ตอนที่แล้วบทที่ 94 เข้าสู่สนามประลอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 96 เกียรติของลูกผู้ชาย

บทที่ 95 อย่ามายุ่งกับข้าอีก


กำลังโหลดไฟล์

การกระทำครั้งนี้ของหนิงเทียนอาจจะเรียกได้ว่าก้าวข้ามคำว่าบ้าบิ่นเกินไปมาก ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนก่อนที่จะออกเดินทาง การต่อสู้กับสัตว์อสูรขั้น2อย่างพญาวานรภูผา

ยังเป็นเรื่องที่ยากสำหรับตัวมันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมด้วยลมปราณ แต่กลับกันในเวลานี้ลมปราณแม้แต่น้อยของหนิงเทียนก็ไม่สามารถรีดมันออกมาได้

“นั้น...นั้น!!! มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ มันต้องการที่จะต่อสู้กับวานรอัคคีหรืออย่างไรถึงได้เดินตรงไปในสนามประลองเช่นนั้น” เสียงดังออกมาจากกลุ่มของคนรับใช้

มู่เฉียนเห็นเช่นนั้นนางกล่าวออกด้วยสีหน้ามึนงง“นั้น หยางกวงมันกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่!!!??”

มู่ปังยกยิ้มออกมาอย่างอำมหิต“ฮ่าๆ หรือมันต้องการที่จะฆ่าตัวตาย”

แม้ว่าทุกคนจะมองการกระทำของหนิงเทียนเหมือนดั่งเช่นคนโง่ แต่มีเพียงจิงอวี่คนเดียวเท่านั้นที่มองหนิงเทียนด้วยสายตาที่ต่างออกไป

สายตาคู่นั้นของมันแฝงไปด้วยความระมัดระวังตัวอย่างที่สุด มันหรี่ตาแคบพร้อมจับจ้องไปยังทุกๆย่างก้าวของหนิงเทียน

หนิงเทียนก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูกรงเหล็ก มันยกยิ้มพร้อมกล่าวออก “นี้เป็นการเดิมพันครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายในวันนี้ของคุณหนูใหญ่

แต่ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ก่อนเลย ถ้าใครต้องการที่จะมีชีวิตดีขึ้นและร่ำรวยด้วยเงินทองละก็ ให้เดิมพันว่าข้า หยางกวง สามารถก้าวเท้าออกจากสนามประลองอสูรได้”

“มันกำลังละเมออะไรอยู่ ใครพนันฝ่ายมันก็ต้องเสียสติไปแล้ว ดีถ้ามันเสนอมา ข้าก็ขอเดิมพันว่าวานรอัคคีชนะ 15หยกนิล”มู่หลานเจี่ยกล่าวออก มันเพิ่มหยกนิลในการเดิมพันขึ้นไปอีกโดยหวังจะถอนทุนทั้งต้นและดอกเบี้ยในคราวเดียวกัน

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของมู่หลานเจี่ย พวกมันเริ่มฉุกคิดขึ้นมา นี่คงเป็นวิธีทวงทรัพย์สินที่สูญเสียไปในรอบก่อนๆคืนมา เมื่อพวกมันเริ่มคิดไปในทางเดียวกัน

การเดิมพันจึงเทไปด้านวานรอัคคีจนหมดสิ้น ครั้งนี้ก็เป็นเช่นครั้งก่อนๆราวกับหนังที่ฉายภาพซ้ำ แต่เป็นที่น่าแปลกใจพวกมันทุกคนล้วนไม่เชื่อในตอนจบที่เคยดูมาก่อน

ทุกคนล้วนเลือกที่จะเดิมพันข้างเดิมอีกครั้งโดยหวังว่าผลลัพธ์จะออกมาต่างจากครั้งก่อน

หนิงเทียนหยุดยืนอยู่ชั่วกาน้ำเดือดเพื่อรอให้การเดิมพันดำเนินต่อไป ยิ่งคนในตระกูลติดหนี้มันมากเท่าใด

ยิ่งง่ายต่อการที่มู่เสวี่ยจะก้าวขึ้นมาเป็นคนสำคัญดังเดิม พลังคือทุกอย่างไม่ใช่คำกล่าวที่ผิด แต่ทุกๆการเลื่อนระดับดินแดน เงินเป็นสิ่งสำคัญหากปราศจากอำนาจเงิน ทรัพยากรบ่มเพาะไหนเลยจะมีขาวิ่งเข้ามาหาได้

เมื่อเห็นว่าการวางเดิมพันใกล้จะครบทุกคนแล้ว มันจึงยิ้มพร้อมก้าวเดินออกแต่จู่ๆเสียงของมู่ฉูจีได้ดังขึ้นมา

“ตาแก่คนนี้ก็แก่มากแล้ว เงินทองหาได้สำคัญอะไรไม่ ถ้าเช่นนั้น ตาแก่ผู้นี้ขอเลือกเชื่อในสัญชาตญาณสักครั้ง...ข้าเลือกเดิมพันฝ่ายคุณหนูใหญ่20หยกนิล”

ด้วยคำกล่าวของมู่ฉูจีนั้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนในตระกูลมู่เป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกันซูเหวินมองออกไปด้วยสายตาหงุดหงิด มันจึงกล่าวออกมา “จะต้องให้ข้ารออีกนานหรือไม่ เมื่อไรจะเริ่มกันเสียที”

หนิงเทียนหาได้สนใจคำพูดนั้นไม่ มันปิดตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาแล้วก้าวตรงไป แม้ทุกถ้อยคำและท่าทีของมันจะเต็มไปด้วยความมั่นใจ

แต่มันนั้นรู้ตัวดีว่า การประลองนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสเพียง7ใน10ส่วนที่มันจะหนีรอดออกโดยไร้ซึ่งบาดแผล

“ฆ่ามัน” สิ้นเสียงคำสั่งออกซูเหวิน วานรอัคคีกู่ร้องอย่างดุร้าย ไอความร้อนแผ่ขยายไปทั่วทั้งสนามประลอง

ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของหนิงเทียนหาได้เปลี่ยแปลงไม่ ดวงตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ยังคงมองจับจ้องไปยังวานรอัคคีอย่างไม่กระพริบตา

“โคร่งงงงง” สิ้นเสียงกู่ร้องของมัน วานรอัคคีพุ่งร่างด้วยความเร็วเข้าใส่หนิงเทียน ภายใต้พลังอันบ้าคลั่ง และความเร็วของมัน

สร้างกระแสลมร้อนพัดกวาดพื้นที่ใกล้ๆจนรุกเป็นไฟ หนิงเทียนหรี่ตาลง มันจับจ้องไปยังช่องว่างเล็กๆก่อนจะบิดตัวพุ่งผ่านตัวของวานรอัคคีออกไป

แต่สำหรับอสูรลมปราณขั้นที่2 ที่เริ่มจะมีสติปัญญาในการต่อสู้แล้ว ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เหยื่อของมันหลุดรอดไปง่ายๆ มันสะบัดหางที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ เข้าใส่ร่างหนิงเทียนทันที

เมื่อเห็นหางที่ปกคุลมด้วยเปลวไฟ ฟาดตรงมา หนิงเทียนต้องก้าวถอยหลังเพื่อหลีกตัวหลบอย่างช่วยไม่ได้ เส้นทางหนีถูกปิดกั้นอีกครั้งหนึ่งด้วยร่างของเดรัจฉานตัวสีแดง

'ดูเหมือนว่าข้าจะขี้เกียจจนแข้งขาแข็งไปหมดแล้ว' ไม่มีเวลาให้หนิงเทียนได้คิดมากนัก หลังจากที่ถูกบีบให้ถอยออกมาแล้ว วานรอัคคีพุ่งเข้าจู่โจมอย่างต่อเนื่อง

แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตาผู้คนคือภาพที่หนิงเทียนก้าวถอยหลบการโจมตีของวานรอัคคีได้อย่างเฉียดฉิวทุกครั้ง

แม้แต่มู่ซวนเฟิงและกลุ่มผู้อาวุโสหลักยังไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด มนุษย์พิการถึงสามารถหลบการโจมตีของสัตว์อสูรขั้น2ได้นานถึงเพียงนี้

“วานรอัคคีตัวนั้นกำลังเล่นกับเหยื่อมันใช่หรือไม่?” มู่ปังเอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียงนัก

มู่หลานเจี่ยพยักหน้าโดยที่สายตาของมันยังจ้องไปที่ลานประลองไม่เปลี่ยน“มันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าขี้ขานั้นจะรอดมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร”

มู่ฉูจีได้แต่มองลงไปด้วยความเงียบ “…..”

“ศิษย์พี่ ท่านเห็นวิธีการก้าวเท้าของมันหรือไม่”จิงอวี้กล่าวออกด้วยเสียงผ่านลมปราณ

ซูเหวินเบิกตากว้างขณะมองไปยังหนิงเทียน“ทุกๆการก้าวเท้าของมันไม่ได้ใช้พลังปราณเสริมส่งเลย แต่กลับมีความเร็วถึงขนาดหลบหลีกการโจมตีของวานรอัคคีได้ หรือว่า....”

“ใช่...ดูเหมือนท่าเท้าที่มันใช้จะเป็นทักษะระดับเทพสงครามขึ้นไป นั้นเป็นคำตอบเดียวที่ข้าพอจะคิดออกในตอนนี้”จิงอวี้รีบกล่าวเสริม

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดทักษะระดับเทพสงครามไม่ใช่สิ่งที่ใครบอกว่ามี แล้วจะมีมันได้ เจ้าก็รู้แม้แต่นิกายของเรายังมีผู้ที่สำเร็จทักษะระดับเทพสงครามเพียงคนเดียวเท่านั้น”ซูเหวินส่ายหน้าไปมาโดยเร็ว มันไม่สามารถทำใจเชื่อได้เด็ดขาด

ขณะเดียวกันภายในสนามประลอง หนิงเทียนยังคงทำได้แต่ก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง “ถ้าข้าพลาดโดนฝ่ามือของมันเข้าตรงๆละก็แย่แน่ เฮ้อ..ลำบากจริงๆ”

จากนั้นหนิงเทียนสะบัดมือปรากฏขวดยาสีเขียวอ่อนให้เห็นอยู่ระหว่างนิ้วของมัน คิ้วของหนิงเทียนขมวดเข้าหากันพร้อมครุ่นคิดภายในใจ “ข้าจะหาข้อแก้ตัวอย่างไรดี...”

หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาทางจมูก ปลายนิ้วที่คีบขวดหยกอยู่สะบัดออกไปในอากาศ ควันสีดำจางๆปรากฏรอบๆตัวของมัน

มันเป็นจังหวะเดียวกับที่วานรอัคคีปล่อยเปลวไฟออกมาจากปากของมัน จึงทำให้ผู้คนที่จ้องมองอยู่เห็นเป็นว่าควันสีดำนั้นมาจากเปลวไฟของวานรอัคคีที่กำลังเผาไหม้ก้อนเนื้อของหนิงเทียนอยู่

เมื่อวานรอัคคีสูดควันสีดำสีดำเข้าไปในร่าง ดวงตาของมันฝ่าเบลอขึ้นมาทันที มันสะบัดหัวอยู่สองสามครั้ง แต่กลับเห็นเหยื่อของมัน แยกออกเป็นสี่ร่าง ห้าร่างและหกร่างอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

จากนั้นมันพุ่งตัวเข้าหาเงาร่างแยกของหนิงเทียนทั้งหมดอย่างบ้าคลั่ง มันใช้ฝ่ามือของมันตบไปยังร่างเงาที่ว่างเปล่า ในส่วนหางมันสะบัดฟาดไปคนละทิศอย่างบ้าคลั่ง

หนิงเทียนยกยิ้มออกพร้อมกับเคลื่อนปลายนิ้วให้ขวดโอสถหมุนวนอยู่รอบปลายนิ้ว ‘ด้วยฤทธิ์ของโอสถพิษหลอนประสาทคงทำให้เจ้าไล่ตามภาพหลอนของข้าไปราวๆหนึ่งชั่วยามละนะ’

จากนั้นหนิงเทียนบิดร่างพร้อมเดินออกมาอย่างช้าๆ มันไม่แม้แต่จะหันไปมองด้านหลังแม้แต่น้อย

การกระทำของหนิงเทียนนั้นสร้างความตกตะลึงแก่ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในสายตาพวกมันทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พวกมันเห็นเพียงแต่ว่าวานรอัคคีปลดปล่อยเปลวเพลิงออกไปจากนั้นมันก็เกิดอาการผิดปกติ พุ่งร่างไล่ตบตีอากาศอย่างบ้าคลั่ง

แม้แต่ซูเหวินเองยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดสัตว์อสูรของมัน จู่ๆถึงได้คลั่งจนเสียสติขึ้นมา มันพยามเรียกสติและสั่งวานรอัคคีอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล

“เลิกพยามเถอะศิษย์พี่ วานรอัคคีของท่านคงจะถูกพิษอะไรสักอย่าง จากควันสีดำนั้นแหละ”จิงอวี้กล่าวด้วยสายตาที่แหลมคม เวลานี้ใบหน้าที่สบายๆเต็มไปด้วยรอยยิ้มของมันเริ่มที่จะมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยแล้ว

“ถูกพิษ?? บัดซบ บังอาจใช้วิธีต่ำช้ากับสัตว์อสูรของข้า” ซูเหวินที่ได้ยินคำกล่าวของศิษย์น้อง โทสะของมันทะยานขึ้นสูง ด้วยความหยิ่งยโสที่เป็นทุนเดิมกอปรกับที่ต้องมาพ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คนมากมาย

และที่สำคัญมันจะต้องสูญเสียป้ายเทพท่องนภาไปในการเดิมพันอีก เวลานี้ถ้ามันไม่หาที่ระบายอารมณ์ออกมา ใบหน้าของมันจะเอาไปวางไว้ที่ใดได้อีก

ซูเหวินโคจรพลังปราณปกคลุมทั่วร่าง มันขยับตัวจะพุ่งเข้าใส่หนิงเทียนด้วยความโกรธเกี้ยว แต่ทันใดนั้นอุ้งมือที่คล้ายกับครีมเหล็กได้จับกุมมาที่ไหล่ของมันแน่น

“ศิษย์พี่ คนๆนี้อันตรายเกินไป การที่มันจงใจปกปิดและแฝงตัวอยู่ในที่แห่งนี้....”

ขณะที่พวกมันกำลังส่งเสียงผ่านลมปราณให้ได้ยินกันสองคนอยู่นั้น

จู่ๆเสียงของคนๆหนึ่งดังแทรกเข้ามาระหว่างพวกมันทั้งคู่ มันไม่ใช่เสียงที่ส่งออกมาด้วยลมปราณแต่อย่างใดมันเป็นเพียงเสียงพูดออกธรรมดาเท่านั้น

“เมื่อพวกเจ้ารู้เช่นนั้นก็อย่าได้เข้ามาขวางทางข้า” มันเป็นเสียงที่หนิงเทียนกล่าวออกมา

แม้คนอื่นจะได้ยินเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าประโยคที่หนิงเทียนกล่าวออกมานั้นหมายความว่าอย่างไร

จะมีเพียงซูเหวินและจิงอวี้สองคนเท่านั้นที่แปรเปลี่ยนท่าทางในทันที พวกมันทั้งสองตัวแข็งทื่อ คำกล่าวที่จิงอวี้กำลังพูดกับศิษย์พี่ของมันต้องหยุดค้างลงที่กลางประโยค

ภายในหัวของพวกมันทั้งคู่เกิดคำถามว่า 'การสนทนาผ่านลมปราณของพวกมันถูกดักฟังได้อย่างไร'

“…..”

หนิงเทียนยังคงกล่าวขึ้นอย่างคนเสียสติที่พูดกับตัวเอง “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าต้องการจะทำอะไร แต่อย่าได้มายุ่งกับข้าอีก” กล่าวจบหนิงเทียนฉีกยิ้มกว้างพร้อมสั่งตันกุยให้เก็บเงินเดิมพันทุกเหรียญไม่ให้ขาด

แม้จะเป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่มันก็ทำให้สองศิษย์สายหลักจากนิกายระดับสูงแข็งค้างๆทันที “ตั้งแต่เมื่อไรกัน”ซูเหวินอุทานออกมาอย่างตกตะลึง

ท่าทางของจิงอวี่เองก็ไม่ต่างกันมากนัก การที่จะตรวจจับการสนทนาผ่านลมปราณระหว่างคนสองคนได้

ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนที่สูงกว่า ก็ต้องมีทักษะลับที่สามารถฟังเสียงของลมปราณได้ แน่นอนว่าหนิงเทียนนั้นเป็นอย่างหลัง แต่สิ่งที่จิงอวี่และซูเหวินปักใจเชื่อนั้นเป็นอย่างแรก

“ศิษย์พี่ ข้าว่าพวกเราอย่าอยู่ที่นี้นานเลย”จิงอวี้รีบกล่าวออก มันนั้นปักใจเชื่อไปแล้วว่าการที่หนิงเทียนเป็นคนพิการไร้ลมปราณนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด

ใบหน้าของซูเหวินเองก็ไร้ซึ่งความเหย่อหยิ่งมันรีบ หัวเราะออกกลบเกลือนและกล่าวออกอย่างไม่เต็มเสียงนักถึง

“ฮาฮาๆ วันนี้ตระกูลมู่ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาจริงๆ วันนี้ข้าจะยอมถอยให้ก่อน แต่อีก10วันข้างหน้าข้าจะมาเข้าร่วมประลองและแน่นอนข้าจะพาผู้อาวุโสหลักของนิกายมาสู่ขอแม่นางมู่ด้วยตัวเอง”

ซูเหวินจงใจกล่าวคำว่าจะพาผู้อาวุโสหลักของมันออกมาให้ได้ยินอย่างทั่วถึง แม้ตอนนี้มันจะหวั่นเกรงหนิงเทียนอยู่บ้างแต่มันไม่เชื่อว่า หนิงเทียนที่พวกมันสงสัยจะเก่งไปกว่าผู้อาวุโสของนิกายมันแน่นอน

หนิงเทียนได้แต่ยกยิ้มขึ้นมา มันรีบกล่าวออก “คุณชายซู ท่านลืมอะไรหรือเปล่า?”

ด้วยคำกล่าวของหนิงเทียนนั้น ทำให้ซูเหวินต้องกัดฟันแน่น มันรีบสะบัดมือเรียกวานรอัคคีเข้าไปในแหวนมิติอสูรโดยเร็ว พร้อมโยนป้ายเทพท่องนภาให้หนิงเทียน

จากนั้นมันหันหลังและเดินจากไปโดยไม่มีแม้แต่คำกล่าวลาเดียวให้แก่ผู้นำตระกูลอย่างมู่ซวนเฟิง

จิงอวี้ที่เดินทิ้งท้าย มันยกมือทั้งสองขึ้นป้องไปทางหนิงเทียน ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยร้อยยิ้ม

“อย่างที่ข้าได้เคยกล่าวไปในตอนแรก หวังว่าพวกเราจะได้สนทนากันมากกว่านี้และสำหรับป้ายเทพท่องนภานั้น

ถ้าพี่ชายนำมันมาแลกเปลี่ยนที่สำนักของเราละก็ จิงอวี่ยินดีที่จะเป็นผู้ทำงานให้พี่ชายด้วยตัวเอง” กล่าวจบมันหันหลังกลับและก้าวเดินตามศิษย์พี่ของมันไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อผู้มาเยือนทั้งสองจากไป หนิงเทียนกวาดสายตามองไปยังมู่ซวนเฟิง พร้อมโยนป้ายเทพท่องนภาขึ้นสูงให้ทุกคนได้เห็นก่อนจะรับลงบนมือ

มันทำเช่นนี้อยู่สองถึงสามครั้งก่อนจะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขบขัน “ป้ายนี่สั่งให้ใครก็ได้ตายจริงหรือ?” จากนั้นมันปลายตาไปทางมู่ปังเล็กน้อย

เห็นเช่นนั้นมู่ปังได้แต่เบื้อนสายตาหลบโดยเร็ว ด้วยแผ่นป้ายในมือของหนิงเทียนแล้วมันไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า ยามหลับจะมีผู้ใดเอามีดมาจ่อคอมันหรือไม่

สิ่งเดียวที่จะทำให้มันไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวได้อีกต่อไปคือการปรองดองกับหนิงเทียนเท่านั้น

จากนั้นหนิงเทียนส่งมอบป้ายเทพท่องนภาให้แก่มู่เสวี่ย มันจงใจกล่าวออกด้วยเสียที่ดังฟังชัด

“คุณหนูป้ายนี้สามารถปกป้องท่านจากคนที่คิดร้ายได้ ถ้าท่านรู้สึกว่าใครคิดร้ายต่อท่าน ท่านสามารถใช้มันให้สำนักท่องนภาลงมือได้ทันที”

กล่าวจบมุมปากของหนิงเทียนยกยิ้มขึ้นให้แก่มู่ซวนเฟิงเล็กน้อยก่อนที่มันจะเดินตามหลังมู่เสวี่ยกลับตำหนักหงส์ร่วงไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด