ตอนที่แล้วตอนที่53 เย่ฉาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่55 นักหลอมโอสถแห่งวังหลวง ซูจิ่งเยว่

ตอนที่54 องค์ชายสิบ หลิงเฟิง


ตอนที่54 องค์ชายสิบ หลิงเฟิง

“เจ้าไม่รู้เรื่องนี้เลยรึ?”

เย่ฉางจับจ้องหลี่หวงแววตาส่อร่องรอยประหลาดใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อขีดเขียนอยู่

“ข้าไม่ทราบ”

หลี่หวงเองก็สงสัยอย่างมากเช่นกัน การหมั้นหมายผีห่าอะไรกัน อีกฝ่ายเป็นใครนางยังไม่รู้เลย

“...ข้าปวดเศียรไปหมดแล้ว ตอนที่เจ้าเพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก บิดาของเจ้ากลับตายในสมรภูมิรบ ส่วนมารดาของเจ้าก็มิทราบว่าอยู่แห่งหนใด ฝ่าบาทเวทนาในชาติกำเนิดของเจ้า จึงกรุณาให้เจ้าแต่งงานกับองค์ชายเก้า”

แสดงว่า...องค์ชายเก้าเป็นคู่หมั้นหมายของนางตั้งแต่เกิดแล้วงั้นรึ?

ไฉนข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย!

แต่หลี่หวงมีเชื้อสายเกี่ยวข้องอะไรกับทางวังหลวง ฝ่าบาทถึงต้องการจับนางให้มาลงเอยกับองค์ชายเก้า?

“ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา องค์ชายเก้าเป็นองค์ชายที่แทบจะไม่เปิดเผยตัวตนหรือสนใจด้านการเมืองการปกครองใดๆ ส่วนเรื่องหมั้นหมายกับเจ้า อีกฝ่ายเองก็แทบไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ทว่าหลายปีมานี้ จู่ๆ องค์ชายเก้าก็ปรากฏตัวออกมาอยู่หน้าแสงไฟโดยกะทันหัน ราวกับว่าองค์ชายเก้าต้องการจะแย่งชิงบัลลังก์ก็มิปาน”

“บอกข้ามาเลย ความสัมผัสระหว่างเข้ากับองค์ชายเก้าเป็นมาอย่างไรกันแน่? หากอนาคตต่อไปองค์ชายเจ้าสามารถขึ้นครองบัลลังก์สำเร็จ เจ้าเองก็จะขึ้นกลายเป็นพระอัครมเหสีเช่นกัน สถานะความมั่งคั่งของตระกูลจวิ๋นจะทยายขึ้นฟ้าในพริบตา ส่วนอีกสามตระกูลที่เหลือ มีหรือจะมีกำลังไปชนะตระกูลจวิ๋นของเจ้าได้?”

“แล้วองค์รัชทายาทล่ะ?”

หลี่หวงจำได้ว่า องค์รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดสายตรงที่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท หากองค์ชายเก้าขึ้นที่จะขึ้นครองราชย์จริงๆ แล้วองค์รัชทายาทล่ะ?

ในเวลานั้นนางยังเด็กอยู่มาก ตอนที่ยังอยู่ที่เมืองหลวง นางมักจะได้ยินผู้คนกล่าวถึงองค์รัชทายาทตลอดเวลา

“พระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์แล้ว...แล้วคิดหรือว่าองค์รัชทายาทยังมีชีวิตชีวาดั่งเช่นก่อนหน้า? ท่านป่วยติดเตียงมาสามปีแล้ว!”

“โอ้! นั่นสิข้าลืมไปเลย...สถานที่ที่เจ้าอยู่เป็นเมืองชนบทจึงไม่ค่อยมีคราวข่าวมากเท่าที่ควร เมื่อสามปีก่อน พระอัครมเหสีล้มป่วยหนักจนสิ้นพระชนม์ลงในที่สุด ส่วนทางด้านองค์รัชทายาทก็ล้มป่วยตามกันมาอีกคนเพราะความคิดถึงผู้เป็นแม่ นอนโทรมติดเตียงจวบจนทุกวันนี้”

เย่ฉางเงยหน้ามองหลี่หวงที่ยังคงไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ พอเห็นแบบนั้นนางจึงฉุนขึ้นทันที

“นี่เจ้า! ช่วยทำหน้าให้มันรู้สึกกังวลหน่อยได้ไหม! อันตรายอยู่ตรงหน้าแล้ว!”

“ไม่เห็นมีอันใดต้องกังวล คนสามัญทั่วไปย่อมไม่มีปัญญาทำอันตรายข้าได้อยู่แล้ว”

หลี่หวงยังคงเอ่ยตอบน้ำเสียงเมินเฉย ด้วยระดับพลังบ่มเพาะในปัจจุบัน การจะสร้างคลื่นความอันตรายให้นางรู้สึกครั่นคร้ามนับเป็นเรื่องยากยิ่ง

“นี่เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้เยี่ยงไร? มิใช่ว่าเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าตนไม่สามารถบ่มเพาะพลัง...”

“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อนเลย! เดี๋ยวก่อน! หลี่หวง...นี่เจ้าขึ้นกลายเป็นนักอัญเชิญตั้งแต่เมื่อใด?! แล้วระดับชั้นพลังล่ะ? ไฉนข้าถึงดูระดับพลังของเจ้าไม่ออก?!”

เย่ฉางถึงกบัสะดุ้งเฮือก ร้องเสียงดังเอะอะโวยวาย

“เป็นอะไรของเจ้า? ก็เป็นเจ้าเองมิใช่รึว่า หกปีมานี้ข้าเปลี่ยนไปมาก? แล้วการที่ข้ากลายเป็นนักอัญเชิญคนนึงมันน่าตกใจอันใด?”

หลี่หวงส่งสายตาเจือรังเกียจสาดใส่อีกฝ่าย

“นังบ้า! ซ่อนคมไว้แนบเนียนเชียว!”

สายตาที่เฉี่ยวมองของเย่ฉางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นนางอย่างกับเห็นผี

“เย่ฉาง วันนี้ขอบคุณมากที่เจ้าแวะเวียนมาเตือนข้า รีบกลับไปจวนตระกูลเย่เถิด มิฉะนั้นคงเกิดทะเลาะวิวาทกันใหญ่โต”

หลี่หวงกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง

“ก็จริง ข้าจะกลับไปด่าตาเฒ่าหัวหงอกพวกนั้นสักยก บังอาจแอบไปฟ้องว่าข้าหนีมาหาเจ้า! แล้วจำไว้ให้ดีหลี่หวง! อย่าเป็นอะไรไปเด็ดขาด!”

“อืม ไปเถอะ”

แม้วาจาคำกล่าวของหลี่หวงจะดูเย็นชา ทว่าแววตาของนางกับที่จ้องอีกฝ่ายกลับเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น เหม่อมองเย่าฉางเดินจากไป

“เฮ้ออ...มีเรื่องอะไรให้ข้าประหลาดใจอีกหรือไม่?”

หลี่หวงถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับเข้าเรือนไป

ทว่านางกลับมิทันสังเกตเห็น รอยยิ้มประหลาดที่ปรากฏขึ้นบนมุมปากของเย่ฉางเมื่อตอนที่เหลียวกลับมามอง...

“ไม่ได้แหะ จะให้นั่งรออยู่เฉยๆ ได้อย่างไร? ข้าควรออกไปตรวจสอบสถานการณ์เอาเองดีกว่า!”

หลี่หวงกล่าวพึมพำกับตัวเองอย่างเงียบงัน

นางเข้าไปในเรือนเพื่อเตรียมสิ่งของที่จำเป็น และวางแผนไว้ว่าจะออกไปลอบเร้นสืบข่าวในวังหลวงคืนนี้

ในยามรัตติกาลกลางดึก

เวลานี้ผู้อาวุโสใหญ่ได้พายอดฝีมือระดับสูงคนหนึ่งของตระกูลจวิ๋นเข้าวังหลวงไปด้วยกัน

หลังจากตบโอสถไร้ชีพจรเข้าปาก หลี่หวงก็ลอบติดตามพวกเขาเข้าวังหลวงไปติดๆ สิ่งแรกที่นางตั้งใจไว้ก็คือสำรวจโครงสร้างภายในโดยคร่าว เพื่อต้องการจะดูว่าท่านปู่ของนางถูกขังไว้ที่แห่งใด

เรือนร่างอรชรน้อยเดินเตร่เข้าเร้นกายในความมืด เดินเลี่ยงหลบเหล่าองค์นรักษ์เฝ้ายามเข้ามาทีละกลุ่ม

แน่นอนว่าภายในวังหลวงแห่งนี้ย่อมมีสถานที่ที่มียอดฝีมือปกปักรักษาอยู่ และนางยังไม่กล้าบุกเข้าไปในยามนี้ หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือโดยบังเอิญ นางเองก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่า ตนจะถูกมองออกหรือไม่

แต่ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เฝ้ายามสามกลุ่มที่กำลังจะเดินสวนกันพอดี และหลี่หวงก็อยู่ใจกลางวงนั้นโดยบังเอิญ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ปราศจากมุมมืดไว้หลบซ่อน เสี้ยวอึดใจก่อนที่จะถูกพบ นางตัดสินใจมุมเข้าประตูเรือนแห่งหนึ่งเข้าไปซ่อนทันที

“นั่นใคร?!”

คนในเรือนดังกล่าวตื่นตัวขึ้นทันทีราวกับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง หลี่หวงรีบกลั้นหายใจโดยไว

ถูกพบเข้าแล้วรึ?

“...เงาพวกเฝ้ายามกระมัง?”

คนในเรือนไม่สามารถสัมผัสถึงลมหายใจอันใดได้ จึงตีไปว่าน่าจะเป็นเสียงฝีเท้าขององครักษ์เฝ้ายามที่เดินสวนกันหน้าประตูเรือน ทว่าอย่างไร เขามั่นใจว่ายินไม่ผิดเช่นกัน นั่นมันเสียงเปิดประตูเรือน?

หลี่หวงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ ปัญหาที่น่าจะคลี่คลายแล้ว ต่อไป...จะออกไปยังไงดี?

“พี่ใหญ่! ข้ามาหาแล้ว!”

แต่ในเวลานั้นเอง ประตูเรือนก็ถูกเปิดกว้าง ปรากฏเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาเสียงดัง!

.........

อืม... โคตรซวย...นางหลบหลังประตูเรือนพอดี อีกฝ่ายผลักมาซะแรง บานประตูจึงกระแทกหน้าของนางอย่างจัง...

ร่างของหลี่หวงทรุดกับพื้น...นั่งกุมจมูกด้วยความเจ็บปวด อยากจะส่งเสียงร้องก็ทำไม่ได้ ต้องขดตัวนั่งอดทนอยู่แบบนั้น

นางรู้สึกอยากตายจริงๆ ทำไมต้องมาทำเรื่องแบบนี้ด้วย!

ความคิดแรกที่โฉบแวบขึ้นมาก็คือ นางอยากจะตะโกนเรียกเทียนปิงกับฮั่วหยางออกมาซะตอนนี้เพื่อพาหนี แต่ถ้าทำแบบนั้นจะต้องกระตุ้นให้ยอดฝีมือในวังหลวงออกโรงแน่นอน…

แน่นอน...เด็กหนุ่มคนนั้นเห็นนางทันที...

ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกลับส่งสายตาเรียบนิ่งปานว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้หลี่หวง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้านในสุดของตัวเรือน และกล่าวขึ้นว่า

“พี่ใหญ่! พี่เก้ากลับมาแล้ว! พรุ่งนี้ไปดื่มกันที่จวนของข้าเถิด!”

คนภายในเรือนหัวเราะเสียงเบา น้ำเสียงแฝงความอ่อนแรงอยู่หลายส่วน

“เจ้านี่ก็...ชอบสร้างปัญหาให้พี่เก้าของเจ้าเสียจริง!”

ในคำกล่าวประโยคนี้ไม่สามารถเร้นซ่อนความเอ๋นดูของอีกฝ่ายที่มีต่อเด็กหนุ่มคนนี้ได้

“ที่ไหนกัน! ปกติมีแต่พี่เก้านั่นแหละที่ชอบรังแกข้า! เอาเถอะ เอาเถอะ พี่ใหญ่...พรุ่งนี้เราไปก๊งด้วยกันเถิด!”

เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นเตียงของอีกฝ่าย เขย่าแขนชายคนนั้นด้วยท่าทีออดอ้อน

“ก็ได้ ก็ได้! แต่ก่อนอื่นต้องให้คนมาแจ้งข้าล่วงหน้า ก่อนที่เสด็จพ่อจะรู้ตัว!”

ชายผู้นั้นไม่สามารถปฏิเสธคำขอของน้องชายตนได้เลย ด้วยความใจอ่อน สุดท้ายก็ทำได้แค่ตอบตกลง

“ไม่มีปัญหา น้องคนนี้จัดให้ตามสัญญา! เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพี่ใหญ่แล้ว พักผ่อนให้เยอะๆ เช่นนั้นขอตัวกลับก่อน”

“อืม เจ้าไปเถิด...”

ชายคนนั้นที่นั่งอยู่บนเตียงส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะล้มตัวนอนพักผ่อนต่อ

ขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้กำลังจะเดินออกประตูเรือน เขาก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้หลี่หวงออกมาด้วยกันโดยไม่ส่งเสียงอันใด จากนั้นก็จับมือนาง พาเดินออกมาด้วยกัน

เด็กหนุ่มคนนี้จูงมือนางเดินอ้อมในเส้นทางที่ลับตาคนเพื่อกลับมาในอาณาเขตของเขาเอง

“ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เจ้าเป็นใคร!?”

หลี่หวงขมวดคิ้วแน่น จับจ้องอีกฝ่ายเจือแววระแวงเล็กน้อย อีกฝ่ายกล่าวราวกับว่ารู้จักตนเอง?

“ท่าน...ไม่รู้จักข้าหรอกรึ?”

เด็กหนุ่มคนนั้นชักสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะกล่าวต่อว่า

“ข้าคือองค์ชายสิบ หลิงเฟิง”

องค์ชายสิบ? หลิงเฟิง?

หมายถึงองค์ชายคนสุดท้ายของฝ่าบาท?

“หากเจ้าคือองค์ชายสิบ แล้วคนที่อยู่ในเรือนเมื่อครู่? องค์รัชทายาท?”

หลี่หวงอุทานขึ้นคำหนึ่ง ยามนี้ประหลาดใจไม่น้อยเลยจริงๆ

“เหลวไหลแล้ว หากมิใช่องค์รัชทายาท แล้วใครบ้างที่ข้าเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ใหญ่?”

หลิงเฟิงยกมือเท้าสะเอวเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่ออย่างแช่มช้าว่า

“ข้าเป็นคนที่ประมูลแหวนมิติให้ท่านเมื่อคราวนั้นไง นึกออกแล้วกระมังว่าข้าเป็นใคร!”

แหวนมิติ?

เขาคือบุคคลนิรนามที่ประมูลแหวนมิติให้ในคราวนั้น!?

แต่นางกับเขาไม่เห็นว่าจะเคยรู้จักกันมาก่อนเลย?

“จริงสิ ท่านชื่ออะไร?”

หลิงเฟิงพยายามตื๊อพี่เก้ามาตั้งนานแสนนานแล้ว แต่พี่เก้าก็เอาแต่ปากแข็งไม่ยอมบอกนามจริงของพี่สะใภ้เก้าสักที

ไม่รู้จะหวงไปทำไม? เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอ่ยถามด้วยตัวเองเช่นนี้

“จวิ๋นหลี่หวง”

หลี่หวงไม่คิดที่จะติดหนี้บุญคุณคนอื่น ดังนั้นก็เอ่ยตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้มากมายนัก

แต่ไฉนองค์ชายสิบที่อยู่ตรงหน้านางถึงดูแปลกๆ?

ราวกับพยายามกลั้นอะไรไว้สักอย่างอยู่ในปาก?

ผ่านไปสักครู่ใหญ่ หลิงเฟิงที่ใช้สมองระดมความคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ร้องอ๋ออุทานลั่นขึ้นว่า

“พี่สะใภ้เก้า!”

ให้ตายเถอะ! ที่แท้ก็เป็นพี่สะใภ้เก้าจริงๆ! ไม่แปลกใจเลยว่า ไฉนพี่เก้าถึงไม่เป็นกังวลเรื่องละเมิดสัญญาหมั่นหมายแต่เดิมที่ตนเคยมี ที่แท้ก็...

คนที่พี่เก้าชอบก็คือคนเดียวกับที่หมั่นหมายกันเอาไว้นี่เอง...

“....”

พี่สะใภ้เก้า?

ไอ้เด็กนี่มันพล่ามอะไรของมัน?

บ้ารึไง? ตลกเหรอ?

“พี่สะใภ้เก้า ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย ท่านมาทำอะไรที่นี่? ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาต้องแย่แน่ๆ!”

หลิงเฟิงเผยท่าทีดูทุกข์ร้อนใจพลางเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง

“ข้าอยากไปที่คุกใต้ดิน”

หลี่หวงกล่าว

“คุกใต้ดิน?”

“ท่านต้องการไปหาประมุขตระกูลจวิ๋นกระมัง?”

ทันใดนั้นราวกับหลิงเฟิงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ ดูเหมือนว่าประมุขตระกูลจวิ๋นกำลังถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินในเวลานี้

“ไม่ได้!”

“อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ยังไปไม่ได้!”

หลิงเฟิงเร่งกล่าวห้ามนางไว้ทันใด

“เพราะอะไรกัน?”

หลี่หวงขมวดคิ้วเจือสีหน้าสงสัย

“เสด็จพ่อส่งองครักษ์เฝ้ายามหนาแน่นมาก ทั้งหมดล้วนเป็นนักอัญเชิญยอดฝีมือทั้งสิ้น! หากลอบเร้นเข้าไปมีหวังจะต้องถูกพบเข้าแน่นอน!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด