ตอนที่แล้ว472 - พูดคุยกันอีกครั้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป474 - ของที่มีราคาแพงจนน่ากลัว

473 - หญิงงามที่สั่นสะเทือนจิตใจ


กำลังโหลดไฟล์

473 - หญิงงามที่สั่นสะเทือนจิตใจ

“พุทธศาสนาดำรงอยู่มานานแค่ไหนแล้ว”

เย่ฟ่านยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาถามอย่างไม่ใส่ใจแต่ยังคงอยู่ที่ประเด็นนี้

"นานมาก ก่อนยุคเซียนโบราณด้วยซ้ำ"

ดวงตาของแม่ชีน้อยเซี่ยอี้หลินเบิกกว้างด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าความลับนี้แม้แต่นางก็ยังไม่รู้

“มีมาแต่โบราณ?!”

เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจ พระพุทธเจ้าศากยมุนีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2000 ปีก่อน มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคเซียนโบราณ

“ดินแดนรกร้างตะวันออกมีคนไม่มากที่รู้จักพระพุทธศาสนา แต่สำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วพวกเราต่างก็รู้ว่าพุทธศาสนาคือหนึ่งในนิกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์” เหยาเยว่กงพูดกับแม่ชีน้อยด้วยรอยยิ้ม

เย่ฟ่านตระหนักได้ว่า แม้พุทธศาสนาจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในอีกฟากหนึ่งของทะเลแห่งดวงดาวเมื่อ 2000 ปีก่อน แต่ในความเป็นจริงพระศากยมุนีไม่ได้เป็นผู้คิดค้นแนวคิดนี้ พระองค์เป็นเพียงผู้พัฒนาเท่านั้น

เขารู้สึกว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างในทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็ดื่มสุราพูดคุยกันโดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับหัวข้อที่น่าปวดหัวนี้อีก

อาหารมื้อนี้มีมูลค่าต้นกำเนิดบริสุทธิ์ห้าร้อยจิน แม้ว่าจะค่อนข้างแพงไปบ้างแต่เมื่อเทียบกับความร่ำรวยของพวกเขา ต้นกำเนิดจำนวนน้อยนิดนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อะไรเลย

“งานเลี้ยงระดับสูงที่มีผู้สูงสุดเป็นเจ้าภาพนั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ข้าเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ต้องจ่ายด้วยต้นกำเนิดหลายหมื่นจินเลยทีเดียว”

เมื่อพูดถึงงานเลี้ยงระดับนั้นแม้แต่เหยาเยว่กงแห่งวังอสูรสวรรค์ก็ยังพูดไม่ออก

“พูดเกินจริงไปหรือเปล่า” เย่ฟ่านถาม

“ไม่ใช่การพูดเกินจริง ยกตัวอย่างจาน 'หงส์เหินหาว' เป็นตัวอย่าง มันถูกสร้างขึ้นโดยราชาปักษาที่มีสายเลือดของหงส์เพลิงที่แท้จริง เจ้าคิดว่าการที่เราจะกินเนื้อของสัตว์ชนิดนั้นได้เจ้าต้องจ่ายมากแค่ไหน”

“มีปีกเผิงสวรรค์หรือไม่?” เย่ฟ่านถามด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อก่อนเคยมีอยู่ แต่หลังจากที่ราชาเผิงสวรรค์ต่อสู้กับปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ตระกูลจินครั้งใหญ่ ตระกูลจินจึงยอมถอยด้วยการถอดเผิงสวรรค์ปีกสีทองออกจากร้านอาหาร”

เย่ฟ่านอ้าปากค้างพูดไม่ออกจริงๆ

หลี่เหอซุยกล่าวว่า “งานฉลองระดับนี้มีไม่กี่ครั้งต่อปี เฉพาะเมื่อปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ต้องการความร่วมมืออะไรสักอย่างเท่านั้นพวกเขาจึงจะเชิญผู้สูงสุดจากมหาอำนาจต่างๆเข้าร่วม

อย่างไรก็ตามข้าอยากดื่มชาแห่งการรู้แจ้งจริงๆ ชาแห่งความรู้แจ้งนี้ว่ากันว่าแม้แต่ผู้สูงสุดก็ยังได้รับประโยชน์มากมายมหาศาลจากการได้ดื่มมันเพียงคำเดียว"

เหยาเยว่กงส่ายหัวและกล่าวว่า "ชาแห่งการรู้แจ้งแม้กระทั่งงานเลี้ยงของผู้สูงสุดก็ใช่ว่าจะมีให้ชิม ของสิ่งนั้นเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่า! ดินแดนรกร้างตะวันออกของเรามีเพียงต้นเดียว และแต่ละปีมันจะให้ผลผลิตแค่ 30 ใบเท่านั้น”

"ชาแห่งการรู้แจ้ง มันอยู่ที่ไหนเหรอ" เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้

"ในภูเขาเซียน" เหยาเยว่กงกล่าว

“โอ้” ทุกคนสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ

ภูเขาเซียนหนึ่งในเจ็ดเขตหวงห้ามแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ของดินแดนรกร้างตะวันออก มันตั้งอยู่ในอาณาจักรภาคกลาง การที่จะซื้อพวกมันสักใบเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก

เหยาเยว่กงกล่าวว่า “ต้นชาแห่งการรู้แจ้งเพียงต้นเดียวทั้งยังเติบโตในภูเขาเซียน ราชวงศ์ภาคกลางใช้วิธีการต่างๆนานากว่าที่จะได้พวกมันมา 30 ใบ มันจึงเป็นไปได้อยู่แล้วที่พวกเขาจะส่งออกได้ทุกปี”

"มันอยู่ใกล้กับหน้าผาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่" เย่ฟ่านถาม

"ใช่ ไม่ไกลมาก ว่ากันว่าหน้าผาศักดิ์สิทธิ์เป็นหน้าผาที่ตัดออกมาจากภูเขาเซียนด้วยพลังที่ไม่มีใครเทียบได้”

เหยาเยว่กงคู่ควรกับการเป็นทายาทของวังอสูรสวรรค์ ความรู้ของเขารำลึกราวกับอสูรโบราณ

“แม้ว่าที่หน้าผาศักดิ์สิทธิ์จะเต็มไปด้วยอันตรายแต่ผู้คนก็ต้องการไปที่นั่นอยู่เสมอ เพราะว่ามันมีเก้าญาณวิเศษลึกลับถูกแกะสลักไว้ที่นั่น”

ผาศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับภูเขาเซียน ในอดีตปราชญ์โบราณที่เชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะได้ร่วงหล่นลงที่นั่น ร่างของเขาตกลงมาที่ภูเขาและเลือดของเขาก็ชโลมหน้าผาจนแดงฉาน

แต่ไม่มีใครทราบว่าเก้าญาณวิเศษลึกลับของเขาถูกแกะสลักไว้ที่ไหน สิ่งต่างๆก็เป็นเพียงคำร่ำลือที่ไม่ได้รับคำยืนยันเท่านั้น

เย่ฟ่านรู้สึกว่าต้องมีความลับมากมายอยู่ที่นั่นแต่เขาไม่สามารถซักไซ้ไล่เลียงได้เกินไป

หลังจากนั้นเสียงพิณก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เมื่อพวกเขาหันกลับไปมองที่ทางเข้าก็เห็นหญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

"อันเหมียวอี้” เย่ฟ่านกล่าวด้วยความลังเล

“เทพธิดาอันเหตุไฉนจึงมาถึงที่นี่พอดี” องค์ชายเซี่ยถาม

“เหมียวอี้ก็จัดงานเลี้ยงที่นี่เช่นกัน ข้าต้องการเชิญพี่กู่ร่วมดื่มสุราแต่เมื่อสักครู่กลับถูกปฏิเสธไปแล้ว”

ใบหน้าหยกไร้ที่ติของอันเหมียวอี้ยิ้มแย้มแจ่มใสสร้างความลุ่มหลงให้กับทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น

กู่เฟิงเป็นชื่อปัจจุบันของเย่ฟ่าน เขาไม่สามารถเดินในเมืองศักสิทธิ์โดยใช้ชื่อจริงของตัวเองได้

“ทำไมคุณหนูอันถึงพูดเช่นนั้น มันเป็นความจำใจของข้าจริงๆเพราะข้าได้นัดกับพี่เซี่ยและพี่เยว่กงไว้แล้ว แต่ในเมื่อคุณหนูอันมาถึงที่นี่ไม่ทราบว่าข้าจะขอคารวะสุราเจ้าสักจอกได้หรือไม่” เย่ฟ่านยิ้ม

เหยาเยว่กงและองค์ชายเซี่ยต่างก็ยืนขึ้นเพื่อเชื้อเชิญอันเหมียวอี้พร้อมกัน

อันเหมียวหัวเราะเบาๆก่อนจะพยักหน้าและเดินเข้ามาด้านในศาลาด้วยรอยยิ้มที่น่าลุ่มหลง

เมื่อนางเข้ามาข้างในศาลานางก็หันมามองเย่ฟ่านด้วยสายตาดุดันและกล่าวว่า

"กู่เฟิงเจ้าเป็นคนแรกที่ปฏิเสธข้า เรื่องนี้ข้าไม่ยอม!"

เมื่อพูดจบนางก็นั่งลงด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับว่าพวกเขาเป็นสหายเก่ากันมาหลายสิบปีแล้ว

นางรินสุราให้กับตัวเองและชนจอกกับพวกเขาอย่างเป็นกันเองโดยไม่ถือตัว

องค์ชายของเซี่ยและเหยาเยว่กงมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ถูกกระตุ้นด้วยความงามที่ไม่ธรรมดา

แต่อันเหมียวอี้ก็ลึกลับและน่ากลัวเป็นอย่างมาก ด้วยความงามและเสน่ห์ของนาง มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้ด้วยความแข็งแกร่งในระดับปัจจุบัน

“กู่เฟิง เหมียวอี้มาดื่มสุรากับเจ้าด้วยตัวเอง คราวนี้เจ้ายังคิดจะปฏิเสธ?” รอยยิ้มของนางช่างอ่อนหวาน

เย่ฟ่านดื่มสุราและพูดว่า “คราวหน้าข้าขอเชิญคุณหนูอันร่วมดื่มสุราเพียงลำพังจะได้หรือไม่”

เหยาเยว่กงหัวเราะและพูดขัดขึ้นทันที "น้องชายเจ้าจะฉวยโอกาสแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด?"

“พี่กู่พูดจริงหรือไม่ อย่าทำให้เหมียวอี้ดีใจเก้อก็แล้วกัน” อันเหมียวอี้กล่าวอย่างสงบและดวงตาของนางทอประกายลึกล้ำ

แม้ว่านางจะมาจากตำหนักสราญรมย์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่ในความเป็นจริงลักษณะของนางกลับเต็มไปด้วยความสูงส่งราวกับดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์

เย่ฟ่านยิ้มและพูดว่า “ข้าจะกล้าได้อย่างไร พี่เยว่กงเข้าใจผิดแล้วข้าเพียงกลัวว่าคุณหนูอันจะไม่พอใจเท่านั้นเอง”

องค์ชายเซี่ยยิ้มและกล่าวว่า "อากาศวันนี้เย็นสบายยิ่งนัก ไม่ทราบว่าผู้แซ่เซี่ยจะมีวาสนาได้ชมคุณหนูอันร่ายรำท่ามกลางหิมะสักครั้งหรือไม่"

"ก็ถ้ามีใครเล่นดนตรีได้…" อันเหมียวอี้ยิ้ม หลังจากนั้นนางก็เดินออกไปนอกศาลาด้วยท่าทางที่งดงาม

องค์ชายเซี่ยหยิบพินออกมาจากของวิเศษเชิงพื้นที่และเริ่มบรรเลงอย่างแผ่วเบาในทันที

อันเหมียวอี้เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางหิมะ เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ของนางโบกสะบัดท่ามกลางสายลมหนาว ร่างกายของนางอ่อนไหวนุ่มนวล เป็นความงามที่ยากจะบรรยายได้

แม้แต่เย่ฟ่านที่คิดว่าตัวเองมีจิตใจแข็งแกร่งก็ยังลุ่มหลงไปชั่วขณะ เขารีบดึงจิตใจของตัวเองให้กลับมาอย่างรวดเร็วเพราะเขารู้ดีว่าหญิงสาวคนนี้ทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยมุ่งหมายเจตนามาที่เขา

"ยอดเยี่ยม!"

"งดงามที่สุด!"

แม้แต่ในลานของฤดูอื่นๆก็ยังมีเสียงโห่ร้องดังขึ้น พวกเขาไม่ทราบว่าใครเป็นคนที่ร่ายรำอยู่ท่ามกลางหิมะ แต่เงาที่เคลื่อนไหวนั้นก็ทำให้พวกเขาลุ่มหลงเป็นอย่างมาก

ไม่นานหลังจากนั้น อันเหมียวอี้ก็ลอยกลับเข้ามาในศาลาอย่างแผ่วเบา ในตอนนี้แม้แต่แม่ชีตัวน้อยว่ายังมีสีหน้าลุ่มหลงอันเหมียวอี้มาก นางรู้สึกดีใจจริงๆที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้

“พี่กู่ ความสำเร็จในด้านศิลปะต้นกำเนิดของเจ้านั้นยอดเยี่ยมน่าเหลือเชื่อ ไม่ทราบว่าเจ้าฝึกฝนจนสำเร็จได้อย่างไร”

หลังจากที่สุราผ่านไปหลายรอบ ในที่สุดอันเหมียวอี้ก็กล่าวถึงหัวข้อหลักในวันนี้!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด