ตอนที่แล้วตอนที่74 จวิ๋นอี้หมดสติ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่76 จวิ๋นหลี่จิวบาดเจ็บสาหัส!

ตอนที่75 เปลี่ยนประมุขตระกูล


ตอนที่75 เปลี่ยนประมุขตระกูล

จวิ๋นปิงยกจอกสุราในมือขึ้นชูตอบรับอย่างสบายๆ ก่อนซดรวดภายในจอกเดียว

เหล่าสมาชิกภายในจวนตระกูลจวิ๋น ไม่ได้สอบถามถึงความเป็นมาว่า จวิ๋นปิงออกมาจากวังหลวงได้อย่างไร

พวกเขาเพียงแค่คิดว่า การกลับมาเช่นนี้โดยปลอดภัยได้นับเป็นเรื่องดียิ่งแล้ว!

ไม่จำเป็นต้องทราบถึงกระบวนการระหว่างนั้น

มีเพียงจวิ๋นโม่เทียนและจวิ๋นหลี่จิวเท่านั้นที่สนอกสนใจเรื่องราวความเป็นมานี้ มีหนึ่งคนที่เอาแต่ปิดปากเงียบ ส่วนอีกคนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนเลย

ในฐานะประมุขตระกูลจวิ๋น ชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของจวิ๋นปิงนั้นสูงส่งมาก ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่เคราพและชื่นชมจวิ๋นปิงอย่างสุดจะหาไม่ จนถึงขั้นศรัทธาจนคลั่งก็ยังมี!

แต่จุดนี้ต่างคนต่างไม่สามารถเผยแสดงทัศนคติเหล่านี้ออกมาได้มากนัก เพราะทุกคนรู้หน้าไม่รู้ใจ ควรรู้จักวางตัวในระดับหนึ่งเป็นดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม หลี่หวงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย เพราะนางไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้เสียเวลา

บุคลิกนิสัยของจวิ๋นปิงเหมือนกับชื่อของเขาตรงตัวเลย ปิงที่แปลว่าน้ำแข็ง โดยปกติเป็นคนเย็นชา พูดน้อย แต่ทำจริง!

เกรงว่าบนผืนพิภพแห่งนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่เคยมีโอกาสได้เห็นจวิ๋นปิงเผยรอยยิ้มอันอบอุ่น อย่างน้อยที่สุดหลี่หวงก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ในครั้งนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศ”

เมื่องานเลี้ยงดำเนินไปได้ครึ่งทาง จวิ๋นปิงก็ป่าวประกาศขึ้นเสียงเง

ทันใดนั้นบรรยากาศเฮฮาทั่วทั้งงานพลันเงียบสงัดลง ทุกสายตาจับจ้องไปที่จวิ๋นปิงโดยพร้อมเพรียง

ยอดฝีมือที่ถูกขนานนามว่า เทมพสงครามของพวกเขากำลังจะป่าวประกาศเรื่องสำคัญอันใด?

ทุกคนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ!

สีหน้าการแสดงออกของจวิ๋นปิงยังคงเรียบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ใด กวาดสายตามองไปหนึ่งรอบถ้วน เขากล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าขึ้นว่า

“หลังจากงานประลองจัดอันดับตระกูลสิ้นสุดลงแล้ว ข้าจะส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลต่อให้แก่โม่เทียน พวกเจ้าเองก็เตรียมตัวกันให้พร้อม”

เมื่อประโยคคำกล่าวนี้หลุดออกมา สีหน้าของทุกคนก็พลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!

บางคนเร่งหันควับจับจ้องไปที่หลี่หวง ทว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเขากลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นางยังคงรับประทานอาหารอย่างปกติสุขดี ราวกับว่าเรื่องประกาศนี้นางรู้อยู่ก่อนแล้ว

แม้กระทั่งสีหน้าแววตายังปราศจากการแปรเปลี่ยน ทุกอย่างล้วนปกติดี!

คนที่ดูตกใจกับเรื่องนี้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นลุงหกของหลี่หวง จวิ๋นโม่เทียน

เดิมทีเขาพยายามลดการมีอยู่ของตนให้เหลือน้อยที่สุด เพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้ใดทั้งปวง เดิมทีเขาไม่ชอบเข้าร่วมงานรื่นเริงอะไรเทือกนี้อยู่แล้ว แค่ต้องการนั่งขดอยู่ในห้องพลางชื่นชมทิวทัศน์ตามใจอิสรเสรีสุขเท่านั้น

ทว่าวันนี้กลับเป็นตัวพ่อของเขาที่สั่งคำขาดให้มา แต่ใครจะไปคิดว่าผู้เป็นพ่อจะป่าวประกาศยกตำแหน่งประมุขตระกูลให้ตนเองเช่นนี้?

นี่มันเรื่องใหญ่มาก!

พูดตามตรง กระทั่งจวิ๋นโม่เทียนยังรู้สึกสับสน!

จอกสุราในมือของเขาพลันหยุดชะงักจ่ออยู่ที่ปาก ก่อนจะโพล่งลุกขึ้นยืนพรวดพราด จับจ้องไปที่ผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด

เหตุใดกัน?

“ท่านประมุข นี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”

ผู้อาวุโสใหญ่ลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับไม้เท้าคู่ใจ เขาเอ่ยต่อด้วยสีหน้ากังวลว่า

“ประมุขตระกูลรุ่นก่อนคือโม่เซียว ดังนั้นผู้ที่มีคุณสมบัติรับสืบทอดตำแหน่งนี้ควรมีแต่ลูกที่สืบเชื้อสายตรงจากเขาเท่านั้น ในความเห็นของข้า ผู้ที่เหมาะสมขึ้นรับตำแหน่งประมุขตระกูลรุ่นต่อไปก็คือ คุณหนูใหญ่หลี่หวง!”

ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิด เพราะหากไล่ตามลำดับรุ่นกันจริงๆ จวิ๋นปิงคือประมุขตระกูลของสองรุ่นก่อนที่เข้ามารับตำแหน่งแทนประมุขตระกูลรุ่นก่อนอย่างโม่เซียวที่จากโลกนี้ไปแล้ว

กล่าวคือในปีนั้น บุตรชายคนที่สามของจวิ๋นปิงผู้ดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลจวิ๋นอย่างจวิ๋นโม่เซียวได้เสียชีวิตในสมรภูมิรบ ตามกฎตระกูล มังกรมิอาจไร้ซึ่งศีรษะได้เป็นอันขาด และหลี่หวงในขณะนั้นก็ยังเด็กเกินไปที่จะรับตำแหน่งต่อ จนแล้วจนรอด จวิ๋นปิงจึงต้องกลับมาขึ้นเป็นประมุขตระกูลอีกครั้ง

“หลี่หวง เจ้าคัดค้านหรือไม่?”

จวิ๋นปิงมิได้ตอบคำถามของผู้อาวุโสวใหญ่ แต่หันมาเอ่ยถามความคิดเห็นของหลี่หวงแทน

หลี่หวงชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง วางตะเกียบคู่นั้นในมือลงและเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบว่า

“ไม่”

“คุณหนูใหญ่!!”

ในชั่วขณะนั้น มีหลายต่อหลายคนรีบลุกขึ้นยืนเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก้นาง

ตราบใดที่จวิ๋นโม่เทียนได้ขึ้นครองบังเหียน นั่นเท่ากับว่าบรรดาลูกๆ ทั้งหมดของจวิ๋นโม่เทียนจะกลายมาเป็นทายาทสายตรงแทนทันที และหลังจากนั้น โอกาสเปลี่ยนตำแหน่งแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง

จวิ๋นหลี่หวงกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ลุกขึ้นยืนทีละคน แววตาของนางช่างเย็นชาไร้ความรู้สึก ประดุจว่า หากไม่ยอมนั่งและหุบปากเสียที นางจะไล่เชือดคอไก่ทีละตัว!

เมื่อบรรดาผู้คนเหล่านั้นได้เห็นสายตาอันน่าสยดสยองของคุณหนูใหญ่ที่สาดเข้าใส่ พวกเขาก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวูบอย่างอดมิได้ ความเดือดดาลภายในใจของพวกเขาค่อยๆ ดับลง

จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มนั่งลง

สาตาของคุณหนูใหญ่ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!

หลี่หวงหันไปมองจวิ๋นโม่เทียนและยิ้มกล่าวว่า

“ขอแสดงความยินดีด้วยกับลุงหก”

จวิ๋นโม่เทียนยังคงยืนงงไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่แบบนั้น เขาตกใจเล็กน้อยทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั่นของหลี่หวง

“หลี่หวง ไม่ใช่...”

จวิ๋นปิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คัดค้านใดๆ และเอ่ยเสียงเข้มขึ้นกลบว่า

“ข้าตัดสินใจแล้ว! ในเมื่อทายาทสายตรงไม่คัดค้าน ถือว่าผลเป็นเอกฉันท์!”

หลี่หวงพยักหน้าเสริมเพื่อแสดงให้เห็นว่า นางเห็นด้วยกับคำกล่าวประโยคนี้ของจวิ๋นปิง

บางคนที่อยู่โต๊ะเคียงข้างรู้สึกสับสนไม่ใช่น้อยเช่นกัน บ้างก็คล้อยตามคุณหนูใหญ่ ส่วนมีอีกบางกลุ่มที่มีความสุข...

ทว่าโดยรวมบรรยากาศภายในงานเลี้ยงค่อนข้างกร่อยลงมาก ราวกับทุกคนกำลังรู้สึกหดหู่กับเรื่องนี้

ทันใดนั้นหลี่หวงก็เอ่ยขึ้นคำหนึ่งว่า

“ก็แค่เปลี่ยนถ่ายรุ่นเท่านั้น หลายปีมานี้ท่านปู่เหนื่อยมามากแล้ว ท่านสมควรได้พักผ่อน”

แต่เริ่มเดิมที กลุ่มคนที่สนับสนุนหลี่หวงที่ยังคงมีอารมณ์เดือดดาล ยามนี้ถึงกับฟมดคำพูดไปโดยปริยายเช่นกัน ในเมื่อคุณหนูใหญ่พูดออกมาเองแบบนี้ แล้วพวกเขายังจะเอาอะไรอีกเล่า?

หลี่หวงทราบทันทีว่า จวิ๋นปิงกำลังคิดและวางแผนอะไรอยู่กันแน่ แม้ความฉลาดทางด้านอารมณ์ของนางจะมิได้สูงนัก แต่มันก็มิได้หมายความว่านางจะไม่รู้อะไรเลย!

หลังจากได้ทราบถึงจุดประสงค์ของจวิ๋นปิง หลี่หวงก็รู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย

สายตาของหลี่หวงหันไปจับจ้องจวิ๋นปิงด้วยความซาบซึ้ง

จวิ๋นโม่เทียนกับจวิ๋นหลี่จิว เคยเล่าให้ฟังในยามว่าง โดยคำกล่าวค่อนข้างคลุมเครือว่า ร่างกายของจวิ๋นปิงในตอนนี้ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

สิบปีก่อน เหตุผลที่จวิ๋นโม่เซียวยืนกรานจะเข้าสู่สมรภูมิรบให้ได้ เป็นเพราะจวิ๋นปิงป่วยหนักจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ แม้แต่เวลาคอแห้งหรือปวดปัสสาวะ ยังต้องเรียกคนให้มาประคองไป แล้วนับประสาอะไรกับการออกไปรบ?

สีหน้าของหลี่หวงพลันมืดขรึมลงเล็กน้อยเมื่อนึกมาถึงจุดนี้ ในตอนนั้นจะต้องป่วยหนักขนาดไหนกับถึงหมดสภาพไม่มีชิ้นดี? และนางก็ค่อนข้างมั่นใจด้วยว่า ปัญหาทางร่างกายของท่านปู่เองก็ใช่ว่าจะหายดีแล้ว เหตุผลที่ท่านปู่ต้องการสละตำแหน่งให้ลุงหก ก็เพื่อไม่อยากให้หลี่หวงขึ้นเป็นประมุขตระกูลในอนาคต

หากในภายภาคหน้าจักรวรรดิซีเหว่ยเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง แล้วตอนนั้นจวิ๋นปิงดันมาป่วยติดเตียงเอง มิใช่ว่าต้องให้หลี่หวงออกไปรบแทนอีกหรอกรึ? แค่จินตนาการก็ปวดใจแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองทำผิดพลาดซ้ำสองโดยเด็ดขาด!

ระหว่างทานอาหารจวิ๋นปิงลอบสายตามองหลี่หวงที่กำลังดื่มชาอยู่โต๊ะหนึ่ง จากแววตาอันแสนเย็นชาของเขาแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นความอบอุ่นในทันใด

เสี่ยวหลี่หวง เจ้าเข้าใจข้าจริงๆ ...

หลังจากร่ำสุรากันไปอีกสองถึงสามรอบใหญ่ บรรยากาศก็ค่อยๆ กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง เริ่มมีวาจาเปล่งดังออกมาจากปากของทุกคนทีละคำสองคำจนกลายเป็นบทสนทนาจ้าละหวั่น ราวกับบรรยายกาศอันเงียบฉี่ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น!

“อันที่จริงข้าก็คิดเช่นนั้น...”

ทันใดนั้นก็มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งไม่ทราบลำดับเปล่งเสียงกล่าวขึ้นมาด้วยความเมามาย

“นายท่านหกรับสืบทอดตำแหน่งประมุขเองก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน นายท่านหกมีระดับพลังบ่มเพาะที่สูงมาก อีกสามตระกูลที่เหลือไม่มีทางทำอะไรพวกเราได้แน่!”

“ใช่ ใช่ ใช่...”

บางคนตอบรับเห็นด้วยทันที

“แล้วก็...เอ๊อ!”

ผู้อาวุโสท่านนั้นเรอไปทีหนึ่งและกล่าวต่อว่า

“คุณหนูใหญ่กับองค์ชายเก้าหมั้นหมายกัน ในไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่หลิง เอ๊อ!...ถึงตอนนั้นตระกูลจวิ๋นกับตระกูลหลิงจะเป็นอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หากให้คุณหนูใหญ่ขึ้นเป็นประมุขกลับเป็นเรื่องยากที่จะจัดการ...”

ดูท่าแล้วผู้อาวุโสท่านนี้คงดื่มสุรามากเกินไป ทำให้เวลายิ่งพูดเท่าไหร่สุ้มเสียงของเขาก็ยิ่งดังขึ้น จนทุกคนภายในงานเลี้ยงล้วนได้ยินสิ่งที่เขาพูดไปทั้งหมด

และเกือบจะในทันที สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปโดยทันที!

บางคนที่อยู่อีกโต๊ะตะโกนข้ามกล่าวเสริมกับผู้อาวุโสท่านนั้นว่า

“สิ่งที่ท่านกล่าวคือ...แม้คุณหนูใหญ่จะเป็นทายาทสายตรง แต่สุดท้ายก็เป็นบุตรสาวที่ต้องแต่งออกเรือนในสักวัน ไม่ควรรับตำแหน่งประมุข?”

กลุ่มคนพวกนี้ถูกสถาปนาขึ้นมาทันที เพื่อให้การสนับสนุนจวิ๋นโม่เทียนโดยเฉพาะ!

เป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธ จริ๋นโม่เทียนมีระดับพลังบ่มเพาะที่สูงมาก ดังนั้นการที่เข้ารับตำแหน่งประมุขตระกูลจวิ๋นรุ่นต่อไปนับเป็นอะไรที่เหมาะสมยิ่งแล้วจริงๆ

แต่จวิ๋นโม่เทียนที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาพลันหมองคล้ำลงในบัดดล แต่เขากลับไม่สามารถพูดอะไรได้เลยในตอนนี้ ทว่าอย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้กลับไม่ดีเลยสักนิด! เขาค่อยๆ ลอบสายตาหันไปมองหลี่หวงด้วยความกังวลอย่างแช่มช้า แต่พอเห็นว่านางยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากนัก เขาก็แอบถอนหายใจกับตัวเองด้วยความโล่งอก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด