ตอนที่แล้วบทที่ 124 กลางวงล้อมของศัตรู
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 126 จบการต่อสู้ด้วยตนเอง

บทที่ 125 สงครามภายใน


กำลังโหลดไฟล์

“อาจารย์ อาจารย์”มู่เสวี่ยเห็นแผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยโลหิตของหนิงเทียน นางไม่สามารถวางใจได้อีกต่อไป ถึงแม้ตัวนางเองพึ่งจะขึ้นมาอยู่ในดินแดนองครักษ์ได้ไม่นานก็ตาม

แต่เวลานี้นางไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบเดียวกับหนิงเทียนอีกต่อไป

ขณะที่มู่เสวี่ยกำลังจะพุ่งกายมายืนหยัดอยู่ด้านข้างอาจารย์ของนาง น้ำเสียงอันแข็งกร้าวของหนิงเทียนตวาดออกดังลั่น“หยุด!! อย่าได้ก้าวเข้ามาเป็นภาระของข้า”

สิ้นคำกล่าวที่เย็นชา หนิงเทียนสะบัดมือเรียกพิรุณโปรยกลับเข้าสู่มืออีกครั้ง มันใช้พิรุณโปรยในการค้ำยันร่างของตัวเองขึ้นมายืนนิ่ง

“โฮะ โฮะ!! ข้ายอมรับว่าเจ้านั้นมีฝีมือพอตัวและระดับพลังของเจ้ามันช่างแปลกประหลาดลึกลับเสียจริงแต่นั้นก็ไม่ช่วยให้เจ้ามีชีวิตรอดไปจากที่นี้ได้ .

อีกไม่นานเจ้าก็จะสิ้นแรงและตายลงด้วยพิษร้ายจากพันบุปผาของข้า” ฉุนเปากล่าวออกพร้อมเสียงหัวเราะอันน่าสะอิดสะเอียน

หนิงเทียนปลายตามองไปยังฉุนเปาด้วยรอยยิ้ม อาการบาดเจ็บของมันมีเพียงแต่บาดแผลภายนอกเท่านั้นแม้สภาพของมันจะดูไม่ดีเท่าไรนัก แต่การใช้รุกรับชั่วพริบตากับคนทั้งสี่นั้นถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี

ไม่เช่นนั้นแล้วผลที่ออกมาคงจะเลวร้ายกว่านี้มากนัก และพร้อมกันนั้นหนิงเทียนเปิดปากออกมาอย่างดูถูก

“พิษ? เจ้ากล้าใช้พิษต่อหน้าข้าที่เป็นถึงราชันย์แห่งพิษร้ายนะหรือ น่าขันสิ้นดี”สิ้นเสียงของหนิงเทียน มันสะบัดมือโยนโอสถสีขาวบริสุทธิ์เข้าปาก

จากนั้นมันเพียงแค่ยกมือและชี้ไปยังใบหน้าของฉุนเปา น้ำพิษสีเขียวสดค่อยๆไหลออกมาทางปลายนิ้วและหยดลงสู่พื้นอย่างน่าอัศจรรย์

“ปะ...เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!!” ใบหน้าของฉุนเปาแข็งทื่อมันกล่าวออกมาราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้เห็น

อาการเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ฉุนเปาคนเดียวแม้แต่ซีหมิ่นเองยังอดขนลุกไม่ได้ ตัวมันนั้นรู้เรื่องพิษดีกว่าใครทั้งหมดในห้องโถงนี้ มันรู้ดีว่าการถอนพิษนับร้อยชนิดด้วยโอสถเม็ดเดียวนั้นเป็นเรื่องท้าทายสวรรค์มากเพียงใด

ใช่แล้วจะมีเพียงโอสถที่ถูกปรุงขึ้นโดยผู้ท้าทายสวรรค์ เช่นโอสถสวรรค์เท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ได้

เวลานี้ภายในใจของซีหมิ่นครุ่นคิดอย่างบ้าคลั่งถึงตัวตนของหนิงเทียนเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นอยู่ภายในใจเพียงของตัวมันเอง มันมิได้เปิดปากบอกความกังวลให้แก่ใครได้ฟังเลยแม้แต่คนเดียว

“เหอะๆ ฉุนเปาพิษของเจ้ามีไว้เพียงเพื่อใช้ขู่ศัตรูเท่านั้นหรือไง? เร็วไม่ต้องสนใจอะไรอีกแค่พวกเราโจมตีมันอีกครั้ง ข้ารับประกันได้เลยว่าหมอเถื่อนผู้นี้ไม่มีพลังหลบเลี่ยงได้อีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน”

หรงหยางกล่าวออกด้วยความมั่นใจพร้อมทั้งสลายร่างกลายเป็นเมฆหมอก พุ่งเข้าใส่หนิงเทียนซ้ำเป็นครั้งที่สอง

ในขณะที่เมฆหมอกสีขาวกำลังเข้าใกล้หนิงเทียนนั้น บังเกิดเงาดำทมึนบดบังเมฆหมอกขึ้นมา จากนั้นเงาทมึนนั้นได้ปล่อยหมัดเข้าทำลายเมฆหมอกสีขาวจนสลายหายไป

ส่งร่างของหรงหยางให้กระเด็นถอยออกไปถึงเจ็ดก้าวพร้อมกับโลหิตจางๆไหลออกจากมุมปากของมัน

“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย หัตถ์เมฆคล้อย หรงหยาง วันนี้ข้าจะสอนถึงความจงรักภักดีให้ ว่ามันเป็นอย่างไรกัน” สุ้มเสียงดังออกมาจากเงาสีดำทมึน จากนั้นมันค่อยๆก่อรูปรวมเป็นร่างของอวี้กุ้ย

หรงเจาจื่อเห็นอวี้กุ้ยขยับเขยื้อนตัวได้ราวกับว่าพิษที่มันได้รับสูญสลายหายไปจนหมด มันรีบหันหน้าไปมองซีหมิ่นแต่กลับพบว่าเวลานี้ ผู้ที่ตกตะลึงที่สุดไม่ใช่ตัวมัน แต่เป็นตัวเจ้าของพิษนั้นเอง “บ้า!! เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนถอนพิษของข้าได้!!??”

ได้ยินดังนั้นหนิงเทียนหัวเราะออกเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าดอกมายาบังคับใจของเจ้านั้นวิเศษแล้วหรอ? สำหรับตัวข้าแล้ว มันเป็นดอกไม้ที่ข้าไม่แม้แต่จะมีเวลาว่างเด็ดมันมาปรุงโอสถด้วยซ้ำ”

ด้วยคำกล่าวของหนิงเทียนนั้น ทำให้ภายในใจของหรงเจาจื่อเชื่อมั่นอย่างแน่ชัดแล้วว่าบุรุษตรงหน้ามันนั้นคือ จ้าวตำหนักโอสถของนิกายท่องนภาอย่างที่เคยกล่าวอ้างจริงๆ

เวลานี้ตัวตนของหนิงเทียนสร้างความหวาดกลัวให้เกิดแก่ในใจของหรงเจาจื่อยิ่งกว่าการที่มันก่อกบฎต่อนิกายเคลื่อนเมฆาเสียอีก คงจะมีเพียงแต่ความตายของหนิงเทียนเท่านั้นที่จะสร้างความสบายใจให้แก่ตัวมันได้

เมื่อหรงเจาจื่อคิดได้เช่นนั้น มันไม่รอช้าอีกต่อไปกระบี่เคลื่อนเมฆาของมันสั่นออกราวกับกระบี่ที่กำลังกระหายในเลือด จากนั้นมันสะบัดมือควบคุมกระบี่พุ่งเข้าหาหนิงเทียน “ตาย!!!”

ทันใดนั้นเอง เสียงร้องของอัสนีดังก้องไปทั่วห้องโถง “เมฆาเกื้อหนุนอัสนี อัสนีก่อเกิดเมฆา เทพแห่งสายฟ้าจุติ ณ หัตถ์ของข้า” สิ้นคำกล่าวนั้นแสงสว่างพร้อมทั้งเสียงคำรามของพยุหะอัสนีดังคำรามกึกก้องไปทั่วทุกทิศ

ร่างของอวิ้นป๋าประดุจแสงของสายฟ้าพุ่งตรงเข้าไปขัดขวางกระบี่เคลื่อนเมฆา เช้ง!!! ทุกๆการปะทะกันบังเกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งห้องโถง

“บัดซบ อวิ้นป๋าถ้าเจ้าต้องการตาย ข้าจะไม่ขัด” หรงเจาจื่อเห็นเช่นนั้นมันเริ่มคลายสมาธิจากตัวของหนิงเทียนไป พร้อมเพ่งไปยังศัตรูตรงหน้าอย่างขัดไม่ได้

เวลาเดียวกันนั้นซีหมิ่นที่กำลังพิจารณาถึงสถานการณ์เบื้องหน้าว่าจะเข้าช่วยหรือถอยหนีอยู่นั้น มันกลับต้องเรียกเตาปรุงโอสถออกมารับการโจมตีของชายชรานามว่าหยุนเกาอย่างเร่งด่วน

ปัง!!! เสียงของปลอกนิ้วสีทองเข้าปะทะกับเตาโอสถที่สลักด้วยลวดลายตะขาบพิษจนบังเกิดเสียดังสนั่นไปทั่ว

“เจ้าสำนักร้อยพิษ ท่านกำลังทำตัวเป็นภัยคุกคามนิกายเคลื่อนเมฆาของข้า ตาแก่คนนี้ไม่สนว่าท่านจะเป็นจ้าวโอสถเพียงคนเดียวหรืออย่างไร ไม่ว่าเทพหรือเซียนถ้าคิดจะทำลายนิกายเคลื่อนเมฆาก็ต้องข้ามศพตาแก่ผู้นี้ไปก่อน”

หยุนเกากล่าวออกมาด้วยเสียงเย็น ดรรชนีจี้เมฆา ทักษะระดับสูงของนิกายถูกใช้ออกราวกับห่าฝน ทุกๆการโจมตีด้วยปลอกนิ้วสีทองมันพุ่งเข้าหาจุดตายของซีหมิ่นอย่างโหดเหี้ยม

“ผู้พิทักษ์เมฆาหยุนเกาหรือ? เป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควร” เวลานี้ซีหมิ่นไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกอีกแล้วว่าจะช่วยหรือถอย แต่มันถูกการโจมตีของหยุนเกาบังคับให้เข้าร่วมสงครามภายในอย่างช่วยไม่ได้

พร้อมๆกันนั้นหนิงเทียน ดึงกระบี่พิรุณโปรยของมันขึ้นมาพร้อมชี้ไปยังใบหน้าฉุนเปา

“เอาล่ะ คนอื่นๆก็ได้คู่ไปหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่พวกเราสองคน”

ด้วยน้ำเสียงและคำกล่าวของหนิงเทียน ทำให้ฉุนเปาที่กำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สติขึ้นมา มันปลายตามาจับจ้องหนิงเทียนด้วยสายตารังเกียจ

“ตัวเจ้านะหรือ จะเป็นคู่ต่อสู้ของฉุนเปา น่าขันสิ้นดี หรือเจ้ายังหวังในธาตุมิติของเจ้าอยู่ บอกให้รู้ไว้มิติธาตุของเจ้าหาได้มีผลอะไรกับฉุนเปาเลยแม้แต่น้อย”

“อ่อ... ขอบคุณที่เตือนข้า ตัวข้าเองเพียงแค่หลบการโจมตีของพวกเจ้าทั้งสี่ก็เต็มกลืนแล้ว ฉะนั้นข้าคงไม่ขอฝืนตัวเองดีกว่า” กล่าวถึงตรงนี้หนิงเทียน เปล่งเสียงออกมาราวกับว่ามันกำลังพูดกับตัวเองอยู่

“อู๋ชาง เอาตัวมันออกมา” สิ้นเสียงคำสั่ง ทันใดนั้นเองจุดดำเล็กๆปรากฏขึ้นกลางอากาศและพริบตาเดียวมันขยายออกพร้อมกับคายร่างของซิ่วหลีกลับคืนมา

เมื่อฉุนเปาเห็นซิ่วหลียังไม่ตายไป แววตาของมันฉายแววยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าซิ่วหลียังอยู่โอกาสที่ข้างมันจะชนะในสงครามครั้งนี้จะมีมากขึ้นอีกหลายส่วนนัก

แต่ทันใดนั้นการกระทำของซิ่วหลีได้ทรยศหักหลังความหวังของฉุนเปาอย่างไม่มีชิ้นดี มันเป็นภาพที่ซิ่วหลีหันหลังให้แก่ฉุนเปาและคุกเข่าทั้งสองข้างลงเบื้องหน้าหนิงเทียนพร้อมกล่าวออกด้วยความเคารพ

“ท่านมหาจักรพรรดิมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้โปรดสั่งการมาได้เลย”

ได้ยินดังนั้นหนิงเทียนพยักหน้าช้าๆ มันบ่นออกอย่างพอใจ “ดูเหมือนซานซันจะสั่งสอนเจ้ามาได้ดีอยู่ไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงไปจัดการมันไปแก่ข้า” สิ้นคำกล่าวหนิงเทียนใช้ปลายกระบี่ชี้ไปยังใบหน้าของฉุนเปาเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นคำสั่ง

“ตามบัญชาของท่าน” ซิ่วหลีรับคำอย่างว่าง่าย จากนั้นมันหันร่างพร้อมโบกมือเรียกพู่กันสีน้ำเงินอาวุธคู่ใจในแดนวีรชนของมันออกมา

ไม่มีใครรู้ว่าภายในช่วงเวลาสั่นๆภายในมิติอนันตเวคินนั้น เกิดเหตุใดขึ้นระหว่างซิ่วหลีและซานซันกันแน่ถึงทำให้ซิ่วหลีกลายเป็นดั่งมนุษย์กระบอกที่เชื่อฟังคำสั่งของหนิงเทียนอย่างว่าง่าย

ฉุนเปาเห็นดังนั้นมันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงติดขัด“ซะ..ซิ่วหลีเจ้ากำลังจะทำอะไร เหตุใดถึงไปฟังคำสั่งของคนนอก อย่าบอกข้านะว่าเจ้ากำลังทรยศพวกเราอยู่ แล้วนั้นอะไร?....พู่กันลิขิตฟ้าเจ้าเอาจริงๆสินะ”

ยังไม่ทันที่ฉุนเปาจะได้กล่าวจบประโยคดี ร่างของซิ่วหลีพุ่งเข้าใส่ดุจลูกเกาทัณฑ์พู่กันสีน้ำเงินครามถูกวาดออกเป็นตัวอักษรที่แฝงพลังปราณอันล้ำลึก

“บัดซบ เจ้าเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ” ฉุนเปากล่าวออกพร้อมสะบัดมือส่งปิ่นปักผมลายกุหลาบเข้าปะทะกับพู่กันสีน้ำเงินคราม

เวลานี้แดนวีรชนขั้นปลายทั้งแปดคนกำลังต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่ง พวกมันทั้งหมดต่างล่วงรู้ถึงฝีมือและทักษะของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเพราะว่าเจ็ดในแปดคนนั้นเกิดและโตมาด้วยกัน

แต่ทว่าด้วยคำว่าอำนาจเพียงสองคำเท่านั้น ทำให้เลือดของทั้งเจ็ดคนกำลังหลั่งไหลย้อมพื้นดินของนิกายเคลื่อนเมฆาที่พวกมันได้เกิดและโตมา

หนิงเทียนเห็นดังนั้น มันเก็บกระบี่พิรุณโปรยเข้าไปในแหวนมิติและก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปนั่งบนเกาอี้อันเป็นเก้าอี้ประจำตัวของอวิ้นป๋าและเฝ้ามองการต่อสู้ของทั้งแปดคนด้วยรอยยิ้ม

มู่เสวี่ยกำลังยืนมองเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึงอยู่กับที่แต่เมื่อสายตาของนางได้เห็นหนิงเทียนก้าวเดินมานั่งนางรีบก้าวเท้าตามมาโดยเร็วพร้อมกล่าวออกไปว่า “อะ..อาจารย์นี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่??”

“ไม่มีอะไรก็แค่พวกมันแตกคอกันเองเท่านั้น พวกเราก็มารอดูเถอะฝ่ายไหนจะเป็นผู้แข็งแกร่งกว่ากัน” หนิงเทียนกล่าวออกอย่างสบายๆ

ขณะที่มู่เสวี่ยกำลังกล่าวถามบางอย่างออกไป สายตาของนางจับจ้องไปยังใบหน้าของหนิงเทียนที่มีร่องรอยการฉีกขาดของหน้ากากหนังมนุษย์ นางรีบกล่าวออกอย่างตกใจ “อาจารย์ใบหน้าของท่าน!!!”

ด้วยคำกล่าวนั้นทำให้หนิงเทียนสะดุ้งด้วยความตกใจ มันรีบยกมือลูบไปยังรอยฉีกขาดนั้นเพียงแค่เวลาฝ่ามือลูบผ่าน รอยฉีกขาดของหน้ากากหนังมนุษย์หายไปและกลับมาเป็นเหมือนปกติอีกครั้ง

“อาจารย์หรือว่าใบหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของท่าน” มู่เสวี่ยกล่าวถามออกด้วยความสงสัย ดวงตาอันใสสว่างของนางพยามที่จะมองลึกไปยังดวงตาคู่นั้นของหนิงเทียน

หนิงเทียนยกมือขึ้นมาในเชิงห้ามพร้อมกับรีบกล่าวเปลี่ยนเรื่องในทันที “เวลานี้เจ้าไม่ต้องมาสนใจเรื่องราวของข้า เจ้าควรที่จะหาคำตอบในเรื่องของบิดาเจ้ามากกว่า

มู่ซวนเฟิงที่เจ้ากล่าวเรียกว่าลุงนั้น กลับเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสที่หนึ่งแห่งนิกายเคลื่อนเมฆาและบนร่างที่ไร้วิญญาณของบิดาเจ้าก็ยังทิ้งร่องรอยการถูกฝ่ามือเคลื่อนเมฆาไว้อีกด้วย สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

ตามความคิดของข้าเพียงแค่พวกเรารอให้การต่อสู้นี้จบลง คำตอบที่พวกเรากำลังตามหาคงจะออกมาจากปากของหรงเจาจื่อไม่ก็หรงหยางคนใดคนหนึ่งนั้นและ”

เมื่อมู่เสวี่ยได้ยินถึงเรื่องของบิดาแล้ว ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความปิติยินดี นางไม่ลืมที่จะกล่าวออกพร้อมกับโค้งศีรษะลง “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยเหลือศิษย์”

“ไม่ต้องมากพิธี การต่อสู้ในระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะได้เห็นกันง่ายๆ เจ้าจงตั้งใจดูให้ดี ข้ามั่นใจว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าอย่างแน่นอน”

หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมกับละสายตาที่เคยมองมู่เสวี่ยไปจับจ้องการต่อสู้ของคนทั้งแปด มู่เสวี่ยเองก็ยกศีรษะขึ้นและหันร่างไปมองการต่อสู้อย่างว่าง่าย

เวลานี้ห้องโถงที่เคยเต็มไปด้วยความสวยงามวิจิตตากลับหลงเหลือเพียงซากปะรักหักพังด้วยน้ำมือของมนุษย์ในแดนวีรชนทั้งแปดคน การต่อสู้ของพวกมันทั้งแปดก็ได้ล่วงเลยเวลามานับชั่วยามแล้ว

พวกมันสลับกันรุกและรับอย่างต่อเนื่อง ไม่มีฝ่ายใดยอมกันและกัน กระบวนท่าโจมตีที่แต่คนละงัดออกมาใช้นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างมากล้น พวกมันต่อสู้กันราวกับว่าเมื่อวานนี้พวกมันไม่เคยได้เป็นสหายที่กอดคอและร่ำสุรากันมาก่อนเลย

“อู๋ชาง เหตุใดทักษะของนิกายเคลื่อนเมฆาถึงผิดแปลกไปจากทักษะในแดนปราชญ์ทั่วไปนัก ถึงแม้มันจะดูเรียบง่ายแต่กลับแฝงไปด้วยกระบวนท่าที่ไร้จุดโหว่ นี่ช่างไม่เหมือนทักษะระดับปราชญ์ทั่วไปเลย ไม่เหมือนเลยจริงๆ”

หนิงเทียนจ้องมองการต่อสู้พร้อมส่งเสียงออกภายใน

“คุณชายไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือ เพลงดาบ กระบวนท่าต่างๆที่มนุษย์ตัวเหม็นพวกนั้นใช้ออกมา แม้จะถูกตั้งชื่ออย่างโอ้อวดแต่แท้จริงแล้วพวกมันเป็นเพียงทักษะพื้นฐานในบทแรกของทักษะบ่มเพาะอัสนีเก้าชั้นฟ้า

อันเป็นทักษะประจำตัวของจักรพรรดิสายฟ้า หนึ่งในจักรพรรดิของยุคบรรพกาล คุณชายถ้าในอนาคตท่านมีวาสนาได้พบกับอีกสองบทที่เหลือแล้วละก็ ถ้าข้าจะบอกว่าท่านจะสามารถสร้างจักรพรรดิสายฟ้าให้กำเนิดในยุคของท่านได้

มันก็ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงไปแต่อย่างใด” ราชาภูตกล่าวออกพร้อมกับแสดงท่าทีคล้ายว่าตัวมันเป็นราชาแห่งมวลความรู้ทั้งปวง

ได้ยินดังนั้นหนิงเทียนจับจ้องไปยังอวิ้นป๋าพร้อมกับบ่นออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา“หืมม์ น่าสนใจจริงๆ ดูเหมือนว่าข้าคงต้องรับทักษะบ่มเพาะของนิกายเจ้าไปเป็นสิ่งตอบแทนแล้วละ”

พร้อมกันนั้นหนิงเทียนปลายตามองไปยังอวี้กุ้ยพร้อมกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “การต่อสู้คู่แรกจบแล้วสินะ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหนิงเทียนดี ฝ่ามืออันแห้งเหี่ยวของอวี้กุ้ยแทงทะลุเกราะลมปราณสีครามของหรงหยางจากนั้นมันใช้สองมือบีบกุมไปยังลำคอของหรงหยางและยกรอยมันขึ้นจากพื้นด้วยสายตาอำมหิต

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด