ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 6 นี่มันพวกต้มตุ๋น!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMDB ตอนที่ 8 สายเลือดอีกาทองคำ

MDB ตอนที่ 7 ไก่ตัวผู้


การประเมินสัตว์วิเศษหลายร้อยตัว แม้แต่ผู้ประเมินสัตว์อสูรระดับสองที่แท้จริงก็ยังไม่สามารถประเมินให้เสร็จด้วยความเร็วเช่นนี้ได้ เว่ยชางหยงรู้ว่าผู้ประเมินระดับสองเพียงคนเดียวในเมืองเมเปิ้ลนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าหวังจีแห่งสมาคมประเมินสัตว์วิเศษ

แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบกับหัวหน้าหวังจีแต่เว่ยชางหยงก็รู้ว่าชายผู้นี้อายุเกินสี่สิบปีแล้ว ทว่า คนที่อยู่ข้างหน้าเขาอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะเหนือกว่าหัวหน้าหวังจี นอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ว่ามา บุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริงและเขาจะไม่มีวันมาที่หมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่งเด็ดขาด

ดังนั้น คนที่อยู่ข้างหน้านี้จึงเป็นพวกต้มตุ๋นอย่างแน่นอน

ความมั่นใจของเว่ยชางหยงจึงเพิ่มมากขึ้นจนถึงขีดสุด

หากพวกเขาเป็นผู้ประเมินจริง ๆ ที่สมาคมส่งมา เขาจะไม่กล้ายุ่งกับพวกเขาแต่รู้ว่าพวกเขาเป็นของปลอม เขาจึงรู้สึกกล้าหาญขึ้นมาทันที พวกเขาอาจหลอกคนอื่นได้สำเร็จว่าเป็นผู้ประเมินจากสมาคมแต่เว่ยชางหยงจะไม่เปิดโปงพวกเขา เขาแค่ทำให้พวกเขาแพ้การดวลในที่สาธารณะเพื่อช่วยให้เขาเพิ่มชื่อเสียงของเขา

หลังจากนั้น ผู้แอบอ้างคนนี้จะซ่อนตัวและถูกบังคับให้ทนทุกข์อย่างเงียบ ๆ โดยที่เว่ยชางหยงจะไม่ทำอะไรแถมเขาได้รับเงินก้อนโตจากชัยชนะครังนี้ ดังนั้นทั้งสองจึงได้ประโยชน์ร่วมกัน

ดังนั้นเมื่อเว่ยไป่มาถึง เว่ยชางหยงก็เริ่มดำเนินแผนการทันที!

“เฮ้ นั่นอาจารย์เว่ยไม่ใช่เหรอ?” ในหมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่ง เว่ยชางหยงมีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อเขาจึงเป็นรู้จักในที่สาธารณะ

เว่ยชางหยงเป็นหนึ่งในผู้ประเมินท้องถิ่นมีชาวบ้านไม่กี่รายพยายามให้เขาช่วยประเมินสัตว์วิเศษของพวกเขา

“อาจารย์เว่ยกำลังทำอะไร? แม้ว่าเขาจะรู้วิธีประเมินสัตว์ร้ายแต่เขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้ประเมินทางการ ได้ใช่ไหม?”

“ชู่ว! อย่าเสียงดังไป เดี๋ยวอาจารย์เว่ยจะขุ่นเคือง ถ้าเขาได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดออกมา เขาอาจจะไม่ประเมินสัตว์ของเจ้าอีกต่อไป…”

คนเดินผ่านไปมาชอบฉากละครที่ดี สถานที่เริ่มแออัดอีกครั้งและผู้คนที่ออกไปก็กลับมาดู

หลินจินเหลือบมองที่เว่ยชางหยงและรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาแต่เขาก็ยังใจเย็น เขาไม่เคยลุกขึ้นแต่ถามอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้ามาที่นี่เพื่อประเมินสัตว์วิเศษใช่หรือไม่?”

นั่นทำให้เว่ยชางหยงตกใจ เขาตกใจกับความสงบของชายอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว เขาส่ายหัวออกมาเบา ๆ

“ถ้าเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อประเมินสัตว์วิเศษก็จงหลีกทางไป เอ้า! คนต่อไป!” หลินจินไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองในครั้งนี้

“บ้าเอ๊ย นี่เจ้า…” เว่ยไป่ทำหน้าบึ้ง แต่ก่อนที่เขาจะด่าเสร็จ เว่ยชางหยงก็หยุดเขาและให้เขากลับมามีสติอีกครั้ง

พวกเขามาที่นี่เพื่อชื่อเสียง ดังนั้นพวกเขาจะต้องไม่เปิดโปงผู้ชายคนนี้

เว่ยชางหยงยิ้ม “ข้ามีนามว่าเว่ยชางหยงแห่งหมู่บ้านเอเวอร์ลาสซิ่ง ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ ท่านผู้ประเมินสัตว์วิเศษ”

หลินจินไม่ใส่ใจที่จะตอบคำถาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา ดังนั้นเขาจะดูว่าชายคนนี้จะมาไม้ไหน แต่ทันใดนั้น จ้าวหยิงได้ก้าวไปข้างหน้า

“ถ้าท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อประเมินสัตว์วิเศษ โปรดหลีกทางด้วย ท่านกำลังขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่”

จ้าวหยิงอาจเป็นแค่เด็กฝึกหัดและแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแต่เธอก็มีจิตวิญญาณที่กล้าหาญ สัตว์วิเศษที่ทำสัญญาของเธอคือตัวนิ่มยืนอยู่ข้างเธอ

เว่ยชางหยงเหลือบมองจ้าวหยิงและดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาหลงใหลในความงามของหญิงสาวคนนี้ เธอมีรูปร่างที่สง่างาม ทรวดทรวงวิจิตรงดงามและผิวของเธอก็ดูอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ช่างเป็นความงามที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอดีกว่าผู้หญิงที่ดูธรรมดา ๆ ที่บ้านมากแต่น่าเสียดายที่ความงามเช่นนี้อยู่กับนักต้มตุ๋น

“อย่าเสียเวลากับการพูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ เลย ข้าชอบการประเมินสัตว์วิเศษตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเรียนมาอย่างหนักและถึงแม้จะยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักแต่ข้าก็ค่อนข้างมีฝีมือ หลังจากที่ได้ยินว่าสมาคมได้ส่งผู้ประเมินสัตว์วิเศษระดับหนึ่งมาที่นี่ในวันนี้ ข้าก็ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นที่จะเรียนรู้ได้ ดังนั้นข้าจึงรวบรวมความกล้าที่จะมาที่นี่และขอคำแนะนำจากท่าน ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านผู้ประเมินเต็มใจให้คำแนะนำบางอย่างแก่ข้าได้หรือไม่?”

ในขณะที่เขาพูดด้วยความสุภาพ หลังจากตีความคำพูดของเขาอย่างรอบคอบแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีมารยาทเลย มันเป็นการท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง

เว่ยชางหยงคาดหวังว่านักต้มตุ๋นจะหลงกลและรับคำท้า หลังจากที่ไม่สามารถต้านทานการยั่วยุได้

“ถ้าเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อประเมินสัตว์วิเศษก็ไปซะแต่ถ้าจะมาประเมินก็จ่ายมา 10 เหรียญทองแดงก่อน” หลินจินไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองและชี้ไปที่ป้ายข้าง ๆ เขา

บนป้ายเขียนว่า: โครงการประเมินสัตว์วิเศษชนบทของเมเปิ้ลจัดทำโดยสมาคมประเมินสัตว์วิเศษ เสียค่าใช้จ่ายครั้งละ 10 เหรียญทองแดง

หลังจากพูดอย่างนั้น หลินจินก็หันไปหาจ้าวหยิง “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าบางคนพยายามหลบเลี่ยงโดยไม่จ่าย 10 เหรียญทองแดง ข้าคิดว่าเจ้าพูดเล่นแต่ใครจะรู้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ด้วย”

จ้าวหยิงกลอกตาและพูดว่า "บุคคลนี้อยู่ที่นี่เพื่อท้าทายท่านและมาสร้างปัญหา ทำไมท่านถึงมองไม่ออก?”

แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เธอสันนิษฐานว่าผู้ประเมินหลินคงจงใจพยายามจะรบกวนชายสองคนนี้

เป็นที่ยอมรับว่าวิธีนี้ค่อนข้างน่าสนใจและเธอสามารถเปิดเผยได้โดยง่าย ทำให้สีหน้าของชายทั้งสองไม่ค่อยจะสู้ดี

เว่ยชางหยงรู้สึกหงุดหงิด

‘หนอยเจ้าพวกต้มตุ๋น! กะอีแค่ 10 เหรียญทองแดง คิดว่าข้าจะไม่มีปัญญาจ่ายงั้นเหรอ! ถ้วยชาของข้ายังมีค่ามากกว่านั้นอีก!

*เคร้ง!*

เขาหยิบถุงเงินออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะ ในนั้นมีอย่างน้อย 100 เหรียญ

“แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? แต่ข้าจะให้เพิ่มสักหน่อยถือว่าเป็นน้ำใจ หากการประเมินของท่านถูกต้องก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันไม่ถูกต้อง ข้าจะโยนโต๊ะของท่านไปให้พ้นทาง!”

เขาชี้นิ้วให้สัญญาณกับเว่ยไป่และเขาก็รีบวางกรงขนาดใหญ่ที่เขาถืออยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

กรงนั้นแข็งแรง ดูแข็งแกร่งจากโครงสร้างโลหะซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ เว่ยชางหยงดึงผ้าออกไปเผยให้เห็นไก่ขนาดใหญ่ที่ถูกขังอยู่ในกรง

“นั่นมันไก่อะไรน่ะ” ชาวบ้านคนหนึ่งตกตะลึงเมื่อเห็นมัน

“ไม่ว่าข้าจะมองอย่างไร มันคือไก่ที่มีขนาดใหญ่กว่าไก่ทั่วไปเพียงเล็กน้อย ถึงมันจะตัวใหญ่แต่พวกมันไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่กา ใครจะมาทำพันธสัญญาโลหิตกับมัน?” มีบางคนเย้ยหยัน

“เจ้าอย่าได้ดูเบาไป ดูกรงที่อาจารย์เว่ยใช้อยู่สิ ไก่ทั่วไปต้องการกรงเหล็กงั้นหรือ? มันอาจจะเป็นสายพันธุ์ที่หายากจริง ๆ”

ฝูงชนล้อเลียนเมื่อเห็นได้ชัดว่าเว่ยไป่กับเว่ยชางหยงนั้น 'กลัว' ไก่ตัวนั้นมาก

หลินจินเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจ้าวหยิง “ปกติแล้ว ถ้าพวกเจ้าเจอคนโรคจิต เจ้าจะทำอย่างไร?”

จ้าวหยิงไม่สามารถกลั้นขำจึงหัวเราะออกมา

เว่ยชางหยงไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าหลินจินกำลังพูดถึงเขาแต่ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย

ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเขายืนยันได้ว่าคนที่ถูกเรียกว่าผู้ประเมินต้องเป็นพวกต้มตุ๋นอย่างแน่นอน

ถ้าเขาเป็นผู้ประเมินสัตว์วิเศษที่แท้จริง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ถึงความพิเศษของไก่ตัวนี้ จากนั้น เขาก็กล่าวว่า

"เจ้าช่วยประเมินไก่ตัวนี้ที"

เขาไม่ได้พูดกับหลินจินอย่างเป็นทางการอีกต่อไป

หลินจินถอนหายใจ “นี่ไม่ใช่แค่ไก่ธรรมดา ๆ เหรอ? ดี ถ้าเจ้าต้องการประเมิน ได้! ข้าจะทำ เปิดกรงออกมา”

เขาพูดราวกับว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแต่เว่ยชางหยงกำลังยิ้มอยู่ภายใน

“นี่ไม่ใช่ไก่ธรรมดา เจ้าควรเบิกตาให้กว้างและดูให้ดีก่อนพูด ถ้าเจ้าคิดว่าข้าโง่เขลาโดยการเอาไก่ไปใส่ในกรงเหล็กล่ะก็ นั่นแสดงว่าเจ้าคิดผิด เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตนี้น่ากลัวแค่ไหน ข้ามีเหตุผลของข้าในการทำเช่นนี้ มันอันตรายมากและข้าไม่ได้ล้อเล่น ดังนั้นอย่าพยายามเปิดกรงจะดีกว่า เพราะไม่งั้นเจ้าจะบาดเจ็บ…”

ก่อนที่เขาจะพูดเสร็จ เว่ยชางหยงอ้าปากค้างขณะที่เขาดูหลินจินเปิดกรงและยื่นมือเข้าไปข้างใน

"เจ้าบ้า! อย่าเปิดนะ!”

“วิ่งเร็วเข้า! ก่อนที่พวกเจ้าจะถูกจิกตาย!”

เว่ยชางหยงกับเว่ยไป่ก้าวถอยหลังทันทีด้วยความตกใจ ตะโกนและอุทานราวกับว่าพวกเขาจินตนาการถึงฉากที่น่าสยดสนอง ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ

พวกเขารู้ว่ามันสายเกินไปหลินจินยื่นมือเข้าไปข้างในแล้ว

“ถ้ามือของเขาหายไป เขาอาจจะเสียชีวิตได้!”

ชายทั้งสองสบตากัน ยืนยันความเป็นไปได้นี้

พวกเขาได้เห็นแล้วว่าไก่ตัวนี้ร้ายกาจขนาดไหน พวกเขาเฝ้าดูขณะที่มันจิกหมาป่าที่มีชีวิตจนตายอย่างไร้ความปราณี ฉากนั้นปรากฏในสมองของพวกเขา วิธีเดียวที่จะเก็บมันได้คือขังมันไว้ในกรงเหล็ก โดยใช้ผ้าสีดำคลุมมัน มิฉะนั้น การกระแทกของมันกับแท่งเหล็กจะทำให้หูของพวกเขาหนวก

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายแต่เจ้าโง่นั่นได้เปิดกรงออกมาจริง ๆ

ชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย!

ชายทั้งสองพร้อมที่จะวิ่งหนี

ทว่าต่อหน้าต่อตาพวกเขา ไม่เพียงแต่ไก่ป่าจะไม่โจมตีเท่านั้นแต่ยังเชื่อฟัง ปล่อยให้หลินจินลูบศีรษะของมัน มันเป็นภาพที่แปลกตาและน่าเหลือเชื่อที่สุด

ความเงียบเข้าปกคลุมที่เกิดเหตุ

ทุกคนจ้องไปที่สองพี่น้องตระกูลเว่ยราวกับว่าพวกเขาเป็นคนงี่เง่า

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด