ตอนที่แล้วบทที่ 129 รับเพียงกระบี่เดียว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 131 ความลับของเสี่ยวซวง

บทที่ 130 พวกเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันต่อ


กำลังโหลดไฟล์

“อะไรนะ!!!....นายท่านจะมอบมันให้แก่ข้า”ตี้หูกล่าวออกด้วยความตกตะลึง การที่มันได้เห็นโอสถวิญญาณทรราชนั้นก็นับว่าตกใจมากพอแล้ว

'แล้วนี้มันอะไรกันเขากำลังบอกว่าจะมอบโอสถเม็ดนี้ให้ข้า??โอสถวิญญาณทรราชมันเป็นโอสถที่สามารถมอบให้ผู้อื่นได้ง่ายๆเพียงนี้หรืออย่างไร???'

“ข้าไม่ชอบพูดมันเป็นครั้งที่สอง” หนิงกล่าวออกด้วยเสียงเรียบเฉย เดิมทีมันต้องการมอบโอสถวิญญาณทรราชให้แก่จิงหนานและตี้หูอยู่แล้ว แต่การที่มันคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพียงเพราะตัวมันต้องการทดสอบพลังของตัวเองก็เท่านั้น

“ฮ่า ฮาๆ ดูเหมือนว่าการที่ข้าตัดสินใจอยู่ที่นี่จะไม่ใช่ความคิดที่ผิด แต่ว่านายท่าน ถ้าท่านต้องการจะมอบมันให้แก่ข้า เหตุใดถึงต้องทำเรื่องให้มันวุ่นวายเช่นนี้ด้วย

ระดับพลังของพวกเราทั้งสองคนต่างกันเกินไป อีกทั้งท่านยังคงไม่ลืมว่าข้านั้นมีฉายาว่าอันใดกัน ท่านรู้หรือไม่เหตุที่คนเรียกขานข้าว่ากระเพาะเหล็กมาจากทักษะกายาที่แข็งแกร่งดุจเหล็กดำ” ตี้หูกล่าวออกด้วยความภาคภูมิ

ได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของหนิงเทียนมีเพียงแต่รอยยิ้ม “ดีเหมือนกัน ข้าเองก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังได้สมบูรณ์ ถ้าเจ้ามีร่างกายที่แข็งแกร่งดังปากว่าละก็ ข้าก็คงไม่ต้องกังวลว่ากระบี่นี้ของข้าจะทำให้เจ้าต้องสิ้นชีพลง”

สิ้นคำกล่าวหนิงเทียนวาดกระบี่ไปด้านข้างในลักษณะขนานกับพื้น พร้อมทั้งกล่าวออกเป็นครั้งที่สอง

“ตี้หู ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเจ้ามองระดับพลังของข้าเพียงแค่ภายนอกแล้วละก็เจ้าจะเสียใจที่ต้องตายไปโดยไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา”

ด้วยคำกล่าวของหนิงเทียนนั้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที แม้ตี้หูจะมีอุปนิสัยอันพิลึกพิลันแต่มันก็ไม่ได้เป็นคนโง่แต่อย่างใด

มันฉุกคิดถึงความจริงที่ว่า ถ้าเด็กหนุ่มตรงหน้ามันสามารถใช้สามัญสำนึกของคนปกติตัดสินได้ บุคคลเช่นมันคงไม่มากลายเป็นคนเฝ้าสะพานให้เด็กหนุ่มผู้นี้อย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้ดังนั้น ตี้หูจึงได้โคจรพลังปราณทั้งหมดของมันออกมา ร่างกายของมันค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ ทักษะกายาภูผาทมิฬที่มันฝึกฝนมานับร้อยปี ถูกใช้ออกอย่างเต็มกำลัง

เวลานี้ตี้หูไม่ได้คิดอีกต่อไปว่ามันจะต้องรับกระบี่จากผู้ฝึกตนในแดนนักรบแต่มันกระทำเหมือนว่ากำลังรับกระบี่ของผู้ฝึกตนที่มีระดับสูงกว่าตัวของมัน

จากนั้นหนิงเทียนพลันก้าวออกพร้อมด้วยกระชับพิรุณในอุ้งมืออย่างมั่นคง ประกายแสงสว่างอันเร้นลับพลันปรากฎออกมาจากดวงตาของชายหนุ่ม เบื้องหลังบังเกิดขึ้นเป็นรูปลักษณ์พยัคฆ์สีดำขลิบด้วยลวดลายสีทองขึ้นมาในทันตา

โฮกกกกกกก!! พยัคฆ์ลวดลายทองตัวนั้นคำรามออกมาอย่างน่าเกรงขาม เพียงแค่ได้ยินเสียงคำรามของมันเท่านั้น จิตวิญญาณของตี้หูคล้ายจะกับถูกบังคับให้หมอบลงแก่พื้น

สองขาที่แข็งแกร่งของมันค่อยๆงอลงด้วยแรงกดดันอันมหาศาล แม้ทั่วทั้งร่างของตี้หูจะถูกปกคลุมด้วยพลังปราณในแดนแห่งวีรชนแต่มันก็ไม่สามารถควบคุมอาการสั่นไหวที่เกิดกับขาทั้งสองข้างของมันได้เลย

“นะ....นะ....นั่น....นั่มันอะไรกัน!?” ตี้หูมองไปยังพยัคฆ์ทมิฬอันน่าหวาดผวาด้วยสองตาที่เบิกค้าง ร่างกายของมันสั่นสะท้าน ตั้งแต่เล็กจนโตมันไม่เคยพบเจอการโจมตีใดที่แฝงด้วยความน่าสะพรึงถึงเพียงนี้มาก่อน

แต่ก่อนที่ตี้หูจะทรุดสองขาลงไปกับพื้น พยัคฆ์ตัวนั้นก็ได้หายไป มันกลายเป็นเพียงแสงสีทองพุ่งเข้าสู่กระบี่พิรุณโปรย “รับมือ นี้คือเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า กระบี่สังหารเทพกระบ่วนท่าที่สอง ร่ายรำล้อเงาจันทร์”

สิ้นเสียงของหนิงเทียนมันค่อยวาดกระบี่เป็นวงกลมอย่างช้าๆ ระหว่างที่กระบี่กำลังวนจนครบรอบนั้น ดวงตะวันค่อยๆถูกกลืนกินจากเมฆหมอกสีดำ จนมันดูคล้ายกับว่าดวงจันทร์บังเกิดขึ้นในตอนกลางวันแสกๆ

แข็งแกร่ง รุนแรง และอ่อนช้อย ทั้งสามสามารถรวมเป็นคำนิยามของการวาดกระบี่ครั้งนี้ของหนิงเทียนได้ แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดเหตุใดกระบี่นี้ของหนิงเทียนถึงขาดด้วยความเร็ว

แม้กระบวนการที่เกิดขึ้นเหมือนจะกินเวลาอยู่เนิ่นนานแต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงลมหายใจเข้าและออกเท่านั้น

เมื่อปลายกระบี่ถูกสะบัด รังสีกระบี่สีทอง พุ่งแหวกอากาศจนบังเกิดเสียงร้องอย่างน่าหวาดกลัวไปยังตี้หูที่ยืนมองด้วยความตกตะลึง เมื่อสัมผัสแรกที่กายาภูผาทมิฬเข้าปะทะกับรังสีกระบี่นั้น

ร่างของตี้หูสั่นไหวพร้อมกับละอองเลือดที่สาดไปตามอากาศ ความรู้สึกของตี้หูเวลานี้ราวกับว่ามันกำลังใช้ร่างกายเปล่าๆรับกระบี่อยู่และถ้าเป็นอย่างที่มันคิดผลก็คงไม่พ้นว่ากระบี่นั้นจะพุ่งทะลุผ่านร่างพร้อมกับนำพาชีวิตของมันไปด้วย

มันไม่เสียเวลาคิดอีกเป็นครั้งที่สอง โอสถวิญญาณทรราชแล้วเป็นอย่างไร ตราบใดที่ยังไม่ตายมันก็มีโอกาสอีกมากมายที่จะทะลวงเข้าสู่ดินแดนทรราชได้

คิดได้เช่นนั้นตี้หูจึงแปรเปลี่ยนความคิดจากเดิมที่คิดจะรับมันตรงๆเปลี่ยนเป็นบิดร่างและใช้ออกด้วยท่าเท้าพริ้วกายหลบในชั่วเสี่ยวลมหายใจ

ตี้หูนั้นรู้ดีว่าหนิงเทียนจงใจที่จะไม่ใส่ความเร็วเข้าไปในกระบวนท่า ด้วยเหตุนี้เองจึงมีช่องว่างให้มันใช้ท่าเท้าหลบหนีออกมาได้ เมื่อหลบพ้นรังสีกระบี่ของมัจจุราชแล้ว

ตี้หูหันกลับไปมองทิศทางของกระบี่ที่ผ่านตัวของมันไปด้วยสีหน้าซีดขาว รังสีกระบี่นั้นเข้าปะทะกับเกราะอาคมของคฤหาสน์ที่ถูกเขียนไว้เพื่อป้องกันการตีโจมตีจากภายนอก

แท้จริงแล้วเป้าหมายที่ทำให้หนิงเทียนคิดลงมือครั้งนี้ก็เพื่อจะทดสอบความแข็งแกร่งของตัวมันเองเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนแดนวีรชนขั้นปลาย

และยังต้องการทดสอบอาคม7ทิศ4ผนึกที่ถูกเขียนขึ้นมาด้วยฝีมือของราชันย์จ้าวสมุทร หนึ่งในตัวตนที่เทียบเคียงกับบิดาใหญ่ของมันอีกด้วย

เมื่อรังสีกระบี่ที่น่าหวาดกลัวพุ่งเข้าสู่เขตแดนของคฤหาสน์ มันกลับถูกเกราะป้องกันจางๆสลายพลังไปจนหมดสิ้น แม้แต่การสั่นไหวของใบไม้ที่อยู่ภายในอาณาเขตของคฤหาสน์ยังไม่บังเกิดให้เห็นแม้แต่ใบเดียว

ได้เห็นเช่นนั้นหนิงเทียนเป่าปากออกมาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย พู่ววว “อาคมที่ถูกเขียนขึ้นมาเมื่อพันปีก่อนยังมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าตัวข้าในตอนนี้ยังไม่สามารถเทียบได้แม้กระทั่งเศษฝุ่นที่อยู่ใต้เท้าของตัวตนระดับนั้นได้เลย”

ตี้หูที่ได้เห็นดังนั้นมันไม่ได้มีความคิดชื่นชมอาคม7ทิศ4ผนึกแต่อย่างใด มันเพียงแต่กลืนน้ำลายลงคอจนเกิดเสียงดัง

“นะ...นายท่าน ขะ..ข้าขอโทษที่ไม่ได้รับมันตรงๆตะ...แต่ว่าข้าอยากจะขอถามถึงระดับพลังที่แท้จริงของตัวท่านได้หรือไม่”

ตี้หูกล่าวออกด้วยความระวัง ให้มันตายแล้วใหม่อีกกี่ครั้งมันก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าพลังโจมตีระดับนี้จะเกิดจากฝีมือของบุคคลที่อยู่ในดินแดนนักรบด้วยเหตุนี้มันจึงคิดที่จะกล่าวคำถามออกมา

หนิงเทียนหาได้ตอบคำถามของตี้หูไม่ มันเพียงแต่กล่าวชมออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ“เจ้าตัดสินใจได้ดีทีเดียวที่หลบหนีมัน ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวและคนเรานั้นก็สามารถตายได้เพียงครั้งเดียว

เจ้าควรที่จะเลือกว่าจะเสี่ยงชีวิตกับเรื่องที่เห็นสมควรใดมากกว่า และครั้งนี้เจ้าก็ตัดสินใจมันได้ดี นี้คือรางวัล”กล่าวจบหนิงเทียนโยนกล่องสี่เหลียมที่ภายในบรรจุโอสถวิญญาณทรราชให้แก่ตี้หูทันที

เมื่อตี้หูรับกล่องสี่เหลี่ยมนั้นมาไว้ในมือ มันรีบกล่าวออกด้วยความซาบซึ้ง“ขอบคุณนายท่านและแน่นอนว่าความตายของตี้หูคนนี้จะต้องเลือกเสี่ยงมันเพื่อผลประโยชน์ของนายท่านอย่างแน่นอน”

เมื่อสิ้นคำกล่าวมันคุกเข่าทั้งสองลงพร้อมโขกศีรษะลงกับพื้น เดิมตี้หูนั้นถูกหนิงเทียนควบคุมด้วยพิษ แต่ในเวลานี้มันถูกหนิงเทียนควบคุมด้วยใจและความแข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์แบบ

ขณะนั้นเอง เงาแสงสามสายพุ่งตรงมายังที่หนิงเทียนอย่างรวดเร็ว หนิงเทียนปลายตาไปมองเห็นว่า เสี่ยวซวง จินเหล่าต้าและจั่วจิงหนานทั้งสามออกมาต้อนรับอย่างพร้อมหน้า

จินเหล่าต้ารีบกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายหนิงท่านกลับมาแล้ว ข้าคิดว่าท่านจะใจร้ายปล่อยให้งานประลองของตระกูลมู่จบลงเสียก่อนถึงจะกลับมาหาพวกเราซะอีก”

หนิงเทียนยกยิ้มพร้อมกับกล่าวตอบ “เรื่องของมารดาเจ้าเรียบร้อยดีหรือไม่?”

“ไม่มีปัญหาเวลานี้ท่านพ่อดูแลท่านแม่อยู่ที่หมู่ตึกตระกูลจิน และท่านก็ได้ส่งข่าวกลับมาบอกว่า โอสถเลือดกระเรียนที่พี่ชายหนิงปรุงสามารถรักษาโรคเลือดผสมปราณที่ท่านแม่เป็นได้อย่างดีเยี่ยม

เรื่องนี้ข้าต้องขอบคุณพี่ชายหนิงเป็นอย่างสูง” จินเหล่าต้าโค้งศีรษะด้วยความเคารพ

ทั้งจินเหล่าต้าและจั่วจิงหนานกล่าวทักทายหนิงเทียนด้วยความยินดีจะมีเพียงแต่เสี่ยวซวงเท่านั้นที่จับจ้องไปยังใบหน้าของหนิงเทียนด้วยความเย็นชา

นางเพียงแต่จ้องมองอยู่เช่นเดิมอย่างไม่ละสายตาไป แม้แต่คำพูดเพียงคำเดียวก็ไม่หลุดออกจากปากของนาง ด้วยลักษณะอันเป็นนิสัยเช่นนี้มันชวนให้หนิงเทียนบังเกิดรอยยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“ฮ่าๆ” แต่เสียงหัวเราะของหนิงเทียนกลับต้องเงียบลงเมื่อมันพบว่าเวลานี้เสี่ยวซวงผู้แสนเย็นชานั้นก้าวเข้าสู่ดินแดนวีรชนเรียบร้อยแล้ว

“ปะ....เป็นไปได้อย่างไร!!!!” หนิงเทียนพึมพำออกด้วยเสียงแผ่วเบา ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ไม่นับว่าน่าแปลกอันใดถ้าเทียบกับตัวของมันเอง

แต่ด้วยความวิปริตผิดแปลกไปจากสามัญสำนึกของตัวมันจะสามารถเอาไปตั้งเป็นบรรทัดฐานให้แก่ผู้อื่นได้อย่างไรกัน

เมื่อจั่วจิงหนานจับสังเกตถึงความผิดปกติที่หนิงเทียนแสดงออกมาได้ มันรีบกล่าวออก “นายท่าน เวลานี้คุณหนูเสี่ยวซวงนั้นอยู่ในขั้นที่5ของแดนวีรชนแล้ว นางช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่

แม้แต่ตัวข้าเองที่ใช้ชีวิตมานับร้อยปีก็ไม่เคยพบเห็นใครที่สามารถบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”

ได้ยินถึงคำบอกเล่าของจั่วจิงหนาน หนิงเทียนรู้สึกสับสนและสงสัยเป็นอย่างยิ่ง มันระบายลมหายใจออกมาพร้อมกล่าวออกไปว่า

“เอาเถอะเรื่องของเสี่ยวซวงข้าจะค่อยๆค้นหาความจริงทีหลัง แต่ตอนนี้พวกเราไปคุยกันด้านในเถอะ ข้าต้องการทราบถึงความคืบหน้าด้านกองทัพและทรัพยากรจากปากของพวกเจ้าทั้งสอง”

...

.....

ภายในห้องโถงใหญ่

จินเหล่าต้าเปิดปากเล่าถึงสถานการณ์ ที่สำนักดาบศิลาคิดจะบุกรุกแต่ต้องถูกกระเพาะเหล็กตี้หูขับไล่กลับไป และยังกล่าวรายงานถึงเรื่องของโอสถลับ

“พี่ชายหนิงเวลา ภายในเวลา15วัน เรามีผู้ปรุงโอสถในระดับโลกที่5และ6 ที่สามารถปรุงโอสถลับได้ถึง40คน และด้วยความวิเศษของโอสถลับ ท่านพ่อและท่านปู่ของข้าได้ก้าวขึ้นมาสู่ระดับโลกที่8และ9เรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงสามารถผลิตโอสถลับกลั่นกระดูกทะลวงชีพจรได้ถึงวันละ800เม็ด ภายใน15วันมานี้เราผลิตมันได้เกินกว่าหนึ่งหมื่นเม็ดและทั้งหมดที่พวกเราปรุงได้ก็ถูกส่งต่อให้แก่ท่านจั่วทั้งหมดแล้ว”

จั่วจิงหนานพยักหน้าพร้อมกล่าวออก “ทางด้านกองกำลังของตระกูล หอการค้าเหล่าตงได้ส่งทาสที่นายท่านกว้านซื้อมาจนครบทั้งหมด และเมื่อข้าแบ่งแยกสตรีเด็กและคนชราออกไป

พบว่าพวกเราเหลือนักรบฉกรรจ์ประมาณ แปดพันคน โดยข้าได้แบ่งออกเป็นสี่ทัพอย่างที่นายท่านได้สั่งมาพร้อมกับจัดการแบ่งแยกระดับการบ่มเพาะของพวกมันได้ดังนี้

ผู้ฝึกตนในแดนแห่งปราชญ์ 1500คน ผู้ฝึกตนในแดนนักรบ 5500คนและที่เหลืออีกหนึ่งพันเศษยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นและโอสถกว่าหนึ่งหมื่นเม็ดที่ได้รับมาจากท่านจิน

ข้าได้แบ่งออกมา7000เม็ดเพื่อใช้มันเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพทั้งสี่อันได้แก่กองทัพ ดิน น้ำ ลมและไฟ ส่วนโอสถที่เหลือข้าได้เก็บมันไว้ที่ห้องโอสถในคฤหาสน์ของตระกูลเรา”

“ดีมาก พวกเจ้าทั้งสองจัดการเรื่องต่างๆได้เป็นอย่างดี เอาล่ะเหล่าต้า เจ้าสั่งให้พวกมันพักการปรุงโอสถได้แล้ว ในตอนนี้โอสถลับของพวกเรามีเพียงพอต่อจำนวนคนทั้งหมดและข้าต้องฝากขอบคุณผู้อาวุโสจินด้วย ท่านไม่ได้ทำให้ข้าต้องผิดหวังไปเลยจริงๆ”

จากนั้นหนิงเทียนโยนแหวนมิติไปให้แก่จินเหล่าต้า “ในนี้มีหยกนิล1500ก้อนเจ้าจงนำมันไปตบรางวัลแก่คนที่เห็นสมควรอย่าให้ขาดแม้แต่คนเดียว”

จากนั้นหนิงเทียนปลายตาไปที่จั่วจิงหนานมันโยนกล่องโอสถสี่เหลี่ยมที่ภายในบรรจุโอสถวิญญาณทรราชอีกเม็ดให้มันรับไว้พร้อมกล่าวว่า

"นี้คือรางวัลของเจ้า โอสถวิญญาณทรราชจะสามารถช่วยทำลายคอขวดที่ทำให้เจ้าติดอยู่ในแดนวีรชนได้"

หนิงเทียนนั้นไม่ลืมที่จะตบรางวัลให้แก่ทั้งสองคน ในหลักของกองทัพการปกครองนั้นนอกจากจะต้องมีความแข็งแกร่งในการปกครองอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วที่สำคัญยังต้องใช้ความเมตตาเข้าควบคู่กันไปด้วย

ซึ่งถ้าแม่ทัพคนใดมีทั้งสองอย่างอยู่ในตัว กองทัพของมันผู้นั้นก็จะกลายเป็นกองทัพไร้พ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย

“เอาล่ะพวกเจ้าทั้งสองไปพักผ่อนได้ วันพรุ่งนี้พวกเราจะไปดูเรื่องสนุกๆที่ตระกูลมู่กัน” เมื่อหนิงเทียนกล่าวสั่งแก่จินเหล่าต้าและจั่วจิงหนานจบ

มันได้หันไปกล่าวกับเสี่ยวซวงต่อว่า “สำหรับเจ้า ให้ตามข้าไปที่ห้อง เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันต่อสักหน่อย”

ได้ยินเช่นนั้นแทนที่ใบหน้าของเสี่ยวซวงจะปรากฏอาการใดๆออกมา กลับกลายเป็นว่าจินเหล่าต้าและจั่วจิงหนานเสียอีกที่แสดงท่าทีอมยิ้มออกมาอย่างเห็นได้ชัด

พวกมันทั้งสองกล่าวออกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราทั้งคู่ไม่ขอรบกวนเวลาแห่งความสุขของนายท่าน/พี่ชาย แล้ว”

เวลานี้ถ้าพวกมันทั้งคู่ได้ยินเสียงควรญครางใดๆดังออกมาจากห้องนอนของหนิงเทียนละก็ พวกมันก็จะทำเป็นไม่สนใจและห้ามใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด....

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด