ตอนที่แล้วบทที่ 557 ไอ้เด็กพวกนี้!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 559 ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่(ตอนฟรี)

บทที่ 558 ชวนไปเปิดห้อง?(ตอนฟรี)


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 558 ชวนไปเปิดห้อง?

“พี่สามคะ พี่สาม!”

เมื่อเห็นจี้เฟิงเดินกลับมา จี้เสี่ยวหยูก็ร้องออกมาด้วยท่าทางกระวนกระวาย เธอก้มหน้างุดราวกับเป็นเด็กที่ทำความผิด ท่าทางของเธอทำให้จี้เฟิงอยากจะโกรธก็โกรธไม่ลง

“เธอ...”

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม “เสี่ยวหยู ปกติแล้วสองคนนั้นมักจะมารบกวนเธอใช่มั้ย?”

“อื้ม!” จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าเล็กน้อย “แต่หนู หนูไม่สนใจพวกเขา!”

จี้เฟิงหัวเราะเบาๆและพยักหน้า “โอเคๆ พี่เชื่อในตัวเธอ แต่เสี่ยวหยู ฟังพี่นะ เมื่อเธอเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เธอต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธหรือต่อต้าน อย่างน้อยเธอก็ต้องแสดงอำนาจและสิทธิของเธอในการปฏิเสธพวกเขา! และถ้าพวกเขายังพัวพันตามตื๊อไม่เลิก ก็ให้ฟ้องพ่อไปเลย เขาจะจัดการแก้ปัญหาให้เธอเอง!”

“ค่ะ!” จี้เสี่ยวหยูตอบ

จี้เฟิงรู้สึกหมดหนทาง เขาพบว่าจี้เสี่ยวหยูและหลี่หยานตงพี่สาวของเขามีนิสัยอ่อนแอเหมือนกัน หลี่หยานตงอ่อนแอเพราะปกติแล้วเธอมีชีวิตที่ยากลำบาก ส่วนจี้เสี่ยวหยูอ่อนแอเพราะอาสามเข้มงวดจนเกินไป บวกกับเธอไม่ชอบการมีปัญหากับใคร ดังนั้นเมื่อเจอคนอื่นมารังแก เธอจึงเลือกวิธีหลบหน้าไปก่อน โดยไม่เคยคิดที่จะตอบโต้

นอกจากเสียว่าเธอจะถูกบีบบังคับจนถึงขีดสุดที่ทนไม่ได้อีกต่อไป!

“เสี่ยวหยู เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้ามีใครมาตามตื๊อเธออีก เธอก็บอกไปตรงๆเลยว่าเธอเป็นคุณหนูของตระกูลจี้ ถ้าอีกฝ่ายยังคิดที่จะอยู่ในหยานจิงอีก ก็ให้ไสหัวไปซะ!” จี้เฟิงกล่าว

จี้เสี่ยวหยูได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะทันที “โอเคค่ะพี่สาม เสี่ยวหยูเข้าใจแล้ว!”

แต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอมองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก ไม่ได้จริงจังเลยสักนิด

จี้เฟิงก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ พี่สาวเสี่ยวอิงมาแล้ว พวกเราไปลงทะเบียนทำบัตรผ่านกันเถอะ!”

“ค่ะ..” จี้เสี่ยวหยูเองก็มองออกว่าจี้เฟิงไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของเธอนัก เธอจึงได้แต่บุ้ยปากน้อยๆและเดินตามจี้เฟิงไป..

เมื่อจี้เฟิงกลับมาถึงบ้าน เขาก็พบว่าแม่ของเขากำลังคุยกับอาสะใภ้สามอยู่ ไม่รู้ว่าพวกเธอสองคนกำลังคุยกันเรื่องอะไร บางครั้งก็หัวเราะอย่างมีความสุข

“เสี่ยวเฟิงกลับมาแล้ว!” เมื่อเห็นจี้เฟิง อาสะใภ้สามเหลียงหงตันก็ยิ้มและทักทายเขาทันที

จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า “อาสะใภ้ ผมไม่ได้กลับมาคนเดียวนะ ผมพาเสี่ยวหยูมาด้วย... อ้ออาสะใภ้สาม ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง...”

“อ๊าาา—!”

ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ จี้เสี่ยวหยูก็ขัดจังหวะ “พี่สาม!”

จี้เฟิงอมยิ้มและพยักหน้า “โอเคๆ ฉันไม่พูด ไม่พูด!”

เหลียงหงตันฟังดูก็รู้ว่าจะต้องมีอะไรบางอย่าง เธอยิ้มและพูดว่า “อะไรกันสองพี่น้องคู่นี้ ไปก่อปัญหาอะไรกันมาอีกแน่ๆเลย!”

Rrrrr~!

ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้น เขามองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ พอเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามาเขาก็ยิ้ม “แม่ครับ อาสะใภ้สาม ผมขอไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ!”

จี้เฟิงเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รับสายทันที “ครับพี่กัว จัดการเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”

“จัดการเรียบร้อยแล้วครับ!”

เสียงของกัวจื่อเจี้ยนดังออกมาจากโทรศัพท์ และมีเสียงอื่นๆดังขึ้น ดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่บนรถ

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจี้เฟิง ในระหว่างที่เขาเปลี่ยนมาขึ้นรถของป้าหง เขาได้กำชับกับกัวจื่อเจี้ยนเกี่ยวกับเรื่องนี้ และตอนนี้ก็มีข่าวมา

“หัวหน้าน้อย ตามคำสั่งของคุณ ตอนที่ผมส่งคุณเหวินเว่ยซินกลับไป ก็ถือโอกาสนี้... เผลอทำลายกระเป๋าสะพายของเธอ และพบอุปกรณ์ดักฟังเล็กๆ...” เสียงของกัวจื่อเจี้ยนดังขึ้น น้ำเสียงของเขาดูจริงจังเล็กน้อย “เครื่องดักฟังนี้มีประสิทธิภาพสูง ระยะที่รับสัญญาณได้อย่างน้อยก็ 5 กิโลเมตร มันเป็นอุปกรณ์ระดับสูงที่ใช้ในกองทัพ!”

“มีกี่อัน?!” จี้เฟิงถามด้วยใบหน้าตึงเครียด

“ผมพบสองอันอยู่ในกระเป๋าและที่พื้นรองเท้าส้นสูงของคุณเหวินเว่ยซินอีกหนึ่งอัน ส่วนในเสื้อผ้าและเครื่องประดับอื่นๆที่คุณเหวินเว่ยซินสวมใส่ ผมไม่สะดวกในการค้นหา ดังนั้น...” กัวจื่อเจี้ยนพูดอย่างลังเล

จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “แค่สามอันนี้ก็น่ากลัวแล้ว! อ้อจริงสิ พี่กัวค้นหาในรถหรือยัง?”

“ผมค้นหมดแล้วครับ ใช้เครื่องตรวจจับตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบอะไรเลย!” กัวจื่อเจี้ยนกล่าว

จี้เฟิงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหวินเว่ยซินมากนัก... พวกเขาน่าจะมั่นใจในพิษงูสกัดที่พวกเขาวางยาเหวินเว่ยซินก่อนหน้านั้นมากเลยสินะ?”

กัวจื่อเจี้ยนไม่เข้าใจ จึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “พิษงูสกัดอะไรหรือครับ? แล้วหัวหน้าน้อยมีอะไรสั่งอีกหรือไม่ครับ?”

“ถ้าเป็นไปได้ ให้คอยจับตามองเหวินเว่ยซินไว้ก็ดีครับ และที่สำคัญกว่านั้น ข้างกายของเสี่ยวหยูไม่มียามคอยดูแลเลย แบบนี้ไม่ดีแน่ ถ้าเป็นไปได้พี่ชายลองถามป้าหงดูให้หน่อยได้มั้ยครับว่าพอจะย้ายคนมาช่วยดูแลเสี่ยวหยูได้มั้ย...”

“ได้ครับหัวหน้าน้อย ผมจะเอาคำพูดของคุณไปรายงานหัวหน้าหง!” กัวจื่อเจี้ยนกล่าว

จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า หลังจากวางสายใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที เขาถอนหายใจอยู่ในใจ “แม้ว่าเราจะยังไม่ควรกังวลกับองค์กรหวางฉาว แต่เราก็ควรระมัดระวังตัวให้ดี โชคดีที่พวกนั้นไม่ได้ติดตั้งเครื่องดักฟังในรถ ไม่อย่างนั้นหลายสิ่งหลายอย่างคงรู้ไปถึงหูของพวกนั้น!”

จี้เฟิงถึงกับพูดไม่ออก ความแข็งแกร่งของหวางฉาวนี้ช่างน่าตื่นตะลึงจริงๆ เครื่องดักฟังที่รับสัญญาณเสียงได้ภายในระยะ 5 กิโลเมตร ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ! มีอุปกรณ์ระดับนี้ได้นี่มันไม่ใช่เล่นๆแล้ว!

แล้วแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าองค์กรลับหวางฉาวได้แทรกซึมเข้าไปในกองทัพแล้วหรอกหรือ?

จี้เฟิงที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จากนั้นก็ส่ายหัวและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขามากังวลเรื่องหวางฉาวอีกแล้ว ตอนนี้ต้องสำนึกไว้เสมอว่าเขายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่เขาต้องมาคอยกังวล!

จี้เฟิงโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงและนั่งลง แต่ในใจของเขาก็ยังคงสลัดเรื่องนี้ทิ้งไม่ได้ ความแข็งแกร่งขององค์กรหลับหวางฉาว มันมีมากขนาดไหนกันแน่?

Rrrrr~! ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

จี้เฟิงไม่ได้ดูหน้าจอ เขารับสายทันที “ครับ?”

“เจ้าบ้า ฉันไปสืบเรื่องของไอ้เด็กเวรสองคนนั้นมาแล้วนะ... ให้ตายเถอะ! เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกขายหน้าชะมัด!” เสียงที่ไม่พอใจของจางเล่ยดังออกมาจากโทรศัพท์

จี้เฟิงตกใจ เขาไม่คิดว่าจะเป็นจางเล่ยที่โทรมา เขายิ้มและพูดว่า “เล่ยซือ ญาตินายนี่สุดจริงๆ คราวที่แล้วก็ถงอี้หยาง ครั้งนี้ยังถงอี้เจี้ยนอีก...”

จางเล่ยขบกรามแน่นและพูด “ถงอี้เจี้ยน ไอ้เด็กเวร รอฉันเจอหน้ามันเมื่อไหร่ ฉันหักขามันให้ได้เลยคอยดู ไอ้บ้านี่ทำให้ฉันเสียหน้า!”

“ช่างมันเถอะน่า ยังไงเขาก็ยังเด็กอยู่ แต่เอาจริงๆ ฉันว่าเด็กคนนี้ก็ไม่เลวเลยนะ...” จี้เฟิงพูดยิ้มๆ “แล้วซูหยางคนนั้นล่ะ นายรู้จักตระกูลของเขาใช่มั้ย? สิ่งที่พวกเขาควรทำในเวลานี้คือมุ่งความสนใจไปที่การเรียนของพวกเขา!”

“นายไม่ต้องห่วง ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง!” จางเล่ยแค่นเสียงและพูดอย่างไม่พอใจ “ฉันรู้สึกแย่ชะมัด นายอุตส่าห์ให้โอกาสทั้งที และถ้าฉันไม่จัดการให้เรียบร้อย ฉันคงไม่หายโมโหง่ายๆแน่!”

จางเล่ยไม่สามารถระงับความโกรธได้ง่ายๆ ไอ้เด็กเวรสองคนนั้นนี่ไม่มีอะไรดีๆให้ทำแล้วหรือยังไง คิดยังไงถึงได้ไปยุ่มย่ามกับจี้เสี่ยวหยู คุณหนูของตระกูลจี้? แถมยังตามไปถึงหน้าหมู่บ้านของคนอื่นอีก ถ้าพูดกันแบบง่ายๆ มันก็แค่เรื่องของเด็กวัยรุ่นซุกซนไม่รู้ความ แต่ถ้าพูดกันแบบซีเรียส เรื่องนี้จะกลายเป็นข้ออ้างสำหรับทั้งสองตระกูลที่จะเริ่มต้นสงคราม!

เรื่องแบบนี้มันเป็นได้ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่จริงๆ

แน่นอนว่าจางเล่ยไม่ได้กลัวจี้เฟิงจะโกรธ พวกเขาสองพี่น้องจะไม่มีวันเกิดความขัดแย้งขึ้นเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้แน่ แต่สิ่งที่ทำให้จางเล่ยโกรธจริงๆก็คือ คนที่ก่อเรื่องครั้งนี้เป็นถงอี้เจี้ยน เขาเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลถง ครั้งนี้เขาทำให้ตระกูลถงเสียหน้ามากจริงๆ

จากที่ฟังจี้เฟิงก็พอจะรู้ว่าจางเล่ยไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆอย่างแน่นอน อันที่จริงถ้าจี้เฟิงเป็นจางเล่ยในตอนนี้ เขาก็ต้องมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกันกับจางเล่ย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดห้ามหรือปลอบใจอะไร เขาแค่พูดคุยกันอีกไม่กี่คำก่อนจะวางสายไป

“ฟู่ว~!

ในความเป็นจริง ระหว่างจี้เฟิงกับองค์กรลับหวางฉาวไม่ได้มีความขัดแย้งกันซึ่งๆหน้าที่รุนแรงอะไรแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันทำให้จี้เฟิงระมัดระวังตัวกับองค์กรลับหวางฉาวนี้เป็นอย่างมาก ราวกับว่ามันเป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติ บางสิ่งบางอย่างมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เห็นการดัดแปลงร่างกายของคนในองค์กรหวางฉาวในครั้งแรก

“หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าการไม่ถูกชะตาและเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ?” จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม

ในตอนเย็น จี้เจิ้นหัวกลับมาจากที่ทำงานหลังจากที่ยุ่งหัวหมุนมาทั้งวัน แต่เขากลับรู้สึกอ่อนเพลียน้อยมาก เห็นได้ชัดว่ายิมนาสติกที่จี้เฟิงสอนเขา และใช้กระแสชีวภาพในการจัดระเบียบร่างกายส่งผลดีต่อร่างกายของจี้เจิ้นหัวมาก

“เสี่ยวเฟิง พ่อได้ข่าวมาว่าวันนี้เราไปเล่นสนุกที่รอยัลคลับมาเหรอ?” จี้เจิ้นหัวถามด้วยรอยยิ้ม

แต่จี้เฟิงกลับรู้สึกอับอายเล็กน้อย เรื่องที่เขาแกล้งเป็นคุณชายเสเพล เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถปิดบังพ่อของเขาได้

“เกี่ยวกับเรื่องของหวางฉาว ลูกอย่าได้ถามอะไรที่มันมากเกินไป แน่นอนว่าต้องมีคนคอยจับตาดูไว้อยู่แล้ว!” จี้เจิ้นหัวยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “พ่อเชื่อว่าปู่ของลูกน่าจะบอกอะไรไปบ้างแล้ว ดังนั้นพ่อจะไม่พูดอะไรอีก จำสิ่งที่ปู่ของลูกบอกไว้ให้ดีก็พอแล้ว!”

จี้เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “พ่อ ผมคิดว่าหวางฉาวนี่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพ..”

จี้เจิ้นหัวโบกมือขัดคำพูดของจี้เฟิง “อย่าพูดเหลวไหล เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ยังมีอีกมากที่ลูกไม่รู้ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องหวางฉาว จำไว้แค่นี้ก็พอ โอเคมั้ย?”

จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและเข้าใจในทันที นี่แสดงว่าเบื้องบนคงมีแผนการอะไรบางอย่างแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรอีก

“เสี่ยวเฟิง เรื่องโรงงานยาของลูก ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าร่วมมือกับคนอื่น แต่ถ้าเป็นเสี่ยวเหอ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเหอ พ่อเห็นด้วย เส้นสายทางธุรกิจของเขาถือว่าไม่เลว น่าจะขยายช่องทางได้มากมาย!” จี้เจิ้นหัวกำชับอีกประโยค

จี้เฟิงพยักหน้าพลางไตร่ตรอง เขาพอจะเข้าใจคร่าวๆว่า ที่พ่อบอกน่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้องค์กรหวางฉาวแทรกซึมเข้ามาได้ และตระกูลเหอที่เป็นศัตรูกับหวางฉาวน่าจะเป็นตัวเลือกที่มั่นใจได้มากที่สุด

จี้เฟิงเอนหลังพิงโซฟา และเคาะนิ้วลงบนต้นขาของเขาอย่างต่อเนื่อง แต่ในใจของเขายังคงรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย ถ้าแม้แต่เทคนิคพิเศษที่ง่ายที่สุดก็ยังต้องคอยระวังคนอื่นๆล่วงรู้ แล้วถ้าในอนาคต เกิดมีไอเดียดีๆหรือมีเทคนิคเจ๋งๆออกมาอีก มันก็ยังยิ่งมีความลับเพิ่มขึ้นมาอีก แบบนี้จะไม่ยิ่งป้องกันยากขึ้นไปเรื่อยๆเลยเหรอ?

เนื่องจากเป็นการทำธุรกิจ การร่วมมือกับคนเยอะแยะมากมายจึงทำให้ไม่สามารถปกป้องข้อมูลทุกอย่างได้เสมอไป และในเมื่อรู้ถึงปัญหาแล้ว ก็ควรคิดหาวิธีแก้ไขความกังวลของตัวเองก่อน !

ตื้ด—! ตื้ด—!

จี้เฟิงรู้สึกว่าโทรศัพท์ของเขาสั่น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาทันทีและพบว่าเป็นข้อความจากถงเล่ย

< “จี้เฟิง คืนนี้พอจะมีเวลาไหม?” >

ดวงตาของจี้เฟิงสว่างขึ้นทันที จู่ๆถงเล่ยส่งข้อความแบบนี้มา มันออกจะสองแง่สองง่ามไปหน่อยหรือเปล่า? หรือว่าเล่ยเล่ยต้องการจะชวนเขาไปเปิดห้อง?

…จบบทที่ 558~❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด