ตอนที่แล้วร้านไวน์เทพเซียน ตอนที่ 19 พืชวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปร้านไวน์เทพเซียน ตอนที่ 21 ผู้นำหนุ่มของตระกูลหลิว

ร้านไวน์เทพเซียน ตอนที่ 20 ข่าวของหลิวซิ่วเฟิง


กำลังโหลดไฟล์

ร้านไวน์เทพเซียน ตอนที่ 20 ข่าวของหลิวซิ่วเฟิง

จิ่วเซินได้ใช้พลังวิญญาณของเขาเพื่อดูการแสดงออกขององค์ชายสี่และผู้พิทักษ์ต้วนมู่ ในขณะที่พวกเขากำลังชิมน้ำค้างฤดูใบไม้ผลิในทะเลลึก แม้ว่าเขาจะหลับตาลง แต่เขาสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของปฏิกิริยาของชายทั้งสองคนได้อย่างง่ายดาย ‘ชายชราอยู่ในขอบเขต 7 ระดับจักรพรรดิขึ้นสูงสุด แต่เขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการทะลวงผ่านด้วยไวน์เพียงขวดเดียว หากเขาต้องการทะลวงไปสู่ขอบเขตต่อไป เขาต้องการตัวเร่งปฏิกิริยาที่แข็งแกร่งกว่านี้มาก แต่เด็กคนนั้นมีโอกาสทะลวงสูงกว่า แน่นอนว่ามันยังเป็นเพียงโอกาสเท่านั้น’

ผู้พิทักษ์ต้วนมู่ค่อย ๆ เปิดขวดไวน์

กลิ่นหอมของไวน์ที่เข้มข้นได้พวยพุ่งออกมาจากปากของขวดไวน์ทำให้เกิดกลิ่นหอมของน้ำค้างที่อยู่ในทะเลลึก ดวงตาของชายทั้งสองเป็นประกายเมื่อพวกเขาได้สูดกลิ่นอันหอมหวานของไวน์อย่างตะกละตะกลาม

หลังจากรินไวน์จนเต็มแก้ว ผู้พิทักษ์ต้วนมู่ก็ยกแก้วมาที่ริมฝีปากของเขาอย่างใจร้อนและจิบเล็กน้อย

สำหรับองค์ชายสี่ เขาพึมพำอะไรบางอย่างราวกับว่าเขากำลังร่ายมนต์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ “แค่แก้วเดียว แค่แก้วเดียว แค่แก้วเดียว” เมื่อหลับตาลงครึ่งหนึ่ง องค์ชายสี่ก็จิบเข้าไปเช่นกัน

องค์ชายสี่สะดุ้งตกใจราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจขณะมองดูแก้วไวน์ในมือของเขา

เมื่อของเหลวสีทองได้สัมผัสลิ้นของเขา เขารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ได้ปกคลุมไปทั่วปากของเขา แต่แล้ววินาทีต่อมา ความรู้สึกที่ร้อนแรงก็ได้เข้าจู่โจมในลำคอของเขา ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทั้งสองสร้างได้หลอมรวมกันอย่างที่ไร้รอยต่อ แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของทั้งสองไว้ได้ ทำให้เขาดื่มด่ำกับการดื่มไวน์อย่างสิ้นเชิง

“ข้ารู้สึกแบบนี้ได้หลังจากจิบเพียงแค่ครั้งเดียว! ข้าสามารถบอกได้ว่ามีน้ำค้างในทะเลลึกที่ได้เพิ่มเข้ามาในกระบวนการหมักซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมของไวน์ แต่ความรู้สึกที่แตกต่างกันทั้งสองอย่างที่ข้าสัมผัสได้คืออะไรกัน?” องค์ชายสี่เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่ยังเด็ก เขายังได้ลิ้มรสอาหารเลิศรสประเภทต่าง ๆ ในพระราชวังมามากมายอีกด้วย นั่นคือเหตุผลที่เขาสามารถจดจำกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำค้างในทะเลลึกได้ในทันที

ผู้พิทักษ์ต้วนมู่ไม่ได้แสดงออกเหมือนกับองค์ชายสี่ เขายังคงดื่มไวน์หนึ่งแก้วด้วยรอยยิ้มที่เพลิดเพลินที่ค้างอยู่บนใบหน้าที่แก่ชราของเขา แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับน้ำค้างในทะเลลึก แต่เขาก็ไม่คิดมากเกี่ยวกับมันนัก

เขาเพ่งความสนใจและตรวจดูการเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีในจุดตันเถียนของเขาในขณะที่เขาดื่มไวน์ต่อไป ‘เหลือเชื่อ! แม้ว่ามันจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าทะลวงไปสู่ขอบเขตต่อไปก็ตาม แต่ก็ยังสามารถรวมรากฐานของข้าให้มั่นคงได้ ทำให้การทะลวงผ่านในอนาคตของข้าง่ายขึ้นไปมัน ช่างเป็นสมบัติล้ำค่า! แม้แต่ไวน์เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของฟีนิกซ์ของจักรพรรดิก็ไม่มีผลเช่นนี้’ ผู้พิทักษ์ต้วนมู่อยู่คิดในใจอย่างตื่นเต้น

องค์ชายสี่ไม่ลังเลอีกต่อไป เขากลืนของเหลวสีทองที่เหลืออยู่ในแก้วด้วยท่าทางไม่สนใจ เขารู้สึกสั่นสะท้านในตอนที่ไวน์ได้ไหลลงไปถึงคอของเขา เพราะเขารู้สึกได้ถึงความร้อนแรงและความเย็นในขณะเดียวกัน ราวกับว่ารสชาติที่ค้างอยู่ในคอของเขาทั้งสองกำลังต่อสู้กันเองอยู่ในลำคอของเขา “ไวน์ชั้นเลิศ!”

องค์ชายสี่รู้สึกอิ่มหลังจากดื่มไวน์ไปหนึ่งแก้ว เขาตระหนักได้ว่าจิ่วเซินไม่ได้จงใจที่หยอกล้าเขาเลย หนึ่งแก้วเป็นจำนวนสูงสุดที่เขาสามารถดื่มได้เมื่อเทียบกับพลังบ่มเพาะในปัจจุบันของเขา จากนั้นเขาก็เหลือบมองขวดไวน์น้ำค้างฤดูใบไม้ผลิในทะเลลึกด้วยท่าทางสลดใจ แต่เขาก็ควบคุมความปรารถนาของเขาได้อย่างรวดเร็วและตรวจสอบจุดตันเถียนของเขาเอง

เขารู้สึกว่าตันเถียนของเขาเต็มไปด้วยแก่นแท้ที่ไม่บริสุทธิ์นัก แต่แก่นแท้ของไวน์นั้นไม่ได้รุนแรงนัก ซึ่งจะทำให้เขาสามารถปรับแต่งได้ง่ายขึ้นมาก เขายังรู้สึกว่าเขามีโอกาสที่จะทะลวงอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาตื่นเต้นมาก

จิ่วเซินถอนพลังวิญญาณของเขาหลังจากที่เขาได้เห็นผลของไวน์แล้ว เขาค่อนข้างพอใจกับมัน แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเขา เขาได้ลิ้มรสไวน์เทพเซียนมานับไม่ถ้วนในชีวิตที่ผ่านมาซึ่งดีกว่าน้ำค้างฤดูใบไม้ผลิในทะเลลึกมากโข แต่แน่นอนว่าส่วนผสมที่ใช้นั้นหายากและล้ำค่ากว่ามากเช่นกัน

บนโต๊ะอื่นมีหัวหน้าสการ์และคนอื่น ๆ นั่งอยู่ พวกเขากำลังดื่มและพูดคุยกันอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมไปแล้วว่าผู้เชี่ยวชาญระดับกลางนั้นได้เสียชีวิตไปในตอนเช้า

หลิวซิ่วเฟิงขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินข่าวลือจากสหายของข้าในตระกูลหลิวว่าหนึ่งในตระกูลขุนนางของจักรวรรดิของเราถูกสงสัยว่าขายอาวุธให้กับจักรวรรดิใกล้เคียง”

บรรยากาศได้กลายเป็นเรื่องจริงจังหลังจากที่หลิวซิ่วเฟิงได้ทิ้งหัวข้อที่ละเอียดอ่อนไว้ หัวหน้าสการ์ขมวดคิ้วและเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้ากำลังพูดถึงตระกูลขุนนางใด”

หูของจิ่วเซินได้ขยับ เขายังสงสัยเกี่ยวกับการสนทนาของพวกเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจฟังพวกเขา ในมุมมองของคนอื่น เขาอาจกำลังทำสมาธิอย่างพากเพียร แต่ในความเป็นจริง จิ่วเซินได้แอบฟังการสนทนาของพวกเขาอย่างลับ ๆ ‘โฮ่โฮ่! ดูเหมือนว่าเรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้นในจักรวรรดินี้ในอนาคตอันใกล้นี้ แน่นอนว่าข้าต้องไปชมฉากนั้นให้ได้ มันคงไม่สนุกนักหากข้าจะอยู่แต่ที่นี่ในเมื่อมีงานรื่นเริงเช่นนี้เกิดขึ้น’

หลิวซิ่วเฟลงเหลือบมองซ้ายขวาของเขาก่อนที่เขาจะทำท่าทางให้ทุกคนเขยิบเข้ามาใกล้เขามากขึ้น จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบาว่า “เป็นตระกูลขุนนางที่ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหลิวในแง่ของความแข็งแกร่งและอำนาจ ตระกูลเป่ยหมิง”

หลังจากได้ยินคำว่า ‘ตระกูลเป่ยหมิง’ ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปในท่าทางที่ค่อนข้างแปลกประหลาดในทันที “ไร้สาระ! ตระกูลเป่ยหมิงนั้นภักดีต่อราชวงศ์มาตั้งแต่ก่อตั้งจักรวรรดิ” ทหารรับจ้างพูดโพล่งออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย

หลิวซิ่วรีบปิดปากของชายคนนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เขาพูดต่อไป หัวหน้าสการ์ยังคงจ้องมองทหารรับจ้างอย่างเย็นชา

จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่าผู้พิทักษ์ต้วนมู่กำลังมองมาที่พวกเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มดีที่นัก

พวกเขาหัวเราะและเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วหลังจากจ่ายเงินให้จิ่วเซิน พวกเขาไม่ต้องการอยู่ในร้านอีกต่อไปเพราะกลัวว่าผู้พิทักษ์ต้วนมู่อาจจะจับพวกเขาเนื่องจากการเพื่อเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูล

‘แม้แต่ตระกูลหลิวก็ยังค้นพบธุรกรรมที่น่าสงสัยของตระกูลเป่ยหมิง หากเป็นเช่นนั้น ข้อสันนิษฐานของท่านจักรพรรดิก็ถูกต้องแล้ว สิ่งนี้ไม่ดีนัก ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทเพื่อเราจะได้เตรียมพร้อมสำหรับผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้า’ หัวใจของผู้พิทักษ์ต้วนมู่กำลังสับสนวุ่นวายในขณะที่เขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้มากมายที่อาจเกิดขึ้น

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด