ตอนที่แล้วบทที่ 92 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 94 เข้าสู่สนามประลอง

บทที่ 93 นิกายท่องนภา


กำลังโหลดไฟล์

ตันกุยพยักหน้าโดยเร็วขณะที่สายตาของมันจับจ้องไปยังผู้มาเยือนอย่างไม่กระพริบตา จากนั้นมันกล่าวออกแก่หนิงเทียนด้วยเสียงที่แผ่วเบา

มันกลัวว่า ถ้าคำบอกเล่าของมันดังออกไปถึงหูของทั้งคนคู่ละก็ ชีวิตน้อยๆของมันอาจจะไม่มีเหลือไว้กินอาหารในยามพรุ่งอีกแล้ว

“ข้า..ข้าไม่เคยเห็นคนพวกนี้มาเยือนตระกูลมู่แม้แต่ครั้งเดียว แต่ข้าเคยได้ยินชื่อของนิกายท่องนภา มันเป็นนิกายในอาณาจักรฟ้าสวรรค์ และสำหรับลำดับ เอ้อร์เทียนโหลวก็สามารถบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของนิกายพวกมันได้แล้ว”

“พี่ตันกุยท่านอธิบายเอ้อร์เทียนโหลวให้ข้าเข้าใจหน่อยได้ไหม”หนิงเทียนรีบกล่าวถามด้วยความสงสัย

ตันกุยพยักใบหน้าที่แข็งค้างของมันลงก่อนจะกล่าวอธิบายออก

“ในดินแดนหลักของทวีปทั้งสี่จะมีการจัดลำดับของตระกูล สำนักหรือนิกายโดยใช้เทียนโหลว(บันไดสวรรค์)ทดสอบ มีเพียงตระกูล นิกายและสำนักใหญ่ที่มีผู้นำหรือคนในตระกูลอยู่ในระดับดินแดนทรราชย์ขึ้นไปเท่านั้น

ถึงจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมทดสอบบันไดสวรรค์เพื่อจัดอันดับของพวกมัน และเมื่อพวกมันก้าวขึ้นบันไดสวรรค์ได้สำเร็จ 1ขั้นมันจะได้รับคำเรียกแทนว่าอีเทียนโหลว(บันไดสวรรค์ขั้น1)

มีคำเล่าลือว่าความยากในการก้าวขึ้นสู่เทียนโหลวทั้งสิบขั้นนั้นยากเสียยิ่งกว่าการปีนขึ้นสวรรค์จริงๆเสียอีก”

ได้ยินเช่นนั้นคิ้วของหนิงเทียนยิ่งขมวดเพิ่มเข้าไปอีก “ถ้าตันกุยไม่ได้กล่าวคำพูดที่เกินจริงออกมาละก็ นิกายท่องนภาที่อยู่ในขั้นที่2ของบันไดสวรรค์(เอ้อร์เทียนโหลว)

จะต้องไม่ใช่ตัวตนที่ใครในดินแดนรอบนอกจะกล้าแตะต้องได้เป็นอันขาด“หนิงเทียนยังคงกล่าวถามต่อ”พี่ตันกุยบันไดสวรรค์ที่ว่าเป็นผู้ใดกันที่สร้างมันขึ้นมา”

ตันกุยได้แต่ส่ายหน้าโดยเร็วมันรีบกล่าวออก“ไม่มีใครบอกได้ว่าแดนสวรรค์หวงตี้กับบันไดสวรรค์เทียนโหลว อะไรกันแน่ที่มีอายุมากกว่ากัน”

ได้ยินคำบอกเล่าเช่นนั้น หนิงเทียนได้จมลงอยู่ในห้วงความคิด ผู้คนของตระกูลมู่ทั้งตระกูลก็ไม่มีผู้ใดกล้าเปล่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย

แค่เพียงได้ยินชื่อ“นิกายท่องนภา” มู่ซวนเฟิงที่เป็นถึงผู้นำก็แทบที่จะคุกเข่าลงแทบพื้นแล้ว และด้วยคำว่า เอ้อร์เทียนโหลว ที่ออกมาจากปากของมู่ฉูจีนั้นทำให้จิตใจของผู้คนนับร้อยๆต่างพลุ่งพล่านด้วยความหวาดกลัว

ไม่เว้นแม้แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ในดินแดนวีรชนยังไม่สามารถเปล่งเสียงอันใดออกมาได้ พวกมันได้แต่นั่งนิ่งด้วยร่างที่เย็นเฉียบ

ในดินแดนรอบนอกนั้น สามเมืองใหญ่แม้จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกทิศ แต่เนื้อแท้ของมันจริงๆแล้ว พวกมันเป็นได้แค่เมืองทาสรับใช้ให้แก่อาณาจักรฟ้าสวรรค์เท่านั้น

และแม้ว่าอาณาจักรฟ้าสวรรค์จะถูกเรียกแทนว่าอาณาจักรก็ตามที แต่พื้นที่ของมันใหญ่โตกว้างขวางกว่าเป็นสิบๆเท่าของพื้นที่ทั้งหมดในดินแดนรอบนอกเสียอีก

ความรุ่งเรือง อิทธิพล ความเข้มข้นของลมปราณ ตลอดไปถึงกลุ่มของผู้ฝึกตนและพลังบ่มเพาะนั้นแตกต่างกันอย่างมหาศาล

เคยมีคำกล่าวไว้ว่า ผู้ฝึกตนที่อยู่ในแดนแห่งปราชญ์สำหรับอาณาจักรฟ้าสวรรค์แล้วพวกมันเป็นได้แค่เพียงทหารเลวเท่านั้น

แต่เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรฟ้าสวรรค์แต่อย่างใด แต่เป็นตำแหน่งและฐานะของผู้ที่มาเยือนต่างหาก

พวกมันต่างเป็นศิษย์สายหลักของนิกายท่องนภา ความสำคัญของพวกมันนั้นมีค่ามากกว่าผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งสามในเมืองฉางผิงแห่งนี้เสียอีก

ตัวตนที่พิเศษขนาดนี้ของผู้มาเยือน ไม่สมควรจะมาปรากฏกายอยู่ในสถานที่แห่งนี้และที่สำคัญอาณาจักรฟ้าสวรรค์นั้นแบ่งการปกครองเป็นเอกเทศน์

เพื่อไม่ให้เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนรอบนอกระหว่างกลุ่มผู้มีอำนาจอื่นๆ ผู้คนจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์จึงถูกจำกัดการเข้าออกอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุนี้เองมันจึงสร้างความสงสัยและงุนงงเป็นอย่างมากให้แก่มู่ซวนเฟิง

บุรุษหนุ่มผู้เดินนำ ก้าวมาหยุดอยู่ตรงกลางพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ผู้เยาว์ ซูเหวิน จากนิกายท่องนภา ขอคาราวะผู้นำตระกูลมู่

การมาเยือนของข้าอาจจะทำร้ายคนในตระกูลท่านไปบ้าง นั้นก็เพราะว่าพวกมันแส่หาที่เอง ข้าหวังว่าผู้นำมู่จะไม่ถือสาและเก็บมาใส่ใจอีก”

ด้วยคำกล่าวที่ดูคล้ายจะนอบน้อมแต่แท้จริงภายในของซูเหวินเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด มันมีสิทธิ์และความสามารถที่จะทำเหย่อหยิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ

มู่ซวนเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม ด้วยพลังที่แผ่ออกมาจากร่างบุรุษหนุ่มผู้นี้แทบจะเทียบเท่ากับตัวมันที่อยู่ในดินแดนวีรชนขั้นที่ห้า

มันไม่สามารถจิตนาการได้เลยว่าถ้ามันมีอายุเพียง20ปีแล้วสามารถเข้าสู่ระดับวีรชนได้ อนาคตมันจะต้องไปถึงดินแดนของเหล่าราชันย์ได้อย่างแน่นอน

ถึงแม้จะคิดออกเช่นนั้นแต่มันพยามปรับใบหน้าให้เป็นปกติอย่างที่สุด พร้อมกล่าวออก “คุณชายซูเหวิน ถ้าข้าไม่ได้ตาถั่วเกินไป ท่านนั้นจะต้องเป็นผู้กล้าของนิกายท่องนภาใช่หรือไม่”

ซูเหวินหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ “ท่านผู้นำมู่หรือว่าท่านต้องการชมท่าเท้าท่องนภา สุดยอดทักษะของพวกเราให้เห็นเป็นขวัญตาถึงจะเชื่อถือในตัวของพวกเรา??”

มู่ซวนเฟิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงตึงเครียด“มะ..ไม่จำเป็นคุณชายซูเหวิน พวกเราตระกูลมู่ไม่เคยรับแขกที่สูงศักดิ์เช่นนี้มาก่อน ทหารของตระกูลเราอาจจะเสียมารยาทต่อคุณชายซูเหวินไปบ้าง

ข้าในฐานะของผู้นำขออภัยแทนทหารที่เสียมารยาทด้วย” น้ำเสียงและคำพูดของมู่ซวนเฟิงนั้นเห็นได้ชัดว่ายอมศิโรราบแต่แรกเห็นแล้ว

ซูเหวิน ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะแหงนหน้าขึ้นสูงพร้อมกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เหย่อยิ่งอันเป็นเอกลักษณ์“ท่านผู้นำมู่กล่าวเกินไปแล้ว เป็นข้าเองที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ

ข้านั้นได้รับภารกิจเล็กน้อยของนิกายทำให้ต้องมาเยือนเมืองฉางผิงแห่งนี้และได้รับข่าวว่าตระกูลของท่านจะจัดงานประลองเลือกคู่อย่างยิ่งใหญ่

ข้าจึงต้องการเห็นมันกับตาของข้าเอง ว่าคุณหนูใหญ่ของตระกูลท่านจะงดงามถึงเพียงใดกัน ถึงทำให้ดินแดนรอบนอกปั่นป่วนได้เพียงนี้”

การที่จู่ๆแขกที่ไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามาในบ้านซ้ำยังทำร้ายทหารยาม ไม่พอเท่านั้นยังต้องการให้คุณหนูใหญ่ของบ้านนั้นเปิดหน้าเผยโฉมให้มันดู

นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่ให้เกรียติและหยามหมิ่นเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้เวลานี้ ผู้คนในตระกูลมู่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าเปล่งเสียงว่ากล่าวซูเหวินออกมาแม้แต่คำเดียว

ด้วยอิทธิพลของนิกายท่องนภาตัวตนของศิษย์สายหลักอย่างพวกมัน มีฐานะสูงกว่าผู้นำตระกูลทั้งสามคนรวมกันเสียอีก

ทันทีที่มู่ซวนเฟิงได้ยินเช่นนั้น แทนที่มันจะโมโหด้วยโทสะแต่กลับกลายเป็นใบหน้าที่แย้มยิ้มออกด้วยความยินดี

ถ้าได้ศิษย์สายในของนิกายท่องนภา มาเป็นบุตรเขยมันวิเศษกว่าที่คาดคิดไว้หลายสิบเท่านัก

ไม่ต้องกล่าวถึงองค์ชายหรือว่าที่เจ้าเมืองคนต่อไปในดินแดนรอบนอกแม้แต่น้อย พวกมันไม่มีค่าเทียบเท่าแม้แต่อาภรณ์ที่ซูเหวินสวมใส่อยู่ด้วยซ้ำ

คิดได้เช่นนั้นมู่ซวนเฟิงรีบพายมือไปทางมู่เสวี่ยพร้อมกล่าวออก “คุณชายซูเหวิน นั้นคือบุตรสาวของพี่ชายข้า นามว่ามู่เสวี่ย”

ซูเหวินหันไปตามทิศทางที่มู่ซวนเฟิงผายมือออก มันพบกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่มันด้วยดวงตาที่เย็นชา

รูปร่างของนางนั้นบอบบาง เรียวขาและช่วงตัวของนางแบ่งกันได้อย่างสมส่วน โครงร่างที่เว้าและโค้งได้รูปกอปรกับผิวพรรณอันงดงามของมู่เสวี่ยด้วยแล้ว

ทำให้ในสายตาของซูเหวินนั้นคิดได้เพียงว่า มู่เสวี่ยคือปะติมากรรมรูปปั่นของนางเซียนบนสวรรค์ก็ไม่ผิดเพี้ยนและยิ่งมองลึกไปมากเพียงใด แววตาที่เย็นชานั้นกลับให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างน่าพิศวง

“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่....” บุรุษหนุ่มที่เดิมตามมันมากล่าวเรียกถึงสองสามครั้งกว่าที่ซูเหวินจะได้สติกลับคืนมา จากนั้นมันยกยิ้มอย่างปรีดา พร้อมกล่าวออก

“สมแล้ว....สมแล้วที่ตระกูลของผู้นำมู่จะจัดงานใหญ่โตจนดังไปถึงหูของพวกเราในอาณาจักรฟ้าสวรรค์

ข้าไม่เคยคิดว่านางเซียนบนสวรรค์จะมีอยู่จริง แต่ในวันนี้ข้าคงต้องเปลี่ยนความคิดนั้นแล้ว

แม้แต่ในอาณาจักรฟ้าสวรรค์ยังหาคนที่จะงดงามเทียบกับคุณหนูใหญ่คนนี้ได้ไม่เกินนิ้วบนมือ” แม้ว่าทีท่าของซูเหวินจะเต็มไปด้วยความเหย่อหยิ่งโอหังแต่คำพูดคำจาของมันยังนับว่าให้เกรียติมู่ซวนเฟิงอยู่บ้าง

จากนั้นซูเหวินกวาดสายตาไปรอบๆ พร้อมกล่าวต่อว่า “ดูเหมือนตระกูลมู่จะมีงานรื่นเริง จะรังเกียจหรือไม่ถ้าข้าจะขอเข้าร่วมมันด้วยคน”

โดยที่ไม่รอคำตอบกลับของมู่ซวนเฟิง ซูเหวินและผู้ติดตามของมัน เดินตรงไปยังที่นั่งของมู่เสวี่ยทันที

มันนั้นจงใจเลือกที่จะนั่งข้างๆของมู่เสวี่ย การกระทำของมันนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเจ้าของบ้านเลยแม้แต่น้อย

ซูเหวินมองผ่านหนิงเทียนไปยังมู่เสวี่ย พร้อมกล่าวออก“ท่านคือคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ มู่เสวี่ย ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าแซ่ซูชื่อคำเดียวว่าเหวิน ท่านสามารถเรียกข้าว่าพี่ซูได้”

มู่เสวี่ยได้แต่ผงกหัวตอบรับตามมารยาท แต่นางก็ไม่ได้กล่าวคำใดออกมาอีก ด้วยท่าทีเช่นนี้ ยิ่งทำให้มุมปากของซูเหวินยกยิ้มขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ

จากนั้นซูเหวินมองไปยังสนามประลองอสูรมันเหลือบเห็นเสือขาววายุที่ยืนนิ่งเป็นสง่าอยู่ใจกลางสนามประลอง มันจึงกล่าวออกว่า “ในเมื่อพวกท่านกำลังประลองอสูรกันอยู่ ของข้าร่วมสนุกบ้างได้หรือไม่”

ได้ยินเช่นนี้ มู่ซวนเฟิงหัวเราะออกอย่างปลอดโปร่งไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าแขกผู้มีเกรียติคนนี้พอใจ มันยินยอมที่จะทำตาม

มันจึงกล่าวตอบทันที “ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อยคุณชายซูเหวิน ในรอบนี้ท่านต้องการส่งอสูรลงมาต่อสู้หรือจะเลือกเดิมพันอย่างเดียวก็ย่อมได้”

มู่ซวนเฟิงรีบกล่าวออกอย่างระมัดระวังและไตร่ตรองทุกคำพูดเพื่อไม่ให้ผิดพลาดจนไปสร้างความขุ่นเคืองต่อซูเหวินได้

ซูเหวินพยักหน้าพร้อมกล่าวออก “ข้านั้นมีสัตว์อสูรที่ต้องการให้มันยืดเส้นยืดสายอยู่บ้างและยังต้องการเดิมพันกับพวกท่านตระกูลมู่สักหนึ่งเรื่องด้วย”

กล่าวจบมันสะบัดมือเรียกวานรตัวหนึ่งออกมาจากแหวนมิติอสูรสีทอง

ขนาดตัวของวานรที่มันเรียกออกมานั้นเท่ากับมนุษย์ร่างยักษ์ทั่วไปเท่านั้น และลักษณะของมันนั้นคล้ายกับวานรธรรมดา

แต่มีสิ่งที่ทำให้มันดูโดดเด่นกว่าก็คือ ดวงตาสีแดงและก้อนเปลวไฟที่จุดอยู่บนปลายของหางของมัน

และทันทีที่มันปรากฏแก่สายตาของผู้คน มันคำรามร้องออกเสียงดัง โครกกกก!!! พร้อมกับไอความร้อนมหาศาลที่เริ่มจะปกคลุมไปทั่วทั้งสนามประลอง

“นะนั้นมัน วานรอัคคีสัตว์อสูรลมปราณขั้นที่2” มู่ฉูจีเปิดตากว้างพร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึง

“ฮ่าอาๆ ไม่เลวดูเหมือนว่าตระกูลมู่ของท่านยังพอมีคนที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง”ซูเหวินหัวเราะออก

จากนั้นมันนำแผ่ป้ายขนาดเท่าฝ่ามือคนออกมา พร้อมกล่าวออกว่า นี้คือป้ายเทพท่องนภาของนิกายเรา ถ้าผู้เยาว์ที่อายุต่ำกว่า30ปีคนใดสามารถเอาชนะวานรอัคคีของข้าได้ละก็ ข้าจะมอบมันให้แก่ตระกูลมู่ทันที”

ซูเหวินกล่าวออกพร้อมุมปากที่ยกยิ้มแฝงด้วยริ้วรอยของความเหยียดหยามดูแคลน ใช่แล้วที่มันกล้านำสมบัติวิเศษของมันออกมาเดิมพันเพราะมันนั้นสังเกตเห็นแล้วว่า

ไม่มีผู้เยาว์คนใดในตระกูลชั้นต่ำเช่นนี้สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรในขั้นที่2ได้อย่างแน่นอน

มู่เฉียนมองไปยังแผ่นป้ายสีฟ้าครามที่ซูเหวินถืออยู่พร้อมถามออก “ท่านพ่อ ป้ายเทพท่องนภานั้นคือสิ่งใดกันแน่ มันมีความสำคัญมากมายขนาดนั้น?”

มู่ซวนเฟิงนั้นกล่าวตอบออกโดยลืมเลือนความกราดเกรี้ยเมื่อครู่ไปหมดสิ้น ในสายตาขอมันเวลานี้มีแต่ป้ายเทพท่องนภาเท่านั้น

"นิกายท่องนภา แม้ชื่อเรียกของมันจะสวยหรูสดใส แต่แก่นแท้จริงๆแล้ว มันเป็นองค์กรนักฆ่าที่คอยสังหารผู้คนตามที่ได้รับว่าจ้างมาเท่านั้น

และป้ายเทพท่องนภานั้นก็เป็นเสมือนป้ายอาญาที่สามารถร้องขอให้สำนักท่องนภาสังหารผู้ใดก็ได้หนึ่งครั้ง

ถ้าจะกล่าวมันให้อย่างเข้าใจง่ายๆละก็ มันเปรียบเสมือนป้ายคำสั่งชีวิตที่จะให้ใครในดินแดนรอบนอกตายก็ย่อมได้"

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของบิดาแล้ว มู่เฉียนได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองไปยังป้ายสีครามนั้นอีกเลย ร่างกายของนางเย็นวาบด้วยความหวาดกลัว

ป้ายที่ใช้สั่งให้ใครก็ได้ตาย ของแบบนี้ก็มีอยู่ในโลกด้วยอย่างนั้น?

มู่ซวนเฟิงกลืนน้ำลายของคอเฮือกใหญ่พร้อมกล่าวถามออกอย่างระมัดระวัง “คุณชายซูเหวินแล้วถ้าไม่มีผู้เยาว์คนใดในตระกูลของข้าเอาชนะวานรอัคคีของท่านได้ สิ่งใดกันที่ตระกูลมู่ของข้าจะตอบแทนให้แก่ท่านได้”

ซูเหวินยกยิ้มออกพร้อมด้วยจิตสังหารที่ทะยานออกมาอย่างไม่ปิดบัง มันจงใจมองตรงไปยังจี้หลินตงพร้อมกล่าวด้วยเสียงเย็น

“ถ้าผู้เยาว์ตระกูลท่านไร้ความสามารถที่จะปราบวานรอัคคีของข้าได้แล้ว เช่นนั้นข้าจะขอรับตัวคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้ามาเป็นฮูหยินของข้า

พวกเจ้าได้ยินไม่ผิด ไม่ต้องรอให้ถึงงานประลองเลือกคู่อีกแล้ว วันนี้ข้าจะพานางกลับไปยังนิกายท่องนภาในทันที”

ขณะที่คำพูดของซูเหวินดังออกมานั้น บรรยากาศภายในสนามประลองเย็นยะเยือกสายตาเคร่งเครียดทุกคู่จ้องมองไปยังมู่เสวี่ยเป็นทางเดียวกัน

แม้แต่ตัวของจี้หลินตงที่มีฐานะสูงส่งในดินแดนรอบนอกยังไม่กล้ากล่าวค้านคำใดออกมาแม้แต่น้อย ทุกคนรู้ดีว่ามันต้องการที่จะเป็นบุตรเขยตระกูลมู่มากเพียงใด

แต่ด้วยความกลัวต่อนิกายท่องนภานั้นมากเกินกว่าที่คนอย่างมันจะเอ่ยคำใดเข้าสู้ได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด