ตอนที่แล้วบทที่ 70 ปรุงโอสถ2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 72 ตลาดมืด

บทที่ 71 สาบานต่อฟ้า..ไม่พอ


กำลังโหลดไฟล์

หนิงเทียนเพียงแต่แย้มยิ้มให้แก่พวกมันทั้งคู่และไม่ได้กล่าวคำใดออกเพียง มันตั้งสมาธิอย่างมั่นคงไปยังเปลวไฟที่ยังไม่ได้มอดลงในเตาปรุงโอสถ

ทุกขั้นตอนที่มันได้แสดงออกนั้นทดแทนคำพูดของมันไปหมดแล้ว แม้แต่จ้าวโอสถปฐพีก็ไม่มีความสามารถเช่นมัน ความเข้มข้น8ใน10ส่วนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดถ้าเทียบกับผู้ปรุงโอสถระดับจ้าวโอสถ

แต่นั้นหมายถึงพวกมันใช้ลมปราณออกในการควบแน่นโอสถ แต่ถ้าพวกมันไม่สามารถใช้ออกได้เหมือนเช่นหนิงเทียนแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงความเข้มข้น

แค่เพียงโอกาสสำเร็จในการใช้สองมือเปล่าควบแน่นโอสถ สำหรับจ้าวโอสถแล้วยังสร้าง10สำเร็จเพียง1เท่านั้น

จินเจียงหยาเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน มันนั้นเป็นถึงผู้ปรุงโอสถที่เก่งที่สุดในเมืองฉางผิงแต่เวลานี้มันกล่าวออกด้วยเสียงติดขัด “น้อง..น้องชายท่านอยู่ในระดับเทพโอสถใช่หรือไม่”

หนิงเทียนระบายลมหายใจออกพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “โอสถของท่านสำเร็จแล้ว แต่ธุระของข้ายังไม่สำเร็จ อย่าพึ่งส่งเสียงทำลายสมาธิของข้า” กล่าวจบหนิงเทียนวาดมือเรียกดักแด้อัคคีออกมาจากแหวนมิติ

พร้อมทั้งสั่งในเสี่ยวซวงโยนหิมะสามฤดูลงไปจนหมดถุง ไอความเย็นจากหิมะสามฤดูนั้นแม้แต่ ผู้ฝึกตนในระดับวีรชนอย่างจินเหยาจางและจั่วจิงหนานยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความหนาว

เมื่อความหนาวเย็นเข้าปกคลุมเตาปรุงโอสถ ไฟที่โหมกระหน่ำค่อยๆลดความเกรี้ยวกราดลง จากนั้นหนิงเทียนวาดมือส่งตัวดักแด้อัคคีเข้าไปภายในเตาปรุงโอสถ

เวลาผ่านไป30ลมหายใจเข้าออก เปลวไฟที่เคยรุกท่วมเตาปรุงโอสถอยู่นั้นๆค่อยดับลงจนสนิท

ปรากฎให้เห็นดักแด้อัคคีที่เวลานี้สีของมันเปลี่ยนแปลงไป มันมีสีแดงเข้มดุจเปลวเพลิงและขนาดตัวของมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง2เท่า จากนั้นหนิงเทียนวาดมือออกเก็บมันใส่กล่องหยกพร้อมยัดลงในแหวนมิติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จินเจียงหยา มองไปที่ดักแด้อัคคีที่ถูกหนิงเทียนเก็บลงแหวนมิติ ด้วยด้วยใบหน้าตกตะลึง มันพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักออกมา “ดักแด้อัคคีพิโรธ มันพัฒนาร่างไปเป็นพิษระดับเซียนโอสถปฐพี เป็นไปได้อย่างไร??”

จั่วจิงหนาน “........” เวลานี้มันยืนนิ่งราวคนใบ้

หนิงเทียนได้ส่งยิ้มจางๆออกมา พร้อมระบายลมหายใจด้วยความเหนื่อยล้า “เสร็จเสียที”

เมื่อเห็นการปรุงโอสถของหนิงเทียน พวกมันทั้งสามไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาแม้แต่น้อย แต่สายตาของพวกมันนั้นสามารถบอกได้เลยว่าพวกมันยินยอมและยกย่อง หนิงเทียนจากก้นบึ้งของหัวใจ

หนิงเทียนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่พักหนึ่งก่อนจะตวัดมือครึ่งหนึ่งลำแสงสีแดงพุ่งตรงไปยังจินเหล่าต้า

ขณะที่จินเหล่าต้ามองไปยังแสงสีแดงปรากฏเป็นโอสถเลือดกระเรียนมันรีบคว้าไว้ในมืออย่างแน่นราวกับจะไม่ให้โอสถที่ช่วยมารดามันหลุดหายไปได้

มันกล่าวออกด้วยเสียงตื้นตัน “ขอบคุณพี่ชายหนิงเทียน บุญคุณครั้งนี้ข้าต้องทดแทนอย่างแน่นอน”

หนิงเทียนยิ้มออก พร้อมกล่าวต่อ “ความสามารถของเจ้าทดแทนมันได้อย่างแน่นอน”

จากนั้นหนิงเทียนตวัดมือครั้งที่สองส่งโอสถเลือดกระเรียนพุ่งตรงไปยังจั่วจิงหนาน มันรีบรับอย่างโดยเร็ว เมื่อจั่วจิงหนานคลายมือออกเผยให้เห็นโอสถสีแดงเลือด

ดวงตาของมันเป็นประกายน้ำใสๆอย่างไม่รู้ตัว “รอดแล้ว *เฟิ่งหวง(หงสา) ลูกสามารถฝึกลมปราณได้แล้ว” มันพึมพำกับเด็กน้อยที่ไม่รู้ความข้างๆก่อนจะคุกเข่าลงสองข้าง และกล่าวออกมา

“ข้าจั่วจิงหนาน แม้จะละชื่อทิ้งแซ่ไปแล้ว แต่วันนี้ข้าขอใช้มันสาบานกับฟ้า ให้ฟ้าเป็นพยานข้าจะจงรักภักดีต่อนายท่าน”

“ดี ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า ข้าให้สัญญาเมื่อสิ้นเวลา1ปีเจ้าจะเป็นอิสระ”หนิงเทียนกล่าวออกพร้อมหันไปมองเด็กน้อยด้านข้าง

“เป็นชื่อที่ดี เฟิ่งหวง นับตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ซื่อจิ้งของข้า”หนิงเทียนคุกเข่าลงให้อยู่ระดับเดียวกับเฟิ่งหวงโดยที่มือทั้งสองข้างของมันจับไปยังไหล่ทั้งสองของเฟิ่งหวงอย่างอ่อนโยน

มันใช้เวลาชั่วพริบตาที่ไม่มีคนจับจ้องนำโอสถสีเขียวเหลวป้ายไปยังจุดไป๋ฮุ่ย(กลางศีรษะ)ของเฟิ่งหวงอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าและท่าทีเป็นปกติราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

การกระทำของหนิงเทียนที่ใช้เด็กเป็นตัวประกันนั้น นับว่าเป็นเรื่องอำมหิตแก่ผู้ที่ได้เห็นอย่างมาก มันจึงต้องกระทำอย่างรวดเร็วและไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้เด็ดขาด

แม้ว่าตัวของจั่วจิงหนานจะมองภายนอกเป็นบุคคลที่ยึดถือน้ำใจ แต่ใครละจะบอกได้ถึงก้นบึ้งของจิตใจมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

เวลานี้พลังของมันมีไม่พอที่จะใช้ในการควบคุมคน ตัวประกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและสิ่งที่หนิงเทียนไว้ใจที่สุดคือตัวของมันเท่านั้น

ตราบใดที่จั่วจิงหนานทำงานให้มันด้วยความสัตย์ละก็ น้ำพิษที่มันฝากไว้กับเด็กน้อยเฟิ่งหวงจะแปรเปลี่ยนโอสถทิพย์แน่นอน

“เรื่องที่ควรทำข้าก็ได้ทำไปหมดแล้ว ข้าคงต้องขอลากลับก่อน” ขณะที่หนิงเทียนกำลังเดินจากไปพร้อมกับคนของมันนั้น จินเหล่าต้าได้กล่าวออกแก่บิดาของมัน

“ท่านพ่อถ้าท่านแม่กลับมาเมื่อไร ให้คนไปตามข้าได้ที่ตระกูลซือหม่า ข้าจะไปเป็นแขกของที่นั้นสักพักหนึ่ง ท่านไม่ต้องห่วง” กล่าวจบมันรีบวิ่งตามหนิงเทียนไป

....

......

เป็นเวลาเที่ยงวัน แม้แดดจะยามที่อาทิตย์ขึ้นกลางศีรษะจะร้อนแรงเพียงใด แต่ผู้คนทั่วเมืองฉางผิงยังคงจับจ่ายซื้อของกันอย่างเนื่องแน่น ใจกลางยานการค้าของเมืองฉางผิง

บัดนี้ปรากฏกลุ่มคนหาคนกำลังเดินเลือกซื้อของกันอย่างสบายใจ

“พี่ชายหนิงท่านกำลังมองหาอะไรอยู่”จินเหล่าต้าเอ่ยถามไปยังหนิงเทียนที่กำลังเดินมองซ้ายแลขวาอยู่ “ข้ากำลังหาเมล็ดข้าว และพืชพันธุ์ต่างๆไปทำการเกษตรในคฤหาสน์ซือหม่า”

“เอ๋...ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่นา แค่ข้าวสารอาหารมันไม่ได้มีราคามากมายอันใด พวกเราออกมากินกันข้างนอกไม่เห็นเป็นไร จะไปปลูกให้ลำบากทำไมกัน?” จินเหล่าต้ากล่าวถามอย่างสงสัย

“ไม่เพียงแต่ข้าต้องการเมล็ดพันธุ์พวกนั้นข้ายังต้องการกว้านซื้อข้าวป่าทุกชนิดในเมืองฉางผิงทั้งหมด”

“ข้ายังคงไม่เข้าใจในความคิดของพี่ชายอยู่ดี ท่านช่วยอธิบายให้ข้าได้ฟังได้หรือไม่?”จินเหล่าต้ายิ้มแห้งๆพร้อมกล่าวออก เวลานี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิงเทียนมันรู้สึกละอายที่มีฉายาว่าต้าจือฝู *สรรพปัญญา

หนิงเทียนยังคงเดินต่อโดยไม่ได้หันมามองจินเหล่าต้าแต่อย่างใด มันยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้วพร้อมกล่าวออก“สองประการ หนึ่งในอนาคตมันจะมีค่ามากกว่าทอง ส่วนข้อที่สอง ข้าต้องการใช้มันเลี้ยงคนจำนวนแสนคน”

“แสนคน!! ท่านต้องการ คนมากขนาดนั้นไปเพื่ออะไร?” เป็นเสียงของจิงหนานที่แทรกออกมาด้วยความตกใจ

“เมื่อเจ้าติดตามข้า ในอนาคตเจ้าจะรู้ด้วยตัวเอง”หนิงเทียนตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบจากนั้นมันกล่าวต่อแก่จินเหล่าต้า “เมื่อพวกเราซื้อเมล็ดพันธุ์พวกนี้ทั้งหมดแล้วสถานที่ต่อไปคงต้องให้เจ้านำทาง”

“ท่านต้องการไปที่ไหนต่อ?”จินเหล่าต้าเอ่ยถามออกมา

“ข้าต้องการซื้อทาสได้มากเท่าไรยิ่งดี”

“พี่ชายหนิงเรื่องนี่ ท่านถามได้ถูกคนแล้ว เส้นทางข้างหน้าเรานั้น มีตลาดมืดสำหรับค้าทาสอยู่ เมื่อพวกเราเลือกซื้อของกันเสร็จแล้ว ข้าจะพาพี่ชายหนิงไปเอง”จินเหล่าต้ากล่าวตอบอย่างภูมิใจ มือของมันตบไปที่อกอย่างหนักแน่น

ขณะที่กลุ่มของหนิงเทียนยังคงเดินบนถนนสายหลัก มันนั้นได้กว้านซื้อเมล็ดข้าวทุกชนิดที่ผ่านตาของพวกมันจนไม่เหลือแม้แต่เมล็ดเดียว ท่ามกลางเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังตะโกนขายของกันอย่างเสียงดัง

ทันใดนั้นปรากฏเสียงร้องปนกับเสียงย้ำเท้าของสัตว์อสูรขึ้น

ฮี่ๆๆๆ กุบกับ!!กุบกับ เมื่อมองไปยังเส้นทางของเสียง ปรากฏม้าเหงื่อโลหิตอสูรลมปราณขั้นที่1กำลังลากเกวียนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา พุ่งตรงเข้ามายังกลุ่มของหนิงเทียน

“หลีทาง!!! ไปให้พ้นเดียวนี้ อย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน ไปให้พ้น!!” เสียงดังมาจากร่างของทหารในชุดคลุมยาวที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้า มันกำลงควบม้าอย่างเต็มกำลัง โดยไม่สนใจพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังขายของอยู่เลยแม้แต่น้อย

เมื่อม้าเหงื่อโลหิตวิ่งผ่าน ฝูงคนที่กำลังเดินเลือกซื้อกันอย่างเนื่องแน่น พวกมันต่างวิ่งกระจัดกระจายหลีกทางให้แก่ม้าเหงื่อโลหิต สร้างความโกลาหนแก่ผู้คนอยู่ไม่น้อย

หนิงเทียนที่กำลังเดินอยู่กลางถนนที่ทอดยาวนั้นมันมองไปยังอสูรลมปราณขั้นที่1 ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหมายจะเหยียบทุกชีวิตที่ขวางทาง

แม้ว่าทหารในชุดเกราะจะเห็นหนิงเทียนที่ยืนขวางอยู่นั้น มันก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย

“เหยียบมันซะ!!” เสียงกล่าวที่ดังออกมาจากในขบวนทำให้ทหารผู้นั้นเร่งความเร็วมากขึ้นไปอีก

หนิงเทียนที่ใช้สองมือไขว้อยู่ด้านหลังนั้นมองไปยังม้าเหงื่อโลหิตด้วยสายตาเล็กแหลม เพียงชั่วครู่ร่างของจั่วจิงหนาน ทะยานออกมาอยู่คั่นกลางระหว่างม้าเหงื่อโลหิตและหนิงเทียน

มันใช้สามนิ้วทะลวงออกด้วยทักษะ “ดรรชนีเลือดพยัคฆ์” เมื่อใช้ออกแล้วนิ้วที่เหี่ยวย่นแปรเปลี่ยวเป็นแข็งกร้าวราวกับนิ้วของสัตว์ร้าย มันทะลวงเจาะไปยังกะโหลกศีรษะของม้าเหงือโลหิตอย่างง่ายดาย

“ไม่เลว!! ทักษะระดับปราชญ์ขั้นกลางแถมยังฝึกถึงขั้นหลอมรวม”หนิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม

ขณะที่นิ้วทั้งสามเจาะไปยังกะโหลกของมัน ดวงตาที่เคยมีประกายชีวิตของม้าเหงื่อโลหิตดำมืดลง พร้อมกับล้มลง ปรากฏร่างสองร่างทะยานออกมาจากขบวน

โครม!!! เสียงของม้าล้มกระแทกลงกับพื้นส่งให้ขบวนที่มันกำลังลากอยู่คว่ำลงไปในทันที

เงาร่างทั้งสองทะยานมาหยุดยืนอยู่บนพื้น พร้อมคำรามออกเสียงดัง“บัดซบ!!! เป็นเจ้าอีกแล้วเจ้าเด็กสารเลวคราวนี้บังอาจสังหารอาชาเหงื่อโลหิตของตระกูลฉางเรา

วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด”ใบหน้าของฉางอวี้บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

“เห๊อะ เสียทีที่เป็นบุตรชายของเจ้าเมือง เจ้าไม่รู้หรือไงว่าที่นี่มันเป็นย่านการค้า ห้ามควบขี่สัตว์อสูรในถนนสายนี้” จินเหล่าต้ากล่าวออกมาด้วยสีหน้ารังเกียจ

“ทุกแห่งในเมืองฉางผิงเป็นของบิดาข้าทั้งหมด แม้แต่ถนนเส้นนี้ก็เช่นกัน”ฉางอวี้กล่าวด้วยความถือดี

หานเจิงที่ยืนอยู่ด้านข้างของฉางอวี้กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ข้านั้นเป็นผู้ใหญ่จึงทนไม่ถือสาเด็กอย่างพวกเจ้าถึง2หน แต่เรื่องในคราวนี้พวกเจ้ากล้าสังหารอาชาของตระกูลฉาง เจ้าเตรียมใจรับความพิโรธของตระกูลผู้ครองเมืองนี้ได้เลย”

ในสองครั้งก่อน มันยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้หานเจิงลงมือสังหารหนิงเทียนได้ แต่ในเวลานี้การที่กลุ่มของหนิงเทียนได้ลงมือสังหารอาชาเหงื่อโลหิต นั้นคือข้ออ้างที่ดีที่สุด

คิดได้เช่นนั้นหานเจิงโคจรพลังปราณทั่วร่างกาย ปราณสีเขียวคล้ายของเหลว ฉาบทั่วไปทั้งฝ่ามือทั้งสองข้าง มันเดินค่อยๆก้าวเดินออกมาเบื้องหน้าทีละก้าว

จั่วจิงหนานมองไปยังนักพรตชุดแดง พร้อมกล่าวออกด้วยเสียงเงียบสงบ “ข้านึกว่าใคร? ที่แท้ก็ปรมาจารย์โอสถหานเจิงนี่เอง”

“เมื่อรู้จักข้าแล้วยังไม่หลีกทาง? หรือว่าขอทานอย่างเจ้าคิดจะปกป้องมันด้วยชีวิต ดีดีข้าจะช่วยส่งเสริม” หานเจิงมองไปยังจิงหนานด้วยสายตาดูถูก

ขอทานเช่นนี่กล้าที่หยุดยืนเบื้องหน้าของมัน ไม่รู้จักที่ตาย!! ในขณะที่มันกำลังทะยานร่างออกไปนั้น เสียงอันเงียบสงบของจิงหนานแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่เยือกเย็น

“ข้านั้นแสวงหาที่ตายมานับไม่ถ้วน ถ้าเจ้ารู้จักมันดีช่วยแนะนำข้าได้หรือไม่?” กล่าวจบมันพุ่งร่างออกกลายเป็นประกายแสงสีแดงที่พุ่งตรงไปยังร่างของหานเจิง เสียงที่แหวกอากาศดังออกมาอย่างน่ากลัว

ปัง!!! หมัดพยัคตฆ์โลหิตของจั่วจิงหนาน บดขยี้ไปยังหน้าอกของหานเจิงจนยุบเป็นรอยกำปั่น

แต่ด้วยพลังปราณระดับวีรชนที่คุ้มกายมันอยู่รวมถึงพลังที่จิงหนานใช้ออกเพียง5ใน10ส่วน ส่งผลให้หานเจิงยังคงเหลือลมหายใจของชีวิตอยู่

แต่ด้วยแรงหมัดของจิงหนานที่ปล่อยออกไปนั้นทำให้ร่างของมันกระเด็นออกไปกองอยู่กับพื้น

หานเจิงพยามยันกายออกมาด้วยความยากลำบาก ดวงตาของมันเบิกกว้าง ขณะที่มันกำลังพูดคำใดละอองเลือดจากปากของมันกระจายออกมาตามอากาศ “พพ..พยัคฆ์แดง จั่วจิงหนาน”

ดวงตาของฉางอวี้นั้นเบิกค้างเมื่อมองไปยังร่างของอาจารย์ของมันที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น ขาทั้งสองสั่นออกด้วยความหวาดกลัว

“นายท่าน ให้ข้าทำอย่างไรกับพวกมัน”น้ำเสียงของจิงหนานกลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม

“ส่งมันไปพบกับอาชาของมัน” หนิงเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา มันไม่แยแสใดๆในการสั่งสังหารปรมาจารย์โอสถเลยแม้แต่น้อย

ขณะที่จั่วจิงหนานกำลังจะลงฝ่ามือสุดท้ายส่งวิญญาณของหานเจิงไปนั้น สุ้มเสียงที่เย็นลึก ดังออกมาชะลอความเร็วของจิงหนานลง “พยัคฆ์แดง เจ้ากล้าสังหารคนของสำนัก ร้อยพิษ?”

สิ้นเสียงนั้น บุรุษในชุดสีแดง ใบหน้าคมคลายเกลี้ยงเกลา คิ้วของมันยาวจนเกือบจะชนกันทั้งสองข้างทำให้ดูคล้ายกับอสรพิษร่างยาวที่พาดผ่านหน้าผากของมัน ก็ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าร่างที่นอนราบกับพื้นของหานเจิง

หนิงเทียนหรี่ตาแคบเมื่อมองไปยังบุรุษผู้มาเยือน ในขณะที่หานเจิงกล่าวออกอย่างยากลำบาก “อาจารย์อา…”

จั่วจิงหนานไม่ได้สนใจคำกล่าวใดของบุรุษในชุดแดงเลยแม้แต่น้อย “เจ้าไม่ใช่นายของข้า ไม่มีสิทธิ์สั่งให้ข้าหยุด” หมัดพยัตฆ์โลหิตของมันยังพุ่งตรงไปยังร่างของหานเจิงเช่นเดิม....

“แม้จะแต่งกายคล้ายขอทาน แต่ใจของท่านยังร้อนไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”บุรุษในชุดแดงกล่าวออกเหมือนว่าพวกมันเคยรู้จักกันมาก่อน จากนั้นมันฝาดฝ่ามือที่ฉาบไปด้วยของปราณสีเขียวไปยังหมัดของจิงหนาน

กระบวนท่านี้นั้นเหมือนกันของหานเจิงไม่มีผิดเพี้ยน แต่ที่จะแตกต่างกันคือพลังกดดันที่แผ่ออกมานั้น มันสูงกว่ากันนับสิบเท่า

ปัง!!! พลังสีแดงและสีเขียวเข้าปะทะกันเสียงดังสนั่น ใช้เวลาไม่นานนักพวกมันหักล้างจนสลายหายไปกับอากาศ

มุมปากของบุรุษชุดแดงกระตุกเล็กน้อย การปะทะครั้งนี้ผิดกับที่มันคาดการณ์ไว้อยู่บ้าง

“น่าแปลกใจจริงๆ ท่านที่ต้องหลบหนีศัตรูนับร้อยและไม่ได้บ่มเพาะพลังอยู่ตลอดเวลากลับก้าวหน้านำข้าอยู่ครึ่งขั้น พรสวรรค์ของอดีตผู้นำ3อสูรทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”

“ซีฉิน เจ้ายังคงใช้วาจาอ่อนหวานแต่อาบยาพิษอยู่ไม่เปลี่ยน”เสียงอันราบเรียบของจั่วจิงหนานดังขึ้น และด้วยการเรียกออกของมันไปยังบุรุษชุดแดงนั้น

ทำให้จินเหล่าต้าโพร่งออกมาเสียงดัง “ซีฉิน!! หรือว่าเป็นหัตถ์พิษ ซีฉินรองประมุขสำนักร้อยพิษแห่งเมืองไห่หนาน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด