ตอนที่แล้วบทที่ 107 มุ่งเข้าสู่ปากเสือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 109 เริ่มการสังหารหมู่

บทที่ 108 การปะทะกันที่ชายป่ารกร้าง


กำลังโหลดไฟล์

หรงจื่อยิ้มออกด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ ก่อนจะเรียกรวมกำลังคนของมันอย่างเร่งรีบ จากนั้นมันแจ้งกลุ่มคนของมันอย่างเงียบๆ โดยระวังไม่ให้ข่าวสารนี้รั่วไหลไปถึงกองทัพอัคคีได้

ใช้เวลาเพียงชั่วกาน้ำเดือด คนของนิกายเคลื่อนเมฆาเตรียมพร้อมและออกเดินทางไปยังส่วนลึกในหุบเขาโดยเร็ว

เวลาเดียวกันกับที่จี้ซวนได้รวบรวมกำลังพลของมันอยู่ เมื่อมันเห็นกลุ่มคนของนิกายเคลื่อนเมฆากำลังออกเดินทางมันจึงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม “น้องหรงจื่อ พวกท่านกำลังเร่งรีบไปไหนกัน? หรือว่าท่านได้เบาะแสของพวกมันแล้ว”

“ท่านจี้ซวนเข้าใจผิดแล้ว พวกเราหาได้มีความสามารถรวดเร็วถึงเพียงนั้น ข้าเพียงจะนำกำลังไปสำรวจเส้นทางรอบๆเสียหน่อยเท่านั้นเอง

ถ้าท่านจี้ซวนไม่มีเรื่องใดต้องการสนทนาแล้ว ข้าขอตัวก่อน” สิ้นคำกล่าว หรงจื่อนำพากลุ่มคนของมันเดินออกไปโดยเร็ว

การสำรวจเส้นทางเป็นสิ่งที่แม่ทัพต้องออกไปด้วยตัวเอง? และจะต้องใช้กำลังคนที่มากมายเช่นนี้เลยหรือ? แม้พวกมันทั้งคู่จะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจากกันและกัน

แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแต่พุ่งเป้าไปยังร่องรอยของผงสะท้อนแสง ถึงพวกมันจะร่วมมือกันแต่ยังไงเสียก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่า ผู้ที่ได้เข้าถึงค่ายโจรเงามายาก่อนจะมีสิทธิ์ในการเลือกสมบัติก่อนอยู่ดี

กองทัพอัคคีและผู้ฝึกตนของนิกายเคลื่อนเมฆาแยกจากกันไปในทิศทางเป้าหมายของตัวเอง

ด้วยความคล่องตัวและจำนวนคนแล้ว กลุ่มคนของนิกายเคลื่อนเมฆาดูเหมือนจะรวดเร็วกว่ากองทัพอัคคีเล็กน้อย เวลานี้พวกมันเข้ามาถึงจุดสิ้นสุดของผงสะท้อนแสงที่มันได้สำรวจพบกันแล้ว

หรงจื่อเปล่งเสียงสั่งการออกมา “พวกเราจะเข้าไปข้างในและเราไม่รู้จักพื้นที่แถวนี้ดีนักฉะนั้นพวกเจ้าต้องระวังตัวให้มาก”

จากนั้นกลุ่มของหรงจื่อเดินเข้าไปในเส้นทางที่รกร้าง คดเคี้ยวเป็นอย่างมาก ทางเดินของพวกมันจากเส้นทางที่ทอดกว้างค่อยๆหดเล็กลงทีละน้อย

ขณะที่กำลังเดินอย่างระวังอยู่นั้น พวกมันกลับได้ยินเสียงของใครสักคนดังขึ้นมาว่า “โจมตี!!!”

สิ้นเสียงนั้นหรงจื่อและผู้ฝึกตนนิกายเคลื่อนเมฆา รีบกวาดสายตาสำรวจไปโดยรอบทันที ขณะที่มันกำลังตกใจและกวาดสายตาอยู่นั้นก้อนหินยักษ์ ขนาดของมันประมาณ20ตัวคนโอบกลิ้งลงมาด้วยความเร็วสูง

กลุกๆๆๆ!!! เมื่อได้ยินเสียงที่สองดังเข้ามาหรงจื่อหันไปทิศทางตรงข้าม มันพบว่ามีก้อนหินยักษ์อีกก้อนกำลังพุ่งตรงมาที่กลุ่มของมันราวกับว่าก้อนหินลูกนั้นถูกยิงออกมาจากคันศรก็ไม่ผิด

หรงจื่อหันมองซ้ายและขวาไปยังก้อนหินทั้งสองด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “คิดว่าก้อนหินแค่นี้จะทำอะไรข้าได้?”

จากนั้นมันสั่งการให้อาวุโสสองคนที่เดินขนาบข้างมันอยู่ ออกไปจัดการ ร่างของชายชราชุดดำและครามพุ่งออกไปราวกับลูกเกาทัณฑ์

ด้วยลมปราณในดินแดนแห่งวีรชนปกคุลมไปทั่วทั้งร่าง พวกมันทั้งสองเพียงแต่ปล่อยหมัดออกไปด้วยสีหน้าอันเบื่อหน่าย

ตูม!!!! ก้อนหินขนาดยักษ์กลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา ด้วยพละกำลังของผู้ที่ฝึกฝนตนที่ก้าวมาสู่ดินแดนแห่งวีรชนแล้วการกระทำเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับการตอกไข่ใส่ลงไปในกระทะ

“ฮ่าฮาๆๆๆ พวกเจ้าคิดจะใช้ลูกไม้ตื่นๆแบบนี้นะหรือในการเอาชีวิตพวกข้า ก้อนหินยักษ์จะน่ากลัวก็มีเพียงแต่ขนาดของมันเท่านั้น แต่เนื้อในของมันช่างเปราะบางยิ่งนัก

ใช่แล้วมันเปราะบางพอๆกับชีวิตน้อยๆของพวกเจ้า” สิ้นเสียงของหรงจื่อมันคำนวณทิศทางของก้อนหินก่อนจะรีบทะยายร่างไปข้างหน้าทันที

ถึงแม้ว่าตัวมันจะไม่รู้ถึงต้นตอของเสียงสั่งการนั้น แต่อย่างน้อยๆมันก็สามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากมันแน่นอน

ด้วยพลังในดินแดนแห่งปราชญ์ของหรงจื่อแล้ว บัดนี้ร่างของมันพุ่งไปข้างหน้าโดยเร็ว ไม่นานนักแผ่นหลังของศัตรูก็ปรากฎในมโนสายตาของหรงจื่อ มุมปากของมันยิ้มเหยียดขึ้นอย่างน่ากลัว “ในที่สุดก็เจอหนูแล้ว เป็นหนูตัวใหญ่เสียด้วย”

สิ้นคำกล่าวนั้น หรงจื่อสะบัดมือหยิบดาบคู่ใจของมันออกมา ดาบคู่ใจของหรงจื่อนั้นมีลักษณะเป็นด้ามจับขนาดใหญ่และที่ด้านปลายของอาวุธ หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับด้ามจับดาบราวกับว่ามันเป็นชิ้นเดียวกัน

ที่ด้านข้างทั้งสองนั้นถูกประดับตกแต่งด้วยคมเขี้ยวของอสูรนับสิบชนิด รูปลักษณ์ของมันยิ่งดูยิ่งน่าเกลียดนัก หรงจื่อเรียกดาบเล่มนี้ว่า ดาบฟันอสูร

แต่สำหรับผู้คนที่เคยปะทะและได้รู้จักมันแล้ว ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดาบอัปลักษณ์” ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของฉายา 'ดาบอัปลักษณ์หรงจื่อ' ศิษย์เอกของนิกายเคลื่อนเมฆา

มุมปากของหรงจื่อยิ้มออกด้วยความดุร้าย “ตาย!!!” จากนั้นมันจับด้ามดาบด้วยสองมือก่อนจะฟาดลงไปสุดกำลัง กระบวนท่า“ดาบเดียวตัดเมฆา” วี๊ดๆๆๆๆ

มวลอากาศรอบๆส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าหวาดกลัว ด้วยอายุเพียง30ปีแต่ระดับพลังกลับอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ดินแดนวีรชน

แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่ของดินแดนรอบนอกและยังเป็นที่คาดหวังว่าจะนำนิกายเคลื่อนเมฆาก้าวขึ้นสู่บันไดเทียนโหลวได้ในอนาคต

เมื่อรังสีดาบกำลังพุ่งเข้าใกล้กลุ่มคนที่กำลังหลบหนีอยู่นั้น ชายผู้หนึ่งได้หยุดอยู่กับที่พร้อมกับหันหลังกลับมาด้วยใบหน้าดุร้าย “หัวหน้าทำตามแผนต่อไป ตรงนี้ข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้เอง”

“ระวังตัวด้วยผู้อาวุโสเฉียน” สิ้นเสียงพูดนั้นร่างของเฉียนหยาแปรเปลี่ยนผิดรูปไป ขนสัตว์ปรากฏขึ้นตามใบหน้าและตามตัว

กล้ามเนื้อทุกส่วนขยายใหญ่ออกเสื้อผ้าที่สวมใส่ฉีกขาดตามการขยายของกล้ามเนื้อ ใช้เวลาอยู่ไม่กี่ลมหายใจร่างของเฉียนหยาเปรเปลี่ยนเป็นครึ่งคนครึ่งเดรัจฉานอย่างสมบูรณ์

“นั้น!! นั้นมันทักษะบ่มเพาะคชสารจำศีล เจ้าคือ โจรปีศาจเฉียนหยา” ใบหน้าที่เคยเปี่ยมความมั่นใจของหรงจื่อซีดขาวลงเมื่อเห็นบุรุษที่ยืนขวางหน้ามันอยู่อย่างชัดเจน

ระดับของพวกมันห่างไกลกันเกินไป มันอดไม่ได้ที่จะตำหนิในความประมาทของตัวเอง 'ข้าไม่น่าพุ่งตัวหนีผู้อาวุโสคนอื่นๆในกลุ่มออกมา' หรงจื่อบ่นออกพร้อมกระชับดาบมือแน่น

ปังงง!! ฝ่ามือขนาดใหญ่ของเฉียนหยาตบไปที่รังสีดาบของหรงจื่อที่ส่งออกมา แค่การโบกมือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น รังสีดาบที่หรงจื่อปล่อยออกมาอย่างสุดกำลัง มลายหายไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว

“เป็นเกีรยติยิ่งนักที่เด็กน้อยอย่างเจ้ารู้จักชื่อเสียงของข้า ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปสู่ความตายอย่างไม่เจ็บปวดแล้วกัน’ สิ้นเสียงของเฉียนหยา ร่างของมันแปรเปลี่ยนกลายเงา

เพียงพริบตาเดียวมันมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของหรงจื่อ จากนั้นมันใช่ฝ่ามือของมันตะปบไปยังศีรษะของหรงจื่อ “กรงเล็บปีศาจสามสวรรค์”

หรงจื่อมองไปยังกรงเล็บที่กำลังพุ่งมาหามันด้วยใบหน้าซีดขาว ขณะที่กรงเล็บนั้นอยู่ห่างจากมันเพียงไม่กี่คืบ ไอความเย็นเฉียบพลันบังเกิดขึ้นมา

ชั้นน้ำแข็งบางๆเกาะกุ่มไปยังแขนของเฉียนหยาทำให้มันแข็งค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นลูกบอลอัคคีขนาดเท่ากำปั่นนับสิบๆลูกพุ่งใส่กลางอกของเฉียนหยาดุจพยาดพิรุณแห่งเปลวไฟ ปัง!!!!...

ทักษะบ่มเพาะคชสารจำศีลที่เฉียนหยาฝึกนั้นมีจุดเด่นในด้านพลังทำลายและกายาที่แข็งแกร่งและด้วยเหตุนี้พลังทั้งสองขั้วที่พุ่งใส่ร่างของมันอย่างบ้าคลั่งกลับไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆให้แก่เฉียนหยามากนัก

พลังทั้งสองทำได้แค่เพียงส่งร่างของเฉียนหยาให้กระเด็นห่างไปจากหรงจื่อเจ็ดถึงแปดก้าวเท่านั้น

เมื่อขาของเฉียนหยาเหยียบยึดหลักไม่ให้ร่างของตัวเองเซไปตามแรงแล้ว มันหยุดนิ่งและปลายตามองไปยังผู้มาเยือนทั้งสองก่อนจะกล่าวออกมาด้วยสายตาที่หรี่แคบ

“เงาอัคคีและเงาเยือกเย็นหรือ? ดูเหมือนว่านิกายเคลื่อนเมฆาต้องการให้กองโจรพิทักษ์ฟ้าของข้าหายไปจากเมืองจี้หลินจริงๆสินะถึงได้ส่งพวกเจ้าทั้งสองมาด้วยตัวเอง”

ชายชราชุดครามพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันดุร้าย“ข้าไม่ต้องการเสวนากับพวกโจรชั่ว รับมือ” จากนั้นมันผายมือห้ามไม่ให้เงาอัคคีเข้ามายุ่งก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

“ข้าจะเด็ดหัวโจรปีศาจ เฉียนหยาด้วยตัวเองเจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง”

สิ้นเสียงของมันลมปราณสีครามในระดับดินแดนแห่งวีรชนขั้นปลายค่อยๆควบแน่นเข้าด้วยกันจนรวมตัวเป็นรูปลักษณ์ของกระบี่น้ำแข็ง จากนั้นมันพุ่งตัวตรงไปยังเฉียนหยาอย่างรวดเร็ว

เฉียนหยาที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว มันโคจรพลังปราณทั้งหมดของมันออกถึงขีดสูงสุด "กี่สิบปีแล้วที่ข้าไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้" เฉียนหยาเอียงศีรษะมองการเคลื่อนไหวของเงาเยือกเย็น ก่อนจะเคลื่อนไหวออกตามทิศทางของมัน

ทันใดนั้นประกายไฟจากการปะกันระหว่างกรงเล็บและกระบี่น้ำแข็งสว่างวูบอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ว่าพลังของพวกมันทั้งสองจะเท่าเทียมกันในดินแดนวีรชนขั้นที่7

แต่ดูเหมือนว่าทักษะที่เงาเยือกเย็นใช้ออกมานั้นจะมีระดับที่เหนือกว่าเฉียนหยาอยู่หนึ่งขั้น

การต่อสู้กินเวลาราวๆ 100ลมหายใจทุกๆการปะทะแต่ละครั้ง เฉียนหยาถูกพลังกดดันของเงาเยือกเย็นส่งให้ร่างของมันถอยออกอย่างต่อเนื่อง การตอบโต้ของเฉียนหยานั้นส่วนมากจะเป็นการป้องกันพร้อมกับถอยหนีเสียมากกว่า

เวลานี้ร่างกายของเฉียนหยาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนด้วยการเฉือนจากคมกระบี่ แม้ภายนอกมันจะดูน่ากลัว แต่เงาเยือกเย็นนั้นรู้ดีว่ายังไม่มีกระบี่ไหนของมันสามารถเฉือนไปถึงกระดูกได้เลย

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด เสียงของหลี่เฟิงดังออกมาจากด้านหลัง “ผู้อาวุโสเฉียนถอยออกมา” สิ้นเสียงของหลี่เฟิง เฉียนหยาพุ่งร่างไปด้านหลังอย่างไม่คิดชีวิต

ถ้าคนภายนอกที่จ้องมองการต่อสู้อยู่ คงจะคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเฉียนหยานั้นเกิดกลัวและวิ่งหนีอย่างหางจุกตูด

ในเวลาเดียวกับที่เฉียนหยาถอยหนีนั้น หลี่เฟิงตะโกนสั่งการออกอย่างต่อเนื่อง “มู่เฉิน ลงมือ”

มู่เสวี่ยที่ได้ยินเสียงสัญญานั้น นางรีบสะบัดกระบี่ทำลายก้อนหินที่วางขัดลูกหินขนาดใหญ่ไว้โดยเร็ว เมื่อไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางแล้ว

ลูกหินขนาดยักษ์กลิ้งลงมาจากหน้าผาที่สูงชันอย่างรวดเร็ว คราวนี้ขนาดของลูกหินนั้นใหญ่ยิ่งกว่าก้อนหินสองลูกแรกที่หลี่เฟิงเคยใช้รวมกันเสียอีก

“พวกหน้าโง่ ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าก้อนหินเหล่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนดินแดนวีรชนแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเปลือกไข่ที่อ่อนนุ่ม” สิ้นเสียงทุ้มต่ำของเงาอัคคีมันพุ่งร่างหมายจะหลอมละลายลูกหินยักษ์ให้เหลือเพียงแต่ขี้เถ้า

แม้ว่าใบหน้าตอนนี้ของมู่เสวี่ยจะถูกแต่งแต้มแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้ชายแต่ด้วยรอยยิ้มที่นางยิ้มออกให้แก่เงาอัคคีนั้นบังเกิดความสวยงามอย่างไม่สามารถประเมินได้

“ท่านผู้อาวุโส แล้วถ้าท่านไม่ได้อยู่ในระดับวีรชนอีกต่อไปละ” สิ้นเสียงของมู่เสวี่ย นางเปิดใช้อาคมประดิษฐ์ที่ได้ถูกติดตั้งไว้ราวกับนางมีตาที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ว่ากลุ่มของหรงจื่อจะเดินเข้ามาติดกับในเขตของอาคมประดิษฐ์พวกนี้

อาคมประดิษฐ์นี้เป็นแบบเดียวกับที่ผู้พิทักษ์ฟ้าในเมืองฉางผิงใช้กันและยังเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในห้องคุมขังนักโทษที่มีระดับพลังฝึกตนสูง

และแน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นมีหรือที่มู่เสวี่ยจะคิดเรื่องพวกนี้ออกมาได้ ถ้าไม่ใช่เกิดจากคำสั่งของบุรุษที่อยู่หลังแผนการทั้งหมด ผู้ที่อดีตเคยถูกกล่าวขานเป็นขุนพลสวรรค์

..

เมื่อกลไกของอาคมประดิษฐ์เริ่มทำงาน ใบหน้าของเงาอัคคีซีดขาวลงทันที มันพยามโคจรพลังปราณออกมาจากร่างเพื่อละลายลูกหินขนาดยักษ์ที่กำลังล่วงหล่นลงมาทับร่างของมัน

เงาอัคคีสะบัดมือปล่อยเปลวไฟออกไปปะทะกับลูกหิน เปลวไฟที่เคยลุกสว่างโชติช่วงเวลานี้กับอ่อนแรงแผ่วเบาราวกับว่าถ้ามันถูกแรงของลมเพียงเล็กน้อยก็สามารถดับลงได้ตลอดเวลา

เปลวไฟที่เงาอัคคีพยามปล่อยออกมานั้นถูกกลืนกินโดยลูกหินขนาดยักษ์

เมื่อเห็นสิ่งที่มันทำออกไปไร้ประโยชน์และลูกหินนั้นอยู่ห่างจากมันเพียงไม่กี่คืบแล้วมันจึงบิดร่างหลบอย่างจวนตัว แพล๊ะ!!! เสียงของหินขนาดใหญ่บดทับกระดูกและก้อนเนื้อ

เงาอัคคีมองดูแขนซ้ายของมันถูกลูกหินกลืนกินด้วยความเจ็บปวด มันร้องตะโกนโหยหวนออกมาอย่างสุดเสียง...

หรงจื่อมองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อาจเชื่อสายตาของตนเอง ผู้ฝึกตนในดินแดนวีรชนขั้นปลายกับถูกลูกหินธรรมดาบดขยี้แขนจนเละแหลกไปกับพื้น

“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อาคมประดิษฐ์พวกนี้ไม่มีทางที่จะใช้เวลาติดตั้งมันได้ภายใน1หรือ2ชั่วยามเป็นแน่..... ระ...หรือว่าพวกมันเตรียมการณ์และตั้งใจล่อให้พวกเรามาที่นี้แต่แรก” หรงจื่อพึมพำด้วยใบหน้าที่ซีดขาว

“โจมตี!!!” สิ้นเสียงตะโกนของหลี่เฟิง มู่เสวี่ยและเฉียนหยาต่างปล่อยก้อนที่เตรียมเอาไว้ลงมาอย่างต่อเนื่อง

กอปรกับพื้นที่โดยรอบคล้ายกับลักษณะของแอ่งกะทะจึงทำให้ก้อนหินที่พุ่งลงมาไหลกลิ้งขึ้นไปสูงและไหลย้อนลงกลับมาที่เดิมวนเวียนอยู่เช่นนี้

เวลานี้กลุ่มของหรงจื่อทั้งสามตกอยู่ท่ามกลางลูกหินขนาดยักษ์นับสิบก้อน เงาเยือกเย็นตื่นจากภวังค์ตกใจเป็นคนแรกมันรีบพุ่งร่างออกไปพยุงสหายของมันที่กำลังกุมแขนซ้ายที่ละเอียดไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

“เจ้าอัคคีรีบๆตื่นสักที ถ้าเจ้ายังร้องโหยหวนกับแขนซ้ายข้างเดียวอีกละก็แม้แต่ชีวิตของพวกเราก็จะไม่เหลือรอดออกไปเป็นแน่ พวกเราประมาทศัตรูมากเกินไป

การที่มันวางแผนได้เช่นนี้แสดงว่าในกลุ่มของพวกมันจะต้องมีคนที่เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกยิ่งกว่าปีศาจอยู่เป็นแน่”

“ผู้อาวุโสทั้งสองพวกเราจะทำอย่างไรดีตอนนี้พลังของข้าถูกกดลงมาสองดินแดน เวลานี้ข้ามีพลังเพียงแค่แดนนักรบเท่านั้น” หรงจื่อกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสั่น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด