไป๋ตงหลิน เปล่งประกายในทันที สิ่งนี้เป็น อุปกรณ์เก็บของแบบพกพาที่สะดวกเป็นอย่างมากสำหรับการเดินทาง

“นี่คือ ผลึกวิญญาณ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากพลังฟ้าดิน มันสามารถใช้ตรวจสอบคุณสมบัติได้”

ไป๋เจียง ได้กล่าวแนะนำ ผลึกวิญญาณ นี้อย่างละเอียด

ปรากฏว่า มีสิ่งของที่ใช้ทดสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้

โดยปกติแล้ว สิ่งนี้ จะถูกกำหนดโดย โชคชะตา และ เหตุผล นี่คือความหมายความเป็นมาของมัน

ว่ากันว่าทุกชีวิตล้วนมีจิตวิญญาณ และ แก่นแท้ของวิญญาณ

หลังจากสูญสิ้นชีวิต วิญญาณก็จะสลายหายไปท่ามกลางสวรรค์และปฐพี ส่วนวิญญาณเหล่านั้นจะไปที่ใด เป้าหมายก็คือ แม่น้ำแห่งวิญญาณ

แก่นแท้ของวิญญาณนั้นตั้งรกรากอยู่ในแม่น้ำวิญญาณ และ ถูกชำระล้างโดยสายน้ำในแม่น้ำ หลังจากได้รับการชำระล้าง แก่นแท้ของวิญญาณก็จะกลายเป็นบริสุทธิ์ และ ได้รับโอกาสในการกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง

โดยความสามารถของการฝึกฝนของบุคคลนั้น ๆ จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตวิญญาณในแม่น้ำแห่งวิญญาณ

เมื่อทารกแรกเกิดลืมตาขึ้นมามองดูโลก ทะเลแห่งจิตวิญญาณก็จะปรากฏขึ้นมาโดยเผยให้เห็นเป็นแสงสีต่าง ๆ

โดยแสงสีเหล่านี้แบ่งออกเป็น แดง,ส้ม,เหลือง,เขียว,ฟ้า,คราม และ ม่วง

คนส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติเป็นสีแดงจาง ๆ กล่าวให้ถูกก็คือ เป็นมนุษย์ที่มีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมแก่การบ่มเพาะพลัง และ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะพลังอมตะ

เพราะ สีแดงจาง ๆ คล้ายกับสีของผิวเด็กทารกแรกเกิด บางทีมันอาจจะมีความหมายถึงคำว่าธรรมดาในตัวของมัน

สำหรับ สีอื่น ๆ นั้นแตกต่างกันออกไป ยิ่งเป็นสีที่อยู่ด้านหลังและมีความเข้มข้น ก็จะยิ่งพิเศษ แต่ทว่าก็มีบางสีที่มีความผิดปกติด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ไป๋เจียง ที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม ในวันที่เขาเกิด ทัศนียภาพได้โบยบินและเป็นประกาย

ในคืนที่ ไป๋เจียง ปรากฏตัว นิกายใหญ่ ต่างก็รับรู้ได้อยู่ก่อนแล้ว

ดังนั้นพวกเขาจึงได้ส่งคนมาปกป้องเขาตั้งแต่เนิ่น ๆ และ เมื่อเขาเติบโตเต็มที่ เขาก็ได้ถูกรับไปเลี้ยงตอนอายุ 6 ปี

เช่นเดียวกับ อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ มันยากยิ่งที่จะถูกกลบฝังในโลกนี้

แน่นอนว่า พรสวรรค์ไม่ได้หมายความถึงทุกสิ่ง บางคนก็สามารถลุกขึ้นมาจากจุดสิ้นหวังได้ บางครั้งโชคและความพยายามก็สำคัญยิ่งกว่าพรสวรรค์

ตราบใดที่มี สีของทะเลวิญญาณตั้งแต่สีส้มขึ้นไป ก็จะสามารถสัมผัสกับพลังปราณและกลายเป็นนักพรตเต๋าได้

แสงสีส้มอ่อน ๆ ก็พอกับสีแดง มันง่ายต่อการมองข้าม วันนี้ หลังจากเขาได้ยินเกี่ยวกับความสามารถในการฟื้นตัวของ ไป๋ตงหลิน เขาก็สงสัยว่า น้องชายของเขา อาจจะมีสีของทะเลวิญญาณเป็นสีส้ม

“น้องชาย วางผลึกวิญญาณไว้บนหน้าผากของเจ้า ข้าจะตรวจสอบดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะเริ่มต้นเส้นทางการบ่มเพาะพลังหรือไม่!”

ไป๋ตงหลิน ได้ทำตาม และ ทดสอบสีของทะเลวิญญาณภายในร่างกาย

ทว่าทุกสิ่งกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง

ทะเลวิญญาณของเขาได้เปล่งสีดำออกมา สิ่งนี้ ไม่มีแม้แต่สีวิญญาณในโลกนี้ และ ไม่ได้รับการจดทะเบียนใด ๆ เอาไว้

แน่นอนว่า ผลึกวิญญาณ บนหน้าผากของเขา ไม่ได้มีการตอบสนองใด ๆ

ไป๋เจียง ขมวดคิ้วแน่น และ หยิบผลึกวิญญาณมาทดสอบบนหน้าผากของเขา แสงสีฟ้าระยิบระยับได้ส่องประกายขึ้น

ร่องรอยของความเสียใจได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของ ไป๋เจียง

ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสร่องรอยของคุณสมบัติในตัวของน้องชายไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายไม่มีคุณสมบัติพอสำหรับการฝึก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด