ตอนที่แล้วบทที่ 114 สองรุมหนึ่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 116 จบชีวิตพร้อมก้าวแรก..

บทที่ 115 เอาชีวิตรอด


กำลังโหลดไฟล์

แต่ถึงอย่างไรร่ายรำล้อเงาจันทร์ครั้งนี้ของหนิงเทียนก็เป็นเพียงกระบวนท่าที่ปราศจากลมปราณ ในยามที่มันต้องเข้าปะทะกับหอกเทพอัคคีที่แทงมาด้วยกระบวนท่า อสรพิษเพลิงเป็นหนึ่งอย่างสุดแรงเกิดแล้ว

กระบี่ของหนิงเทียนทำได้เพียงแต่เบี่ยงทิศทางของหอกเทพอัคคีให้ห่างออกไป2-3ชุนเท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทิศทางของคมหอกพ้นไปจากร่างของมันอย่างเฉียดฉิวได้แล้ว

เมื่อหอกอัคคีเทพของจี้ซวนพุ่งผ่านร่างของหนิงเทียนไปไม่ถึงชุน รอยเลือดสีแดงเข้มปรากฏบนไหล่ของหนิงเทียน ด้วยลมปราณของผู้ฝึกตนแดนวีรชนที่แฝงมากับกระบวนท่าส่งให้ร่างของหนิงเทียนกระเด็นไกลออกดุจเว่าที่สายป่านขาด

ระหว่างที่มันกำลังลอยอยู่กลางอากาศนั้น มุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มออกพร้อมตะโกนออกสุดเสียง “เฉียนหยา!!!ลงมือ”

พร้อมกันกับเสียงของหนิงเทียน ร่างของเฉียนหยาปรากฏอยู่เบื้องหลังของจี้ซวน..... คราวนี้เฉียนหยาทุ่มกำลังของมันออกเต็มสิบส่วนให้กับการโจมตีครั้งนี้

“ปฐพีเป็นหนึ่งส่งเสริมก่อเกิดร้อยพฤกษา จิตวิญญาณแห่งป่ากำเนิดพลังแห่งชีวิตทั้งปวง” สิ้นคำกล่าวร่างของเฉียนหยา ร่างของมันค่อยๆซึมซับพลังแห่งไม้และดิน มันโคจรพลังปราณไปทั่วร่างและใส่มันทั้งหมดกับการโจมตีครั้งนี้

จากนั้นแววตาของเฉียนหยาดำมืด มันใช้ออกด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดของมัน “ฝ่ามือปีศาจหมื่นพฤกษา” พลังปราณแห่งชีวิตรวมกลุ่มกันเป็นก้อนมันอัดแน่นและพวยพุ่งใส่แผ่นหลังของจี้ซวน

เมื่อพลังปราณถูกปล่อยออกไป สองขาของเฉียนหยาทรุดลงกับพื้นเบื้องล่างอย่างไร้เรี่ยวแรง

เวลาเดียวกันนั้นใบหน้าของจี้ซวนบิดเบี้ยวด้วยโทสะ มันไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดการโจมตีของมันถึงถูกเบี่ยงเบนด้วยเด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งพลังเช่นนี้ได้

ขณะที่มันกำลังปลายตามองร่างหนิงเทียนที่ถูกพลังปราณอัคคีอัดกระแทกจนกระเด็นออกและกำลังจะขยับร่างตามไปจัดการหนิงเทียนให้สิ้นเรื่องอยู่นั้น แผ่นหลังของมันกลับเย็นวาบขึ้นมาทันที

จี้ซวนสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่อัดแน่นอย่างมหาศาลอยู่ห่างจากแผ่นหลังของมันเพียงไม่กี่คืบเท่านั้น แค่เพียงจี้ซวนปลายตากลับไปมองพลังปราณก้อนนั้นพุ่งกระแทกเข้าใส่แผ่นหลังของมันอย่างรุนแรง

หลังจากที่ร่างของจี้ซวนปะทะกับพลังปราณจากกระบวนท่าฝ่ามือปีศาจหมื่นพฤกษาของเฉียนหยาแล้ว ตัวของจี้ซวนกระเด็นถอยออกไปไกลราวกับลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกยิงจากคันศร

ร่างของมันพุ่งฝังเข้าไปในหน้าผาหินอันสูงชัน จี้ซวนใช้ความพยาพยามอย่างมากในการดึงร่างของตัวเองออกมาจากหน้าผา มันโซซัดโซเซออกมาอย่างยากลำบาก

จากนั้นมันเองถึงกับพ่นโลหิตออกมาหลายกอง ขาข้างหนึ่งของมันทรุดลงกับพื้นในลักษณะชันเขาขึ้นพยุงตัว

หนิงเทียนเองก็ประสบกับอาการที่ไม่ต่างกันนัก หลังจากถูกพลังปราณกระแทกของกระบวนท่าอสรพิษเป็นหนึ่งแล้ว

หน้าอกของมันถูกฉีกกระชากไปด้วยร่องรอยของบาดแผล หนิงเทียนพยามฝืนกลืนโลหิตที่กำลังทะลักออกมาลงคอไป จากนั้นมันใช้กระบี่พิรุณโปรยแทงลงไปในพื้นดินเพื่อลดทอนแรงและช่วยหยุดร่างของมันเอาไว้ไม่ให้กระเด็นไปกระแทกกับสิ่งใด

หนิงเทียบหอบหายใจยาวอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นมันลุกขึ้นด้วยสีหน้าอันเป็นปกติและรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก อาการที่ปรากฏบนใบหน้าของหนิงเทียนเวลานี้แต่งต่างกับความปั่นป่วนภายในที่ร่างกายของมันกำลังเผชิญอยู่อย่างสิ้นเชิง

ถึงแม้อาการของทั้งสามจะมีสภาพที่แย่และอาการบาดเจ็บของพวกมันไม่ได้ดีกว่ากันและกันไปมากนัก แต่การแสดงออกของหนิงเทียนนั้นแตกต่างจากเฉียนหยาและจี้ซวนเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าอย่างไร หนิงเทียนจะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูได้เห็นเป็นอันขาด ทั้งนี้มันเป็นเรื่องของกำลังใจที่ถูกปลูกฝั่งมาตั้งแต่เล็ก

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!!!” ภายในใจของจี้ซวนกู่ร้องออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ยอมรับ ตัวมันที่เป็นถึงขั้น8ในดินแดนวีรชนกลับต้องคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งพลัง

‘ความแข็งแกร่งของข้า สมควรที่จะสังหารพวกมันทั้งสองได้อย่างง่ายดายแต่ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ไปได้’ ยิ่งจี้ซวนได้เห็นหนิงเทียนแสดงออกถึงท่าทีที่ไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บแล้ว ภายในใจของมันเกิดความสับสนเป็นอย่างมาก

เวลานี้หนิงเทียนหยุดยืนอยู่กับที่ มันไม่ได้ก้าวเท้าเข้าหาจี้ซวนแต่อย่างใด มันเกรงว่าถ้ามันก้าวออกเพียงก้าวเดียว ขุนพลอัคคี จี้ซวนจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของมันได้

หนิงเทียนจึงเปิดปากและกล่าวขึ้นมาว่า “เฉียนหยาพวกเราอย่าได้เสียเวลากับมันอีกต่อไป ตอนนี้สำคัญคือการช่วยเหลือสหายของเรา” กล่าวจบหนิงเทียนบิดตัวและเดินจากหายไปในมุมมืดของป่า

เฉียนหยาที่เห็นเช่นนั้นมันยันกายขึ้นและพุ่งร่างติดตามไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งร่างของจี้ซวนให้นั่งมองการจากไปด้วยความเกรี้ยวกราด

ระหว่างทางที่หนิงเทียนและเฉียนหยากำลังออกติดตามหากลุ่มของหลี่เฟิงอยู่นั้น เฉียนหยาอดไม่ได้ที่จะถามออก

“เจ้าหนุ่ม ในเมื่อพวกเรามีโอกาสสังหารมันทำไม่พวกเราไม่จัดการให้สิ้นเรื่อง ปล่อยมันไว้แบบนี้จะกลายเป็นภัยกับตัวเราในภายหลังได้”

“สังหารมัน? ถ้าพวกเราสู้ต่อไป ข้าคิดว่า7ใน10จะจบลงที่ความตายของพวกเราทั้งคู่ และการที่มันนั่งนิ่งไม่ทำอะไรตอนที่พวกเราเดินออกมานั้น เจ้าคิดว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของมัน?

เปล่าเลย อาการของพวกเราทั้งสองคนก็ไม่ได้ดีกว่าตัวมันสักเท่าไรนัก เหตุผลที่มันปล่อยพวกเราจากมาโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรเป็นเพราะตัวมันกำลังสับสนและมีความไม่มั่นใจอยู่ภายในต่างหาก

เจ้าเองก็อายุปูนนี้แล้วควรที่จะรู้ไว้ว่าการจะตีสุนัขจนตรอกในสภาพที่ตัวเองจวนเจียนจะตายนั้นเป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างยิ่ง” หนิงเทียนกล่าวออกขณะที่มันสะบัดมือนำโอสถสวรรค์ฟื้นฟูพลังของบิดารองออกมาก่อนจะนำเข้าปากอย่างรวดเร็ว

เฉียนหยาที่ได้ฟังคำอธิบายของหนิงเทียนแล้ว ดวงตาของมันฉายแววตกตะลึงออกมา แม้มันจะรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ามันนั้นลึกลับมากแต่มันไม่คาดคิดว่าการคิดอ่านของเด็กหนุ่มคนนี้จะเหนือล้ำเกินกว่าตัวมันไปหลายขั้นนัก

ขณะที่เฉียนหยากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เม็ดโอสถสีขาวนวลพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของมันอย่างรวดเร็ว เฉียนหยารีบตื่นจากภวังค์ความคิดพร้อมตวัดมือรับโอสถออกมาโดยเร็ว ทันทีที่มันคลายมือออก

กลิ่นอายของลมปราณอันเข้มข้นแผ่ขยายออกมาเตะจมูกของเฉียนหยา เมื่อมันสูดเข้าไปเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าของมันแข็งค้างพร้อมกับปากที่อ้าออกกว้าง มันพยามกล่าวออกด้วยคำพูดติดๆขัดๆ

“อะ..อะ.โอสถสวรค์ มันคือโอสถสวรรค์จริงๆ”

ในดินแดนรอบนอกนี้โอสถสวรรค์นั้นเปรียบเสมือนโอสถที่มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้นเพียงเพราะว่าแค่ระดับจ้าวโอสถปฐพีในดินแดนรอบนอกแห่งนี้ยังมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับผู้ที่บรรลุเส้นทางแห่งโอสถในระดับสวรรค์แม้แต่ในเมืองหลวงของทวีปใหญ่ ผู้ที่บรรลุเส้นทางโอสถสวรรค์ยังสามารถนับได้เพียงหยิบมือเดียว

เมื่อหนิงเทียนเห็นถึงสีหน้าของเฉียนหยามันรีบกล่าวออกเพื่อตัดความยุ่งยากที่จะตามมา “ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกล่าวถามอะไรทั้งสิ้น รีบๆกินมันลงไปซะ ศัตรูยังมีระดับครึ่งก้าวสู่แดนวีรชนอีกสามคน ชีวิตของพวกเขาต้องพึ่งพาพลังของเจ้าแล้ว”

สิ้นคำบอกของหนิงเทียน เฉียนหยารีบสลัดความสงสัยให้หายไป มันรีบโยนโอสถสวรรค์เข้าปากโดยเร็ว

ระหว่างทางนั้นมันพยามตั้งสมาธิฟื้นฟูลมปราณให้กลับมาโดยเร็วที่สุด ขอแค่สามารถเรียกพลังปราณกลับมาได้2ใน10ส่วนก็เพียงพอแล้วที่แดนวีรชนขั้น7จะสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนในแดนปราชญ์ได้

.....

..........

“นางสารเลว!! จะหนีไปไหน” เยี่ยเจากล่าวออกด้วยรอยยิ้ม

“แม่นางท่านนี้หุ่นของเจ้าช่างยั่วเย้าเร้าร้อนเสียจริง ข้าน้อยแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” หยงซูที่ยืนอยู่ระหว่างกลางกล่าวออกโดยที่มือของมันลูบไปที่คางอย่างเปี่ยมสุข

“ศิษย์พี่แล้ว เราจะเอาอย่างไรกับขยะสองตัวนี้” หยงจางกล่าวออกโดยน้ำเสียงอันน่าเบื่อเห็นได้ชัดเวลานี้สายตาของมันมองแต่เรือนร่างอันเร้าร้อนของหมิงหยูเท่านั้น

หยงซูหันไปมองยังร่างของหลี่เฟิงที่นอนคว่ำหน้านิ่งอยู่กับพื้น และมองไปยังมู่เสวี่ยที่ทรุดกายนั่งลงกับพื้น เสื้อสีขาวของบุรุษที่มู่เสวี่ยใส่อยู่นั้นปรากฏร่องรอยสีแดงของโลหิตหลายจุด

จากนั้นมันกล่าวออกมาด้วยสายตาอันน่ารังเกียจ"ปล่อยมันไว้อย่างนี้ ข้าจะให้พวกมันได้เห็นว่าสหายของมันจะร้องครวญครางได้ดังเพียงใด เมื่ออยู่ใต้ร่างกายของข้า"

หมิงหยูมองไปที่ทั้งสามคนด้วยสายตาเย็นชา นางสะบัดมือเรียก อาชามหาอสูรออกมาอีกครั้ง เวลานี้ความหวังสุดท้ายของนางก็คือการสู้แค่ตายเท่านั้นเอง

ขณะเดียวกัน เยี่ยเจายิ้มออกมา เมื่อมองไปยังอาชาสีดำขนาดใหญ่ด้วยสายตาเหยียดยาม “เดรัจฉานตัวนี้แม้จะสืบสายพันธุ์ปลายแถวมาจากเผ่าพันธุ์กิเลนก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงอสูรลมปราณระดับที่สองเท่านั้น

แม้แต่เจ้าเด็กจี้จวงยังสามารถเอาชนะได้ นางสุนัขตัวเมีย!!!เจ้ายังกล้าเรียกมันออกมาปรากฎต่อหน้าข้าอีกหรือ”

สิ้นเสียงของมัน ดาบทรงกลมสองเล่มปรากฏอยู่ในมือของมัน จากนั้นเยี่ยเจาฟาดมันทั้งสองเข้าหากันจนเกิดประกายไฟใส่ขนาดเล็ก

“เดรัจฉาน เอาดาบบ่วงมายาของข้าไปกินเป็นอาหารว่างหน่อยเป็นอย่างไร” จากนั้นเยี่ยเจาปล่อยดาบบ่วงมายาของมันออกไป หมายจะตัดร่างของอาชามหาอสูรให้ขาดจากกันเป็นสองส่วน

“พี่เยี่ยเจา ท่านอย่าได้สร้างบาดแผลให้แก่ใบหน้าและส่วนสำคัญในร่างกายของนางเด็ดขาดเลยนะ”หยงซูกล่าวออกขณะที่เท้าของมันข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนร่างของหลี่เฟิง

สำหรับมู่เสวี่ยแล้วสหายทั้งสองอาจจะรู้จักแค่ระยะเวลาสั้นๆแต่ถึงอย่างไรพวกมันก็เคยผ่านความเป็นและต่อสู้กับความตายมาพร้อมๆกัน

เมื่อได้เห็นสารเลวทั้งสามกำลังจะย่ำยีทั้งหลี่เฟิงและหมิงหยู ความรู้สึกโกรธของนางจึงทะยานขึ้นสูง นางพยายามที่จะยันกายขึ้นมาอย่างยากลำบาก

ข้อมือขาวอันขาวผ่องแต่งแต้มด้วยคาบโลหิตที่แห้งกังอยู่จางๆคว้ายึดกระบี่คู่ใจของตัวเอง เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แลกชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

ขณะเดียวกันนั้นเองเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏต่อสายตาของนาง เป็นร่างของทั้งผู้มีคุณและอาจารย์ของตัวนางเอง ใช่แล้วมันคือร่างของหนิงเทียนที่พุ่งออกมาจากส่วนในของป่าวิญญาณอสูรอย่างเต็มกำลัง

บัดนี้ใบหน้าของหนิงเทียนคล้ายดั่งปีศาจร้าย มันลืมเลือนความเจ็บปวดที่ได้ต่อสู้กับจี้ซวนไปอย่างสิ้นเชิง จิตสังหารของหนิงเทียนไหลทะลักออกมาราวกับประตูเขื่อนที่แตกลง มันเข้าโจมตีใส่เยี่ยเจาอย่างบ้าคลั่ง

ด้วยความตกใจ เยี่ยเจาที่กำลังถูกหนิงเทียนรุกไล่ รีบถอยร่างออกห่างจากมู่เสวี่ยทันที ไม่ใช่เพียงแค่เยี่ยเจาที่ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของหนิงเทียน ทั้งหยงจางและหยงซูเองก็มีใบหน้าที่บิดเบี้ยวไม่ต่างกัน

และที่ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อมันเห็นโจรปีศาจ เฉียนหยาพุ่งตัวตามออกมาจากมุดมืดของต้นไม้และฟาดฝ่ามือเปลี่ยนทิศทางของดาบบ่วงมายา จนเกิดเสียงดัง "ตูมม!!!!!"

“เหตุใดกัน พวกมันทั้งสองถึงมาอยู่ที่นี้ได้ แล้วท่านขุนพลอัคคีอยู่ที่ใดกัน? ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของทั้งสามพวกมันไม่สามารถปิดบังความรู้สึกสับสนที่ปรากฎออกบนใบหน้าได้เลยแม้แต่น้อย

แต่ด้วยพลังของตัวมันและอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดีของหนิงเทียน ทำให้เวลานี้เยี่ยจางสลัดหลุดจากการโจมตีของหนิงเทียนเข้าไปรวมกลุ่มกับสหายของมันอีกสองคนได้อย่างไม่ยากนัก

ทั้งสามคนไม่ลังเลที่จะละทิ้งภารกิจตรงหน้าและพุ่งตัวออกไปยังทิศทางของจี้ซวนทันที พวกมันห่วงความปลอดภัยของขุนพลอัคคียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกมันคิดและทำออกอย่างรวดเร็วคือการถอยหนี

เฉียนหยามองไปยังร่างของทั้งสามที่จากไปอย่างรวดเร็วมันเพียงกล่าวออกมาแก่หนิงเทียนเบาๆ “แบบนี้มันจะดีแล้วหรือ?”

หนิงเทียนกล่าวตอบด้วยเสียงเย็น “พวกมันทั้งสี่จะไม่สามารถ เอาชีวิตรอดไปจากป่าวิญญาณอสูรได้อย่างแน่นอน”

มันกล่าวออกขณะที่กำลังสำรวจอาการบาดเจ็บของมู่เสวี่ยพร้อมกับส่งโอสถปฐพีฟื้นพลังให้นางก่อนจะกวาดสายตาไปสำรวจบุคคลที่เหลือ

ในตอนนี้เฉียนหยากำลังนั่งขัดสมาธิถ่ายพลังปราณรักษาอาการบาดเจ็บของหลี่เฟิงอยู่ ไม่นานนักร่างของหลี่เฟิงเริ่มมีอาการตอบรับ นิ้วของมันขยับขึ้นและเปิดเปลือกตาขึ้นมา

หนิงเทียนยกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวออก “หัวหน้าหลี่อาการของท่านไม่เบาเลยทีเดียว”จากนั้นมันโยนโอสถระดับปฐพีให้แก่หลี่เฟิงเพื่อใช้ในการฟื้นฟูพลัง

ภายในสามเมืองรอบนอกมีเพียงเจ้าสำนักร้อยพิษ ซีหมินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างโอสถระดับปฐพีได้ แต่สำหรับหนิงเทียนแล้วมันกลับโยนโอสถปฐพีแจกจ่ายให้คนอื่นๆราวกับเป็นสิ่งของไร้ค่า

มู่เสวี่ยมองดูการกระทำของหนิงเทียนด้วยแววตาเลื่อมใส จากนั้นนางเปิดปากตอบออกมา

“หัวหน้าหลี่ใช้ตัวเองเป็นโล่เพื่อช่วยให้พวกเราได้หลบหนี เขาต่อสู้อย่างองอาจกับสารเลวทั้งสามตัวนั้น จนสติสุดท้ายได้ดับลง ถ้าไม่ได้เขาแล้วเกรงว่าพวกท่านคงจะมาช่วยเราไม่ทันการ”

หนิงเทียนไม่ได้แปลกใจกับคนตอบของมู่เสวี่ยเลยแม้แต่น้อย ด้วยนิสัยเช่นนี้หลี่เฟิงถึงเป็นหลี่เฟิง คำนึงถึงผู้อื่นและซื้อใจคนด้วยความเมตตานี้คือคุณสมบัติของบุคคลที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแม่ทัพนำกำลังรบนับหมื่น...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด