ตอนที่แล้วบทที่ 85 รักษาพิษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 87 สนามประลองอสูร

บทที่ 86 ศิษย์คนแรก


กำลังโหลดไฟล์

ไม่รู้ว่าล่วงเวลาผ่านไปนานเพียงใด ที่สองร่างนั้นกอดกันแน่นจนเกือบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เวลานั้นเองร่างของมู่เสวี่ยก็ขยับเขยื้อนเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมา

ภายในหัวของนางยังรู้สึกมึนงงกับภาพตรงหน้าและกริยาท่าทางของตัวเองเล็กน้อย

นางแค่รู้สึกว่าหมอนใบใหญ่ที่นางหนุนนอนอยู่ ชวนให้รู้สึกสบายใจเพียงเท่านั้น จากนั้นนางก็ปิดตาและหลับลงอีกครั้งหนึ่ง....

แต่ด้วยความรู้สึกต่อมาที่นางรับรู้นั้นคือหมอนที่นางกำลังหนุนนอนอยู่นั้นกดทับแน่นเข้ากับหน้าอกของนางจนแทบจะขาดอาการหายใจ

ทันใดนั้นดวงตาของนางเปิดกว้างขึ้นมาทันที นางรีบสลัดอาการมึนงงออกไปจากหัว สองตารีบกวาดมองทัศนียภาพโดยรอบ เวลานี้นางรับรู้ได้แล้วว่าสิ่งที่กำลังกดทับหน้าอกของนางอยู่ คือแผ่นอกกว้างของบุรุษเพศ

เมื่อเห็นภาพที่ตัวเองกำลังสวมกอดกับหนิงเทียนอยู่นั้น ภายในใจของนางเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางรีบสะบัดร่างไปมาพร้อมกับใช้สองมือแกะท่อนแขนที่กำลังโอบร่างของนางไว้อย่างรวดเร็ว

จู่ๆสุ้มเสียงของหนิงเทียนได้ดังขึ้นมาในลักษณะที่ดวงตาทั้งสองของมันยังคงปิดสนิท“อย่ากระดุกกระดิกได้หรือไม่ จิตวิญญาณของข้านั้นเหนื่อยล้ามาก ข้ายังต้องการพักผ่อนอีกครู่ใหญ่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างของมู่เสวี่ยสะดุ้งด้วยความตกใจ นางใช้สองมือสอดเข้ามาคั้นกลางระหว่างหน้าอกของนางและหนิงเทียนก่อนจะออกแรงเหยียดตรงดันร่างของหนิงเทียนให้ถอยห่างออกไป

พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านตื่นแล้ว เหตุใดยังคงเอาเปรียบข้าอยู่”

“เอาเปรียบท่าน? เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนเป็นท่านต่างหากที่เอาเปรียบข้า”กล่าวจบหนิงเทียนค่อยเปิดตาขึ้นพร้อมจ้องมองไปยังร่างอันบอบบางที่อยู่ใต้แขนของมัน

จากนั้นมันค่อยๆคลายแรงจากการสวมกอดลง ก่อนจะใช้สายตาที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์จ้องมองไปยังดวงตาคู่บริสุทธิ์ของมู่เสวี่ย

ด้วยพลังอำนาจของสายตาคู่นั้น มันแช่ร่างของมู่เสวี่ยให้แข็งค้างอยู่ภายใต้อ้อมกอดที่ปราศจากแรงบีบบังคับ หนิงเทียนได้แต่ยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“เห็นหรือไม่ ข้าปล่อยท่านแล้ว ท่านก็ยังคงไม่ไปไหนอยู่ดี”

คำพูดของหนิงเทียนคล้ายกับเสียงของระฆังที่ดังปลุกมู่เสวี่ยจากภวังค์ นางรีบออกแรงยันร่างของนางให้ถอยห่างออกมา ทันใดนั้นมู่เสวี่ยก็ละสายตามองไปยังร่างกายที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าห่มผืนบาง เมื่อนางตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าตอนนี้ร่างของนางนั้นไร้ซึ่งอาพรสวมใสใดๆแม้แต่ชิ้นเดียว ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหน้า ก่อนจะกล่าวออกด้วยความเขินอายอย่างที่สุดในชีวิต “ท่าน...ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องการแต่งตัวให้เรียบร้อย”

เห็นอาการเขินอายเช่นนี้ของมู่เสวี่ย หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกล้อ ออกมา “ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการให้ข้าช่วยสวมใส่มันทีละชิ้น”

ได้ยินเช่นนั้นสายตาที่เอียงอายของมู่เสวี่ยแปรเปลี่ยนเป็นมองค้อนด้วยโทสะ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ไม่ต้อง!!!! ข้าทำเองได้”

หนิงเทียนส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยันร่างขึ้นจากเตียง จากนั้นมันวางขวดหยกที่บรรจุโอสถลับกลั่นกระดูกทะลวงชีพจรไว้บนโต๊ะ "ในฐานะอาจารย์นี้คือสิ่งแรกที่ข้ามอบให้"

เมื่อหนิงเทียนเดินออกมาจากห้องนอนของมู่เสวี่ย มันรีบนำโอสถสวรรค์ฟื้นพลังของพ่อรองเข้าปากโดยเร็ว พร้อมกับปรับลมหายใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้

“พ่อบ้านมู่ เจ้าใช้งานข้าหนักเกินไปจริงๆ ถ้าข้ากลับถึงแดนภูตเร้นลับเมื่อใด ข้าจะให้เจ้ากลายมาเป็นหุ่นทดลองโอสถพิษเสียให้ส่าแก่ใจ”

เมื่อกล่าวกับตัวเองจบ หนิงเทียนรีบสะบัดมือเรียกเตาโอสถอสรพิษของมันออกมา แต่ก่อนที่จะได้ลงมือทำอันใดต่อนั้น

มู่เสวี่ยได้วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าอันตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง สองมือของนางนั้นจับขวดหยกที่หนิงเทียนให้ไว้แน่น “นะ..นี่คือโอ..โอสถลับ ใช่หรือไม่!!??”นางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักพร้อมกับอาการตกตะลึงที่ใบหน้า

หนิงเทียนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเพียงโอสถลับธรรมดาถึงทำให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกมากมายถึงเพียงนี้ได้

ครั้งแรกก็ผู้คนของตระกูลจิน มาครั้งนี้มู่เสวี่ยเองก็ยังคงแสดงสีหน้าและท่าทางเช่นเดียวกันอีกและถ้าข้าต้องอธิบายออกให้แก่ทุกคนที่ได้รับโอสถฟัง

คงไม่กลายเป็นเรื่องที่วุ่นวายมากอย่างนั้นหรือ คิดได้เช่นนั้นมันจึงคร้านที่จะเอ่ยตอบออกมา การพยักหน้าอย่างเดียวคงจะเป็นคำตอบที่ดีในสถานการณ์เช่นนี้

เมื่อได้เห็นใบหน้าที่พยักขึ้นลงเป็นสัญญาณคำตอบนั้นสองมือที่มู่เสวี่ยใช้ประครองอยู่ถึงกับสั่นออกอย่างไม่สามารถควบคุมได้

หนิงเทียนเอื้อมมือของมันไปจับกุมสองมือที่ขาวผ่องของมู่เสวี่ยหมายจะให้อาการสั่นลดลง จากนั้นมันกล่าวถามออก “โอสบลับมันน่าตื่นเต้นมาถึงขนาดนี้เลยหรือ?”

มู่เสวี่ยนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ในทวีปฟ้าสวรรค์แห่งนี้ผู้ที่สามารถปรุงโอสถลับได้จะถูกจองตัวจากกลุ่มผู้มีอำนาจในอาณาจักรฟ้าสวรรค์ทั้งหมด

การที่โอสถลับจะหลุดรอดและเหลือออกมาปรากฎในสามเมืองรอบนอกนั้นเรียกได้ว่ายากกว่าการจะหาผู้ฝึกตนในแดนวีรชนเสียอีก

มันไม่ใช่โอสถที่ใช้เพียงเงินทองจะสามารถซื้อหามันได้ ผู้ที่สามารถซื้อมันได้นั้นจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนในอาณาจักรฟ้าสวรรค์

ซึ่งตระกูลมู่ของเรา ก็ขวนขวายทุกวิธีทางเพื่อที่จะได้รับมันมาและด้วยความพยายามอย่างหนัก พวกเราสามารถขอซื้อมันได้เพียง1เม็ดเท่านั้น”

“แล้ว1เม็ดที่ตระกูลท่านซื้อมาใครเป็นผู้ที่ได้รับมันไปละ?”หนิงเทียนกล่าวถามอย่างสบายๆ ขณะที่สองมือของมันนำวัตถุดิบบางอย่างจากแหวนมิติออกมา

มู่เสวี่ยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายจากอาการตกตะลึงดีนัก“เป็นน้องรองมู่ชิงที่ได้รับมันไป ด้วยความวิเศษของโอสถทำให้พรสวรรค์ของนางทะลวงขึ้นไปสู่ระดับสี่แก่นแท้ จนได้รับเลือกเข้าสู่สำนักเทพหยินหยาง

หนิงเทียนยิ้มออกเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้น“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นคนที่สองของตระกูลแล้วละ”

ได้ยินเช่นนั้นภายในใจของมู่เสวี่ยคิดซาบซึ้งเป็นมากอย่าง “ขอบ...ขอบคุณท่านมาก เอ่อ... ข้าขอถามท่านได้หรือไม่ ว่าท่านมันได้มาจาก จ้าวโอสถคนใด?”

ที่นางต้องกล่าวถามเช่นนี้เพียงเพราะถ้าตระกูลมู่ได้ติดต่อทำข้อตกลงกับจ้าวโอสถที่สามารถปรุงโอสถลับได้ละก็

ฐานะสามตระกูลใหญ่ของตระกูลมู่จะมั่นคงจนไม่สามารถมีใครมาสั่นคลอนได้อีกไม่เพียงเท่านั้นมันอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของสามตระกูลใหญ่เลยก็ได้

เมื่อได้ยินคำขอบคุณที่แฝงด้วยคำถามเช่นนั้นหนิงเทียนรีบส่ายหน้าพร้อมคิดออกในใจ ‘นางถูกตระกูลทอดทิ้งถึงเพียงนี้ นางยังไม่วายที่จะห่วงตระกูลอีก?’

คิดออกเช่นนั้น มันรีบกล่าวตอบขึ้นอย่างรวดเร็ว“ได้มาอย่างไรนะหรือ อาจารย์ของเจ้าก็ปรุงมันขึ้นมาเองนะสิและไม่ต้องห่วงข้าไม่ปรุงโอสถให้ใครง่ายๆอย่างที่ท่านคิดแน่นอน” …

จากนั้นหนิงเทียนมองไปยังสีหน้าที่สับสนของมู่เสวี่ยมันบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจออกมาทางสายตา

มันจึงยกยิ้มขึ้น “ดูเหมือนว่าแค่ถอนพิษเย็นในช่วงที่เจ้าไร้สติยังคงไม่พอ ถ้าข้าไม่แสดงสิ่งใดออกให้เจ้าได้เห็นกับตา เจ้าคงจะไม่เชื่อใจข้าเต็มร้อยและเริ่มฝึกวิชาได้สินะ”

เมื่อกล่าวจบหนิงเทียนสะบัดแขนเสื้อปรากฎกล่องหยกสองกล่องที่กำลังสั่นไหวราวกับว่าสิ่งที่อยู่ภายในกำลังดิ้นรนหาทางออกมาสู่ภายนอก

“ในสายตาของข้า โอสถลับก็ไม่ต่างจากโอสถทั่วไป มีเพียงแต่โอสถจิตวิญญาณเท่านั้นที่คู่ควรแก่ความสำเร็จในฐานะผู้ปรุงโอสถ”

กล่าวถึงตรงนี้ หนิงเทียนหยุดยิ้มให้แก่มู่เสวี่ยอย่างอ่อนโยนพร้อมกล่าวออก “ข้าจะให้ท่านได้ชมการปรุงโอสถจิตวิญญาณหยินหยาง”

สิ้นเสียงของหนิงเทียน มันไม่รอช้าที่จะโยนแกนอสูรธาตุอัคคีลงไปในเตาโอสถอสรพิษของมันเพื่อใช้เป็นเปลวไฟในการหลอมโอสถเช่นทุกครั้ง

เมื่อประกายไฟได้ถูกจุดขึ้น ไอความร้อนแผ่กระจายปกคลุมไปทั่วห้อง จากนั้นหนิงเทียนโบกมือควบคุมไฟอย่างชำนาญ

มันโยนสมุนไพรลงไปในเปลวไฟที่โหมกระหน่ำสองถึงสามชนิด มันวาดมือควบคุมเปลวไฟและกำชัดสิ่งปนเปื้อนออกมาพร้อมกัน

ในสายตาของมู่เสวี่ยนั้นทุกๆขั้นตอนที่หนิงเทียนแสดงออกมามันคล้ายกับว่าเขากำลังตักอาหารเข้าปากเพียงเท่านั้น มันดูง่ายดายและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด

ปลายสายตาของหนิงเทียนเหลือบมองไปยังมู่เสวี่ยเล็กน้อยจากนั้นมันกล่าวอธิบายขึ้นมา “แม้ว่าท่านจะทนทุกข์จากพิษเย็นของหนอนหิมะมาถึง2ปี

แต่ถึงอย่างไรท่านก็ไม่สามารถหนีพ้นจากมันได้ แต่ครั้งนี้จะพิเศษกว่าเก่าเล็กน้อย ข้าจะส่งดักแด้อัคคีไปอยู่ในร่างของท่านด้วยอีกตัวหนึ่ง”

ได้ยินคำกล่าวออกเช่นนี้ของหนิงเทียน ร่างกายของมู่เสวี่ยเย็นวาบด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทันที ‘หนอหิมะและดักแด้อัคคีคืออันใดกัน พวกมันเป็นถึงพิษที่สามารถคร่าชีวิตตัวตนระดับวีรชนได้

แล้วเหตุใด ผู้ชายคนนี้ถึงกล่าวว่าจะนำมันกลับมาใส่ตัวข้าอีกครั้ง’ ยิ่งคิดออกเช่นนั้นสันหลังของมู่เสวี่ยเริ่มที่จะสั่นด้วยความหนาวเย็น

เมื่อเห็นอาการที่แสดงออกมาของมู่เสวี่ย หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออก

“ฮาๆ ท่านคิดไปถึงไหนกัน ข้าเพียงต้องการบอกท่านว่า ข้าจะใช้มันทั้งคู่มาเป็นตัวยาเพื่อปรุงโอสถที่ช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณของท่านเท่านั้น

ด้วยสรรพคุณของมันที่ถูกเสริมส่งด้วยโอสถลับของข้าแล้วละก็ มันจะช่วยให้พรสวรรค์ของท่านเทียบเคียงกับผู้มี5แก่นแท้แต่กำเนิด ความวิเศษอื่นๆของมันแม้ข้าจะอธิบายออกไปท่านในตอนนี้ก็ไม่สามารถเข้าใจถึงได้แน่นอน”

กล่าวจบหนิงเทียน โยนดันแด้อัคคีและหนอนหิมะใส่เตาโอสถทันที เวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่งเท่านั้นโอสถสีแดงครามปรากฎอยู่บนมือของหนิงเทียน ความบริสุทธิ์ของมันมีถึง8ใน10ส่วน นับว่าเกินความคาดหมายของหนิงเทียนอยู่1ส่วน

หนิงเทียนยื่นโอสถให้แก่มู่เสวี่ยพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นของท่าน”

นางยื่นมือไปหยิบโอสถจิตวิญญาณหยินหยางไว้ในมือ พร้อมจับจ้องไปที่มันด้วยสายตากลมโต นางอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง “โอสถจิตวิญญาณ มันเป็นโอสถจิตวิญญาณจริงๆ

อีกทั้งท่านยังปรุงมันขึ้นภายในเวลาไม่ถึงชั่วยาม ทะ..ท่าน..ท่านเป็นใครกันแน่!!??”

ใบหน้าของหนิงเทียนยังคงฉาบด้วยรอยยิ้มไม่เปลี่ยนมันกล่าวออกเพียงแค่ว่า“ข้าก็เป็นอาจารย์ของท่านไม่ใช่หรือ”กล่าวจบหนิงเทียนหันหลังเดินจากไปพร้อมกับเปล่งเสียงทิ้งท้ายออกมา

“ถ้าเจ้าซึบซับมันได้ครบ10ส่วน ขาข้างหนึ่งของท่านก็คงก้าวเข้าสู่ดินแดนองครักษ์แล้วละนะ” สิ้นเสียงนั้น ร่างของหนิงเทียนหายไปจากสายตาของมู่เสวี่ยโดยทันที

เวลานี้มู่เสวี่ยยืนยิ้มอย่างข่มขื่นเมื่อคิดถึงท่าทีเสียมารยาทของตัวนางเองในคราวแรกที่ได้พบเจอกัน

จากนั้นนางมองไปยังโอสถสองชนิดในมือ ภายในใจนั้นเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นในตัวของหนิงเทียนอย่างที่สุด

“ท่านพ่อนี้คงเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของลูกที่ได้กราบเขาเป็นอาจารย์และเมื่อลูกมีความแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว

ลูกจะทวงถามความยุติธรรมให้แก่ท่านอย่างแน่นอน ท่านพ่อโปรดให้กำลังใจลูกอยู่บนสวรรค์ด้วย” นางพึมพำกับตัวออก ขณะที่สายตาทั้งคู่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำที่ส่องสว่างจากประกายแสงของดวงดาว

ภายในห้องนอนของหนิงเทียน มันนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ร่างกายของมันไม่ได้ไหวติงใดๆแม้แต่น้อย หินลมปราณระดับสูงที่ถูกใช้แล้วนับสิบๆก้อนวางเรียงรายอยู่เบื้องหน้า หนิงเทียนกำลังซึบซับพลังของมันก้อนแล้วก้อนเล่าอย่างบ้าคลั่ง

“อีกเพียงนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น ตะวันดวงสุดท้ายของข้าจะถูกเติมเต็ม ไอ้งูสารเลวเมื่อข้าได้พลังคืนมาทั้งหมด ไม่ข้าม้วยเจ้าก็ต้องพินาศ” หนิงเทียนกำมือของมันแน่นอย่างลืมตัว

จากนั้นมันเปล่งเสียงออกภายในจิตใจส่งเสียงเรียกออก “ซานซัน ออกมาพบข้า”

เพียงไม่นานนักเสียงทุ้มต่ำดังตอบอยู่ภายในจิตวิญญาณของหนิงเทียน “นายท่านเรียกหาข้า มีเรื่องอันใด”

“การรักษาอาการของอู๋ชางคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” หนิงเทียนกล่าวถามออกอย่างเป็นห่วง นับจากวันที่พวกมันหนีตายจากอสรพิษฟ้าครามที่หุบเขาหมื่นอสูรก็เป็นเวลาร่วมเดือนแล้ว การไม่มีคนคอยกวนใจ ทำให้มันรู้สึกเหงาอยู่ภายในไม่น้อย

“นายท่าน ข้ารักษาจิตวิญญาณของเฒ่าอู๋ได้ถึง8ใน10ส่วนแล้ว คาดว่าไม่เกินครึ่งเดือน มันจะต้องออกมาป่วนนายท่านได้เช่นเดิมแน่นอน แต่ว่าข้ามีเรื่องที่อยากจะกล่าวเตือนนายท่านสักหน่อย”

ซานซันเอ่ยผ่านจิตวิญญาณด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ ไม่บ่อยนักที่มันจะกล่าวอันใดออกมานอกเหนือคำถามของหนิงเทียน

ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของหนิงเทียนหรี่ลงพร้อมส่งเสียงออกภายใน “พูดออกมา”

“ข้าขอเตือนนายท่าน อย่าได้คิดแก้แค้นอสรพิษฟ้าครามเด็ดขาด เวลานี้ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ถึงแม้ท่านจะสำเร็จภาพตะวันแปดดาราก็ตาม อสูรปีศาจไม่ใช่ตัวตนที่ท่านจะไปแตะต้องมันได้”

ซานซันกล่าวเตือนออกมา การที่มันล่วงรู้ถึงความคิดของหนิงเทียนก็เพราะเกิดจากการที่ทั้งสามได้ทำสัญญาจิตวิญญาณร่วมกัน

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ถ้าหากไร้ซึ่งความมั่นใจข้าเองก็ไม่โง่ที่จะรีบวิ่งเข้าหาความตาย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม

ข้านั้นเชื่อมาตลอดว่า มดล้านตัวก็สามารถล้มช้างตัวใหญ่ได้ พลังนั้นสำคัญแต่สิ่งที่คนในโลกของเจ้าขาดไปคือสิ่งนี้”กล่าวจบหนิงเทียนยกนิ้วชี้ของมันเคาะออกไปที่หัวของตัวเองสองถึงสามครั้ง

"โลกของเจ้า?" แม้ซานซันจะงุนงงกับคำพูดของหนิงเทียนอยู่ไม่น้อย แต่มันก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดต่อไปอีก.....

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด