ตอนที่แล้วเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่14: วิกฤติที่คืบคลานเข้ามา?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 16: สนิมสำริดที่น่าหวั่นเกรง!!

เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่15: การลอบสังหารจากผู้นำสกุลหวังแห่งอาณาจักรซู่!


ตอนที่ 15 : การลอบสังหารจากผู้นำสกุลหวังแห่งอาณาจักรซู่!

อาณาเขตเหนือครามแห่งนี้ตั้งอยู่ ณ ทางเหนือสุดของทวีปแผ่นฟ้า ในอาณาเขตประกอบไปด้วยอาณาจักรทั้งเจ็ด ทางใต้ของอาณาจักรฉีซานคืออาณาจักรซู่ หาดเปรียบเทียบกันแล้ว อาณาจักรซู่ย่อมถือได้ว่าเล็กกว่าฉีซานอยู่พอสมควร

หากนับว่าสกุลหลินเป็นผู้นำของอาณาจักรฉีซานแล้วล่ะก็ ตระกูลหวังก็ถือว่าเป็นเจ้าครองอาณาจักรซู่ได้เช่นกัน  ไม่มีใครรู้ว่าสองตระกูลนี้เริ่มเป็นศัตรูกันตั้งแต่เมื่อใด แต่ทั่วทั้งอาณาเขตเหนือครามย่อมทราบว่าทั้งคู่มิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้

ไม่ว่าจะเป็นในงานเลี้ยงใดๆ หรือดินแดนลึกลับไหนๆ หากสองสกุลนี้พานพาบกัน ย่อมต้องไล่ล่าสังหารกันจนกว่าอีกฝ่ายจะล้มตายจนหมดสิ้น

……

แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านหุบเขาสูง เมืองน้อยใหญ่ของอาณาจักรซู่ล้วนตั้งอยู่เรียงรายตามแนวเทือกเขา หากมองลงมาจากบนฟากฟ้าย่อมดูราวกับสายโซ่เส้นยาวที่ร้อยเรียงกันพร้อมเปล่งแสงเรืองรอง นับเป็นความรุ่งโรจน์อย่างหนึ่งของอาณาจักรแห่งนี้

ใจกลางอาณาจักรซู่ มีเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่มาเนิ่นนานนามว่าเหอผิง

กำแพงสีดำของเมืองนี้ให้ความรู้สึกราวกับผ่านช่ววงเวลาแห่งประวัติศาสตร์มานับมิได้  ตำนานกล่าวไว้ว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล และยังเป็นบ้านหลักของสกุลหวังอีกด้วย

เมืองเหอผิงแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยอักขระลึกลับซับซ้อน รุ่นแล้วรุ่นเล่าของตระกูลหวังล้วนอยู่อยู่ที่นี่เพื่อคอยปกป้องเมืองจากการบุกรุกของเหล่าสัตวว์อสูรที่เกรี้ยวกราด

ณ ตึกที่สูงที่สุดในเมืองเหอผิง ปรากฏชายต่างวัยสองคนที่กำลังนั่งตรงข้ามกันอยู่

ดวงจันทร์ลอยล่อย ดวงดาส่องประกายอยู่บนฟากฟ้า เมฆหมอกปกคลุมเหนืออาคารบ้านเรือน อากาศหนาวเย็น ดูคล้ายกับเป็นดินแดนอมตะ

ชายชราถือหมากดำ ส่วนชายฉกรรจ์อีกคนถือหมากขาว สีหน้าขอทั้งคู่ล้วนผ่อนคลาย ต่างก็ค่อยๆวางหมากในมืออย่างช้าๆ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความพึงพอใจในขณะนี้

“ช่าวนี้ได้รับการยืนยันมาแล้วสินะ?” ผู้เฒ่าคนนั้นววางหมากในมือลงบนกระดานแล้วเอ่ยถามอย่างเอื่อยเฉื่อย

ชายอีกคนที่นั่งอยู่ดูใบหน้าคล้ายกันกับชายแก่ ดวงตายาวเรียวและร่างกายผอมบาง กลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่างลอยวนอยู่รอบตัวและดวงตาเย็บเยียบม่านตาหดแคบดูราวกับงูพิษที่เพียงเหลือบมองก็ทำให้คนต้องลั่นกลัว

การเดินหมากของทั้งคู่ช่างเหมือนกันจนแยกไม่ออก ล้วนแล้วแต่รอคอยเวลาเพื่อจะได้เผด็จศึกฝ่ายตรงข้ามในคราเดียวอย่างใจเย็น

“ท่านบรรพชน เรื่องที่ว่าตาแก่หลินผู้นั้นเลื่อนขั้นสู่ดินแดนปราณถัดไปแล้วนั้น แท้จริงคือข่าวปลอมขอรับ”  ชายผู้อ่อนวัยกว่ากล่าวตอบด้วยความเคารพนับถือ เขาคนนี้คือนำคนปัจจุบันของตระกูลหวัง

เมื่อได้รับบการยืนยันเช่นนี้ รอยยิ้มซึ่งเต็มได้ด้วยความยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตาเฒ่าสกุลหวัง

“ยอดเยี่ยม!  พวกสวะหลินคงคาดหวังว่าจะได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หึ พวกเจ้าก็ทำได้เพียแค่ฝันไปเท่านั้น!”

“แต่ถึงกระนั้น เฒ่าหลินก็บอกแก่เหล่าแขกที่ไปเยี่ยมเยียนว่าอีกไม่เกินสามปีก็จะสามารถก้าวไปถึงขั้นนั้นได้”  ผู้นำสกุลหวังกลายเสริมขึ้น

“สามปี? หึ ไร้สาระ!”  บรรพบบุรุษตระกูลหวังแค่นเสียงออกมาอย่างดูหมิ่น พลางหยิบตัวหมากขึ้นมาด้วยสองนิ้วความเย็นชาปรากฏในแววตาปนไปด้วยความรู้สึกไม่เชื่อถือและดูแคลน

“ตอนแรกที่ข่าวนี้เริ่มแพร่กระจายออกมา ข้าควรจะเอะใจได้แท้ๆ  เพิ่งผ่านมาเพียงร้อยปีจากการเลื่อนขั้นครั้งก่อนเท่านั้น แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องอาศัยระยะเวลาอีกหลายร้อยปีเพื่อก้าวไปยังแดนปราณถัดไป”

“สามปีรึ หึ เจ้าลูกเต่าแซ่หลินจะทำให้ข้าหัวเราะจนตาย!”

“ไม่มีทางที่ตาแก่สกุลหลินผู้นั้นจะกระทำสิ่งใดได้ในระยะยาวสามปีนี้อย่างแน่นอน!”

คำพูดของชายชราราวกับเป็นประกาศิต พริบตาต่อมาไอปราณรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป หมากดำในมือร่อนลงบนตำแหน่งหนึ่งในกระดานรร้อยเรียงกันเป็นรูปแบบบางอย่างและยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ไปแล้วก่อนที่หมากขาวจะทันได้กระทำสิ่งใด

“ท่านบรรรพบุรุษช่างเก่งกาจยิ่ง”  ชายผู้ถือหมากขาวเพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ

บรรพชนหวังเพียงปรายตามองก่อนโบกมือน้อยๆ ส่งผลให้หมากขาวที่เหลือกลายเป็นเถ้าถ่านกระจัดกระจายไปทั่ว

“เก็บคำพูดอันไร้ประโยชน์ของเจ้ากลับไป”

“มีข่าวอื่นใดของพวกแซ่หลินอีกหรือไม่?”

สิ้นคำถาม ใบหน้าของชายฉกรรจ์ก็เปเลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดในทันที

“บรรพบุรุษท่าน แม้การเลื่อนขั้นของตาเฒ่าแซ่หลินจะไม่ใช่เรื่องจริง หากแต่ปรากฏการณ์ลึกลับกลับมิใช่เรื่องหลอกลวง  ยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินปรากฏตัวขึ้นแล้ว”

ยอดอัจฉริยะ? สายตาของตาแก่หวังกลับเข้มข้นขึ้น  “อย่าบอกข้านะว่าการเกิดขึ้นของปราณม่วงและเสียงแห่งเต๋านั้น เป็นผลมาจากอัจฉริยะรุ่นเยาว์ตระกูลหลิน?”

เพียงได้แต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชายฉกรรจ์เตรียมใจก่อนกล่าวตอบไป  “เป็นเช่นนั้นขอรับ เหตุการณ์มหัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นเพราะรุ่นเยาว์ของสกุลหลินจริง…”

เขาสูดหายใจเข้าลึกในปอดก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ต่ำลง  “แต่ถึงกระนั้น เจ้าปิศาจน้อยตนนั้นก็ยังไม่นับเป็นสิ่งใดได้ เมื่อเทียบกับอัจฉริยะทั้งหลายของตระกูลเรา!”

“บุตรชายของข้า เถิงเฟย เป็นถึงว่าที่จักรพรรดิ!”

“เพียงแรกเกิด กลับมีกระเรียนอมตะนับหมื่นตัวที่บินมาจากราชวงศ์ปรากฏตัวขึ้น  เขาคือร่างจุติของเทพบรรพกาล!!”

“เทียบกันแล้ว บุตรชายข้ายอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ พวกสวะแซ่หลินจะนับเป็นตัวอันใดได้!”

มีเพียงเสียงลมพัดผ่านและความเงียบอันยาวนานเท่านั้นที่เป็นคำตอบให้แก่ผู้นำสกุลหวัง…

“อัจฉริยะของเรา เถิงเฟยของข้า เมื่อโตขึ้น อนาคตย่อมเป็นจักรพรรดิไร้ผู้ต้าน ใครจะเทียบเคียงเขาได้นั้นไม่มีทาง!”

หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดบรรพชนแซ่หวังก็ตอบกลับมาด้วยเสียงราบเรียบ  “หากแต่ความจริงที่ว่าตระกูลมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์เกิดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้ก่อนหน้านี้?”

ผู้นำหวังตกใจกลัวยิ่งนักหลังได้ยินคำกล่าวของบรรพบุรุษ เขาเร่งรีบรีดลมปราณขึ้นมาป้องกันตัวเอง แต่เพียงวินาทีต่อมา ร่างกายกลับหนักอึ้งคล้ายถูกกดทับด้วยหินหนักเท่าภูเขา ทำได้เพียงล้มลงไปนอนราบกับพื้นห้องเพียงเท่านั้น

แคร่ก!

เสียงกระดูกทั่วทั้งร่างดังลั่นพร้อมกระอักเลือดออกมาคำโต!

ช่วงพริบตาก่อนเขาจะล้มลงไป ตัวหมากเก้าชิ้นโดนบีบอัดด้วยปราณจนเรียวเล็กคล้ายกับเข็มพร้อมพุ่งแทงเข้าไปยังอวัยวะภายในและปอด ตรึงร่างของเขาเอาไว้บนพื้นของอาคาร!

“แค่ก!”

“บรรพบุรุษท่าน…”

ทั่วร่างรวดร้าวอ่อนแรง หากแต่ตัวเขากลับมิกล้าจะเอ่ยแม่เพียงครึ่งคำ ครู่ใหญ่ผ่านไป ตาแก่หวังจึงได้ดึงเอาเข็มออกจากกายเขาในที่สุด

“ขะ ขอบพระคุณที่ไว้ชีวิตข้าขอรับท่านบรรพชน”  กล่าวออกมาพร้อมเสียงไอโขลกและคุกเข่าอยู่บนพื้น

“ลุกขึ้น หมากกระดานยังมิสิ้นสุด”  ชายชราเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉยชา

“ขอรับ” ทำได้เพียงอดทนกับความเจ็บปวดและลุกกลับไปยังที่นั่งของตนอีกครั้ง

“มีสิ่งใดจะรายงานข้าอีกหรือไม่”  ตาแก่หวังกล่าวถามกับชายบาดเจ็บผู้นั้น  หากไม่มีข่าวใดจะบอกแก่เขา เจ้าสวะน้อยนี่ไม่มีค่าพอให้เขาชายตาแล

“มีอีกอย่างขอรับ เกี่ยวกับภรรยาของหลินเฮ่า บุตรสาวสกุลซวนที่ตั้งครรภ์อยู่นานถึงร้อยปีคนนั้น ดูเหมือนว่านางจะคลอดบุตรออกมาในที่สุด”  คนบาดเจ็บได้เพียงหายใจลึกยาว อดทนต่อบาดแผล และกล่าวรายงานแก่บรรพบุรุษของตน

“ภรรยาของหลินเฮ่า?”

“บรรพบุรุษขอรับ  เนื่องจากพวกเราต้องการหยุดยั้งหลินเฮ่ามิให้แข็งแกร่งมากเกินไปกว่านี้ จึงใช้คำสาปร้ายแรงกับภรรยาของมัน”

“คำสาปนี้บุตรชายข้าพบเจอโดยบังเอิญ มันสลักอยู่บนกระบี่สำริดผุพังเล่มหนึ่ง เพียงใช้ชิ้นส่วนเล็กๆที่ขึ้นสนิทของกระบี่เล่มนี้ คำสาปที่กัดกร่อนทุกสิ่งจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้ได้รับคำสาปเจ็บปวดทุกข์ทรมานและต้องอุ้มท้องถึงหนึ่งร้อยปี”

“แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ทารกผู้นั้นได้ออกมาลืมตาดูโลก”

“แต่ก็หาได้สำคัญไม่ เพียงกำเนิดบุตรออกมาแล้ว คำสาปจะยิ่งทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ไร้หนทางแก้ไข สุดท้ายต้องตายอย่างไร้ทางเลือก  คาดว่าบัดนี้นางคงสิ้นชีวิตไปแล้ว”

“ทั้งหลินเฮ่าและบุตรสาวสกุลซวนล้วนนับว่าเป็นบุคคลสำคัญของตระกูลหลิน เพียงคนใดคนหนึ่งเกิดสิ้นชีพขึ้นมาก็มากพอจะทำให้ทั้งตระกูลระส่ำระสายอย่างแน่นอน หลังจากนั้น นักฆ่าที่เราส่งไปจะสามารถตรงเข้าไปเพื่อค้นหาอัจฉริยะน้อยแซ่หลินผู้นั้น…”

“แล้วเราก็จะสามารถสังหารมันลงได้!”

ตาแก่หวังจ้องมองไปยังชายคนนั้นแล้วแค่นเสียงออกมาประโยคหนึ่ง  “เหอะ อย่างน้อย เจ้าก็มิได้ไร้ประโยชน์นัก”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นทำได้เพียงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา

กลางคืนนั้น ชายชรายกศีรษะขึ้นมองไปยังด้านนอกไกลออกไป เสี้ยวพระจันทร์บนฟ้าเปล่งแสงอันเยือกเย็นออกมา สะท้อนกลับดวงตาที่เต็มไปด้วยความดำมือนั้น ม่านตาคล้ายงูแลดูเย็นชาแฝงไว้ด้วยพิษสงชั่วร้าย

“อัจฉริยะที่ทำให้เกิดปราณม่วงจากทิศตะวันออกกว่าแสนลี้…”

“เจ้าจงนำนักฆ่าไปที่นั่นด้วยตัวเอง”

“ระหว่างเจ้ากับเด็กนั่น มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด”

ผู้นำสกุลหวังสูดหายใจลึกและพยักหน้า

“ขอรับท่านบรรพบุรุษ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด