ตอนที่แล้วบทที่ 30 ใช้ภาษาสัตว์อย่างชาญฉลาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 เข้าร่วมประลอง

บทที่ 31 คิดบัญชี


บทที่ 31

คิดบัญชี

ในระหว่างการเดินทาง เฉินเฉียงได้ถามออกมา “ศิษย์พี่ สัตว์ประหลาดที่นี่ไม่ดุร้ายเลยอย่างนั้นหรือ”

กัวเหลียงที่ได้ยินก็ได้ถามออกมาอย่างสงสัย “ศิษย์น้อง ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่รึไงกัน เจ้าเองก็ผ่านด่านที่สามมาได้อย่างง่ายๆไม่ใช่เหรอ”

“ตอนนั้นข้านะ ข้าตื่นตระหนกพุ่งเข้าใส่จนเจ็บหนักเลยนะนั่น”

“เมื่อวานนี้ข้ากลัวจนทำอะไรไม่ถูกจนได้แค่ยืนเฉยๆน่ะ นี่เองก็เป็นหนึ่งในโชคที่ทำให้ข้าผ่านด่านที่สามมาได้สินะ”       เฉินเฉียงถามออกมาต่อ “แล้วทำไมสัตว์ประหลาดพวกนี้ถึงได้ภักดีนักล่ะ”

“เจ้าน่าจะพอได้ยินมาบ้างแล้วว่าสำนักเรานั้นมีแผนกวิญญาณ สัตว์ประหลาดเหล่านี้ถูกควบคุมโดยเหล่าศิษย์พี่ผู้     บ่มเพาะพลังวิญญาณเหล่านั้น”

“ดังนั้น เจ้าต้องระวังตัวหน่อยแล้วกันเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากับเหล่าผู้บ่มเพาะวิญญาณ พวกนั้นมีวิธีการโจมตีที่แปลกประหลาดมากเลยทีเดียว”

ผู้บ่มเพาะวิญญาณเหรอ

นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เฉินเฉียงได้ยินเทคนิคการโจมตีแบบนี้ หากว่าเขามีโอกาส ในอนาคตเขาต้องเรียนมันให้ได้อย่างแน่นอน

เมื่อทั้งสองได้มาถึงด้านนอกของบ้านพักของฮู่ต้าไฮ่      กัวเหลียงได้ให้เฉินเฉียงรออยู่ที่นี่และได้เดินจากไป

“ท่านอาจารย์ ศิษย์มาแล้ว”

เฉินเฉียงได้เดินเข้าไปในห้องของฮู่ต้าไฮ่เพื่อทำการคารวะ ในตอนนั้นเขาก็ได้พบศิษย์พี่หญิงสองคนยืนอยู่ในห้อง

“เฉินเฉียง ข้าแนะนำให้รู้จัก ทั้งสองคนนี้เป็นศิษย์พี่หญิงของเจ้า นั่นหนี่เฟิง ส่วนนั้น ชุยหยันหลัน”

หนี่เฟิง

เมื่อได้ยินชื่อนี้ เฉินเฉียงต้องหันไปมองในทันที

ตอนที่เขาสอบด่านที่สองตอนสอบเข้านั้น เขาได้ยินมาว่ากัวเหลียงนั้นได้ถูกทุบตีโดยหนี่เฟิง เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้ เขานั้นรู้สึกได้ว่าเธอเองก็ออกแนวหญิงร้ายและดิบเถื่อนตามที่ได้ยินมาจริงๆ แม้แต่ชุดของเธอเองนั้นก็ยังเป็นชุดสั้นสีแดงประกายและกระชับจนน่าอึดอัดแทน

ส่วนหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆนั้นดูไปแล้วอายุก็ไม่น่าจะเกินยี่สิบอย่างแน่นอน เธอนั้นดูดีงามและสูงสง่าอย่างบอกไม่ถูก ที่สำคัญก็คือ เธอดูมีเสน่ห์น่าดึงดูดสายตาแตกต่างจากหนี่เฟิงอย่างสิ้นเชิง

“อ้าว แล้วกัวเหลียงล่ะ” ฮู่ต้าไฮ่ที่เห็นเพียงเฉินเฉียงเท่านั้นได้ถามออกมา

“ศิษย์พี่กัวพาข้ามาที่นี่แล้วก็จากไปเลยครับ” เฉินเฉียงพูดความจริงออกมา

“ท่านอาจารย์ กัวเหลียงนั้นติดหนึ้ศิษย์น้องเฉินอยู่ห้าพันคะแนนตอนที่เขาสอบเข้ามา ตอนนี้เขานั้นพยายามที่จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากการเข้าร่วมประลองในสนามประลองเป็นตายในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ค่ะ”

เมื่อหนี่เฟิงพูดจบ เธอก็ได้ขบฟันตัวเองก่อนจะหันมามองเฉินเฉียง “ศิษย์น้อง ศิษย์พี่กัวนั้นสมควรแล้วที่ต้องได้รับบทเรียนแบบนี้ ตอนนี้เขาน่าจะหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ไปได้อีกสักประมาณครึ่งปีน่ะ”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ทำเพียงยิ้มและไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเองก็ได้ยินมาตั้งแต่วันแรกแล้วว่าศิษย์พี่กัวนั้นชอบพอในตัวศิษย์พี่หนี่เฟิง และดูเหมือนว่าด้วยนิสัยของศิษย์พี่หนี่เฟิงนี้ ศิษย์พี่กัวเองคงจะไม่ได้อยู่สบายไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

ฮู่ต้าไฮ่เองเมื่อได้ยินก็ได้หัวเราะออกมาและพูดออกมาว่า “เข้าร่วมประลองของสำนักงั้นรึ ก็ดี ห้าพันคะแนนนี้คงจะมากพอสำหรับเฉินเฉียงไปอีกพักใหญ่ เขาจะได้อยู่ฝึกที่นี่ได้อย่างเต็มที่แถมกัวเหลียงจะได้ฝึกฝีมือไปด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วล่ะ”

“เฉินเฉียง นำบัตรประจำตัวลูกศิษย์ส่งให้หยันหลันไปซะ แล้วค่อยให้เธอพาเจ้าไปยังห้องบ่มเพาะทีหลัง”

“ระดับการบ่มเพาะของเจ้านั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก จะดีกว่าหากเจ้าสามารถจะเปิดจุดชีพจรเพิ่มได้อีกสักจุดภายในหนึ่งเดือนนี้ หลังจากนั้นเจ้าจะได้กลายเป็นนักรบสายเลือดระดับทหารขั้นสูงได้”

“จงจำไว้ว่า อาจารย์จะให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดอนนี้หากไม่สามารถขึ้นไปยังระดับทหารขั้นสูงได้ ก็เก็บของออกไปจากสำนักได้เลย”

“หากว่าเจ้าไม่มีแต้มเพียงพอก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพียงเจ้าบอกอาจารย์ว่าต้องการอะไรแล้วอาจารย์จะหามาให้เจ้า” “ในช่วงนี้ เจ้าเพียงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มระดับขั้นการบ่มเพาะให้ได้เท่านั้น เข้าใจหรือไม่”

“ศิษย์ทราบแล้ว”

เฉินเฉียงได้นำบัตรประจำตัวศิษย์มอบให้ชุยหยันหลันและได้ออกจากประตูไป

“ศิษย์น้อง พี่ได้ยินมาว่าเจ้ามีถึงหกสายเลือด นี่น่าจะทำให้เจ้ายกระดับได้ยากมาก ตอนนี้เจ้าเปิดจุดชีพจรได้กี่จุดแล้ว”

ระหว่างทางนั้น ชุยหยันหลันได้ชวนเฉินเฉียงคุยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน

“ศิษย์พี่หญิงหยันหลัน ข้าเองพึ่งจะเปิดได้เพียงสามจุดเพียงเท่านั้น” เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

เขาเองในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นจุดชีพจร นี่จึงทำให้เขานั้นยังไม่อาจเปิดจุดชีพจรจุดต่อไปได้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวเข้าสู่นักรบสายเลือดระดับทหารขั้นสูงในตอนนี้

“ว่าไงนะ เพียงสามเองอย่างนั้นเหรอ” ชุยหยันหลันเปิดปากออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องยากลำบากเป็นแน่ หากว่าเจ้าไม่สามารถเปิดไปได้ถึงจุดที่ห้าในหนึ่งเดือน มีหวังอาจารย์ได้ไล่เจ้าออกไปแหงๆ”

“ศิษย์พี่หญิง ในหมู่ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มีใครบ้างรึยังที่บรรลุไปถึงขั้นนักรบสายเลือดระดับนายพลน่ะ”

“แน่นอนว่าย่อมมี นอกจากศิษย์พี่กัวแล้ว ตัวพี่ ศิษย์พี่ หนี่เฟิง และศิษย์พี่ใหญ่ ล้วนแล้วอยู่ในระดับนายพลทั้งสิ้น”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้านึกว่าอาจารย์ของเรานั้นมีศิษย์เพียงพวกเราซะอีก” “แล้วศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้อยู่ไหนล่ะ แล้วยังมีศิษย์พี่คนอื่นอีกหรือไม่”

“ศิษย์พี่ใหญ่นั้นในตอนนี้กำลังออกไปทำภารกิจ อีกพักหนึ่งเขาถึงจะกลับมา”

ด้วยการที่ทั้งสองนั้นพูดคุยกันไประหว่างทาง ทำให้ไม่นาน ทั้งสองก็ได้มาถึงยังห้องบ่มเพาะของสำนัก

“ศิษย์น้อง ข้าเองก็ไม่มีทางช่วยได้ทางอื่นนอกจากพามายังที่นี่ เจ้าเห็นอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องบ่มเพาะนั่นรึเปล่า เขาคือจางฉุน เจ้าสามารถเข้าไปบ่มเพาะได้หลังจากเข้าไปคุยกับเขาแล้ว”

ที่หน้าประตูหินเล็กบานหนึ่ง เฉินฉียงได้นำบัตรประจำตัวลูกศิษย์ออกมาและมอบให้ชายวัยกลางคนที่กำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้ “อาจารย์จาง ข้าชื่อเฉินเฉียงเป็นศิษย์ใหม่ของที่นี่ ข้าต้องการที่จะเข้าไปใช้ห้องบ่มเพาะเพื่อทำการบ่มเพาะพลัง”

ชายวัยกลางคนได้เปิดตาขึ้นมองไปยังบัตรประจำตัวศิษย์ของเฉินเฉียง เขาพูดออกมาอย่างช้าๆ “งั้นเจ้าก็คือเด็กใหม่ที่มาเมื่อวานนี้สินะ ด้วยระดับการบ่มเพาะทหารขั้นกลาง หกสายเลือด เหอะ ผู้อาวุโสฮู่นั้นคิดว่าตัวเองเก็บได้สมบัติชิ้นโต แต่ดันไปคว้าเอาขยะมาซะได้”

“เอาบัตรของเจ้ากลับไป ห้องแรก ค่าใช้จ่ายชั่วโมงละสิบคะแนน เหมาเป็นวันร้อยคะแนน”

จางฉุนได้กดปุ่มบนหน้าจอของกำไลสิ่อสารที่ข้อมือ หลังจากนั้นก็ยื่นมันไปใกล้กับกำไลของเฉินเฉียง และหนึ่งร้อยคะแนนของเขาก็หายไปจากกำไลข้อมือของเขาในทันที

เฉินเฉียงได้นำบัตรประจำตัวของเขาเก็บไป และเดินไปยังประตูหินที่อยู่ด้านในของประตูหินอีกที

เมื่อเขาก้าวเข้าไปแล้ว เขาได้ยินเสียงของจางฉุนได้อย่างถนัดชัดเจน “มีหกสายเลือด เดี๋ยวก็ต้องออกไปแล้ว จะมาเสียทรัพยากรของสำนักไปทำบ้าอะไรเนี่ย”

ที่ด้านใน เฉินเฉียงได้ทำการกดปุ่มที่เขาต้องการและสอดบัตรของตนไปในช่องที่อยู่ตรงที่จับของประตู ประตูหินก็ได้ปิดลงในทันที ในขณะเดียวกัน พลังงานสายเลือดก็ได้พวยพุ่งออกมาภายในห้องของเขา

เฉินเฉียงได้รีบนั่งลงในทันทีและทำการบ่มเพาะตามตำราหลอมเลือดทำลายล้าง  และด้วยการดูดซับพลังงานสายเลือดนี้ ในตอนนี้เขานั้นได้ทำการเปิดจุดชีพจรในบริเวณปอดของเขาในทันที

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะมีถึงหกสายเลือดก็ตาม แต่ด้วยการที่ว่าสำนักเต่าดำนั้นไม่ได้รับรู้ว่า ความจริงแล้วสายเลือดของเขานั้นในตอนนี้เป็นสายเลือดใหม่อย่างสายเลือดทมิฬ และสายเลือดรวมพลังห้าธาตุ ที่เกิดขึ้นจากฟังก์ชันหลอมรวมของระบบ

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สายเลือดรวมพลังห้าธาตุของเขานั้นในตอนนี้อยู่ในขั้นสูงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่สายเลือดทมิฬของเขานั้นขึ้นไปอยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกันได้ล่ะก็ เขาเองก็จะกลายเป็นนักรับสายเลือดระดับทหารขั้นสูงได้ไปโดยปริยาย

และด้วยความหนาแน่นของพลังสายเลือดที่ตลบอบอวลอยู่ในห้องนี้เอง การที่เขาจะเปิดจุดชีพจรได้อีกสองจุดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด

ภายในบ้านหินนี้ เฉินเฉียงยังคงดูดซับพลังสายเลือดอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นไปที่สายเลือดทมิฬ เขานั้นได้พยายามผลักดันจุดชีพจรด้วยสายเลือดทมิฬครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุด สายเลือดทมิฬของเขานั้นก็เข้าไปสู่จุดชีพจรบริเวณปอดของเขาได้

ความรู้สึกเจ็บปวดในขั้นตอนนี้นั้นไม่ได้ส่งผลต่อ          เฉินเฉียงแต่อย่างใด

ถึงจะบอกว่านี่เป็นผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงในการเปิดจุดตันเถียนก็ตาม แต่สำหรับเฉินเฉียงแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้อวัยวะภายในนั้น แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หกวันให้หลัง จุดชีพจรบริเวณปอดของเฉินเฉียงก็ได้ถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์

ในครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะพลังงานที่พวยพุ่งออกมาภายในห้องบ่มเพาะแห่งนี้ล่ะก็ เขานั้นคงไม่อาจจะทำได้ในหกวันนี้

อีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าวิธีการบ่มเพาะหลอมเลือดทำลายล้างนี้ทรงพลังอย่างมาก มันนั้นได้มอบผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ให้ หลังจากที่ต้องผ่านความเจ็บปวดอย่างยากลำบาก

และด้วยการที่เขานั้นอยู่ที่นี่มาหกวัน ทำให้เขานั้นเสียแต้มคะแนนไปแล้วหกร้อยแต้ม เมื่อคิดว่าต้องใช้เงินอีกร้อยแต้มไปกับการซ่อมบ้านแล้ว นี่ทำให้เขาปวดใจขึ้นอย่างมาก

และในช่วงหกวันมานี้ เขาไม่รู้เลยว่าศิษย์พี่กัวนั้นได้แต้มคะแนนมาแล้วเท่าไหร่กันแน่

ดูเหมือนว่าเขานั้นคงต้องไปคิดบัญชีสักหน่อยแล้ว