ตอนที่แล้วKing X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 169 การมาของราชิณีภูติ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปKing X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 171 มันต้องแบบนี้สิ

King X King เมื่อได้เกิดเป็น องค์รัชทายาทลำดับสุดท้าย ตอนที่ 170 เงื่อนไขเคลียร์


ตอนที่ 170 เงื่อนไขเคลียร์

เมื่อผมพูดออกไปราชินีภูติก็เบนสายตามองมาทางผมเล็กน้อย… ไม่สิ ที่เธอกำลังมองตอนนี้อาจจะไม่ใช่ผมแต่กำลังเป็นลาฟเชียร์ต่างหาก ก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องมีปัญหาเพราะเรื่องเอาคนไปด้วยมันไม่ได้อยู่ในสัญญา แต่ไอการออกมาแล้วปล่อยแรงกดดันพลังเวทย์ขนาดนี้มันก็เกินไปหน่อย

ขนาดพวกทหารเองยังไม่สามารถขยับได้เลย

ลาฟเชียร์เองก็แทบจะหมดสติไปแล้ว

“ขออภัยในการเสียมารยาทด้วย” ราชินีภูติกล่าวด้วยน้ำเสียงลูกสึกผิดมองไปทางดิวนีสันต์ที่ด้านหลังของผม จากนั้นก็เริ่มพูดต่ออีกว่า “ประเทศของข้าการปล่อยพลังเวทย์แบบนี้มันเป็นเรื่องปกติเพราะต้องไล่สัตว์อสูรให้ออกห่างตลอดเวลา”

พูดจบเธอก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

เธอไม่ต้องมาเนียลเลยนะ เมื่อกี้ก็แค่ต้องการจะขู่พวกทหารใช่ไหม ถึงประเทศภูติจะได้ชื่อว่ามีสัตว์อสูรระดับสูงมากมายแล้วไอองครักษ์สี่คนที่อยู่กับเธอมีเอาไว้ตั้งโชว์หรือไง ให้พวกนั้นจัดการไปสิ!

“มะ ไม่เป็นอะไรหรอกราชินีภูติทางข้าเข้าใจดี”

ดิวนีสัตน์ตอบออกมา

แกก็เอาด้วยเหรอเนี่ย ยัยนี่มันกำลังหยามประเทศเมซัสอยู่นะ

เฮ้อ~

แต่ก็ช่างเถอะ ที่ดิวนีสัตน์ตอบมาแบบนั้นอาจเป็นเพราะไม่อยากให้มันเกิดปัญหาระหว่างสองประเทศก็ได้ เพราะงั้นเป็นคำตอบที่ดีในเชิงราชาแต่ในฐานะเจ้าบ้านแล้วหมอนี่มันสอบตกแบบสุดๆ ถ้าเป็นผมโดนทำขนาดนี้คงสวนกลับไปแล้วไม่มีทางยอมแบบนี้หรอก

หึ!

เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก

บรรยากาศในห้องก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ ลาฟเชียร์เองก็สามารถยืนด้วยตัวเองได้ผมจึงปล่อยมือออกจากเธอพวกทหารเองก็สามารถขยับตัวได้ไม่ยาก แต่ที่ผมกำลังสงสัยหรือจะเรียกว่าเป็นกังวลก็ได้ก็คือพลังของราชินีภูตินี่แหละ เพราะทหารในห้องนี้พลังอย่างน้อยก็ระดับกลางช่วงปลาย หรือไม่ก็พลังอยู่ระดับสูงกันทั้งนั้น

ยังโดนกดดันไปจนแทบขยับตัวไม่ได้

ตัวผมเองถ้าไม่มีเวทย์ป้องกันสายดรารอน์ที่สลับเอาธาตุเวทย์มาป้องกันก็คงอยู่ในสภาพไม่ต่างจากพวกทหารหรอก

“เอาละงั้นเจ้าช่วยอธิบายเรื่องตอนนี้มาด้วย ยัยเด็กที่ท่าทางเหมือนกับองค์หญิงที่อยู่ข้างเจ้าเป็นใครช้าคิดว่าในข้อตกลงของพวกเราไม่มีแบบนี้นะ”

ราชินีภูติมองมาทางผมแล้วถามมา

องค์หญิงเหรอ หึหึ!

“เธอจะตามไปกับข้าด้วยครับ”

“ไม่ได้!”

เมื่อตอบไปก็โดนปฏิเสธออกมาทันควัน

ก็คิดเอาไว้แล้วละนะว่าเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ เพราะงั้นผมก็เลยหาทางแก้ไข้เอาเรียบร้อยกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว

“ถ้างั้นขอถามเหตุผลหน่อยทำไมถึงไม่ได้ครับ”

“เด็กนั่นไม่มีความจำเป็นอะไรต่อประเทศภูติ”

หลังถามเหตุผลเธอก็ตอบมาพร้อมชี้นิ้วตรงไปที่ลาฟเชียร์ ยัยนี่ตอบตรงไปตรงมาดีแหะ

“ถ้างั้นถ้าเกิดมีประโยชน์ก็สามารถให้เธอไปด้วยได้ใช่ไหมครับ”

“แน่นอน”

เรียบร้อยเงื่อนไขเคลียร์!

จากนั้นผมก็เดินเข้าไปหาลาฟเชียร์อีกครั้งและโอบร่างกายแสนบอบบางของเธอเอาไว้ แล้วก็พูดออกไปว่า “ก็จริงอยู่ที่เธอไม่มีประโยชน์กับประเทศภูติแต่เธอมีประโยชน์กับข้าอยู่ในหลายเรื่อง แล้วถ้าท่านไม่ให้เธอเดินทางไปด้วย ข้าเองก็ต้องปฏิเสธการเดินทางไปกับท่านเช่นกัน!”

“-นี่แกคิดว่าตัวเอง-”

“หยุดก่อนรากอส”

ก่อนที่หนึ่งในองครักษ์ของภูติไฟจะพูดอะไรออกมา ราชินีภูติก็ห้ามออกมาก่อนพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ

หึหึ! รู้สึกว่าเจ้าจะคิดว่าตัวเองสำคัญจังเลยนะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมก็เพียงแค่เรียกร้องสิ่งจำเป็นเท่านั้น แล้วอีกอย่าง เธอคนนี้ไม่ใช่องค์หญิงอะไรแบบที่ท่านเข้าใจด้วยเธอเป็นเพียงลูกขุนนางธรรมดาที่สามารถทำอาหาร และช่วยเหลือเรื่องงานบ้านให้ข้าได้-”

“แล้วก็มีพลังเวทย์ธาตุแสงแล้วสามารถใช้เวทย์ [จิตวิญญาณแห่งแสง] เพื่อติดต่อกลับประเทศได้สินะ…”

สมแล้วที่เป็นราชินีภูติ สามารถอ่านเกมออกได้แบบรวดเร็วแบบนี้อันที่จริงแล้วเป้าหมายหลักที่เอาลาฟเชียร์ไปด้วยมันก็เรื่องที่เธอพูดแหละ แต่ยังไงสะตอนนี้เราต้องใจเย็นเอาไว้ก่อน

“ก็เอาสิ!”

“เอ่ะ”

ผมอุทานเพราะแปลกใจ

“ข้าบอกว่าเจ้าสามารถพาเธอไปได้ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าทางข้าจะจับตาดูเธออาไว้เท่านั้นถ้าเกิดทำอะไรที่เป็นการทำลายความมั่นคงของประเทศภูติทางนี้จะเริ่มกำจัดทิ้งทันที”

“มะ ไม่มีปัญหาคะ!!!”

ลาฟเชียร์ตอบน้ำเสียงเกร็งๆ หลังจากที่ราชินีภูติบอกมา

ใจเย็นสิไปพูดแบบนั้นถ้าเธอรายงานเรื่องเกี่ยวกับประเทศภูติให้ทางประเทศนี้เธอจะโดนกำจัดตอนไหนก็ไม่รู้นะ คุณลาฟเชียร์! ถึงอยากจะพูดออกไปแบบนี้ก็เถอะแต่คงไม่จำเป็นแล้วละ เพราะถึงจะตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แต่ท่าทางและแววตาของเธอได้แสดงความลังเลอะไรออกมาเลยเหมือนกับตอนที่คุยกับเอ็ดเน่ไม่มีผิด

“งั้นก็ดีเอาตามนี้ก็แล้วกัน”

ในที่สุดราชินีภูติก็ยอมรับ แต่มันต่างจากแผนของผมไม่นิดหน่อยแบบที่วางเอาไว้ แต่ก็ช่างมัน เพราะยังไงผลลัพธ์ก็คือสามารถเอาลาฟเชียร์ไปด้วยได้แล้วซึ่งก็แปลว่าเรื่องในครั้งนี้สำเร็จที่สามารถพาเธอไปได้ด้วยแบบนี้

เมื่อคุยและตกลงกันเรียบร้อย

ดิวนีสันต์ก็เดินออกมาจากด้านหลังของผมมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของราชินีภูติ แล้วเริ่มพูดออกมาว่า “ราชินีภูติข้าขอเวลาสักครู่ได้ไหมข้าต้องการคุยกับท่านหน่อย”

ถึงแม้ว่ามันจะคล้ายการขอร้องก็จริง

แต่การที่ราชาอย่างดิวนีสันต์พูดออกมาแบบนี้มันก็เหมือนกับพูดว่า [ช่วยมาคุยด้วย] เพราะถ้าปฏิเสธมันเสียมารยาทเกินไป

“คุยเรื่องอะไร?”

“เกี่ยวกับเรื่องอนาคตอีกห้าปีครับ ทางข้าคิดว่ามัน-”

“ตกลง ข้าจะไปคุยด้วยแต่ขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่าจะไม่มีการทำข้อตกลง หรือสัญญาอะไรทั้งสิ้น”

“ครับ”

คุยจบทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องไป ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทางดิวนีสัตน์จะวางแผนอะไรเอาไว้อีกถึงได้ขอคุยกับราชินีภูติแบบนั้นแต่อย่าไปสนใจดีกว่าเพราะตอนนี้ผมไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นหรอก ตอนนี้ต้องรีบเพิ่มพลังให้เร็วที่สุดเพราะผมรู้สึกไม่ดีกับการที่เฮาร์แมนพูดเอาไว้ก่อนที่จะหนีไปมาก

กลับคำที่ว่า

[เวลาแห่งการเก็บเกี่ยว]

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด