ตอนที่แล้วWMR ตอนที่ 12 เบนจามิน และแกรนท์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWMR ตอนที่ 14 การติดต่อครั้งแรกกับศาสนจักร

WMR ตอนที่ 13 กลายเป็นเบนจามิน ลิเธอร์


กำลังโหลดไฟล์

ค่ำคืนผ่านพ้นไป

“ท่านเบนจามินได้เวลาตื่นแล้วครับ มาดามขอให้ท่านลงไปทานอาหารเช้าร่วมกัน”

เสียงของพ่อบ้านดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูลากกู้เป่ยซึ่งยังคงนอนอยู่บนเตียงกลับสู่ความจริง

นี่เช้าแล้วเหรอ?

เขายิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่คิดเลยว่าการซึมซับความทรงจำของเบนจามิน ลิเธอร์จะลากยาวตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเช้าแบบนี้จนเขาไม่มีเวลาพักผ่อน

แต่มันไม่ใช่ความผิดของระบบ ระบบได้ลดความซับซ้อนของความจำจนถึงจุดที่เขาสามารถเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้ภายในครึ่งชั่วโมง แต่ปัญหาคือมันเรียบง่ายเกินไป กู้เป่ยค้นหาภายในความทรงจำอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสของคนที่อาจจ้างนักฆ่าเพื่อฆ่าเขา

เขาต้องจำกัดการค้นหาให้แคบลง เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเริ่มถามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยความจำระบบ

เนื่องจากค้นหานี้ไม่ต่างกับการพยายามหาเข็มในกองฟาง และเมื่อรวมกับนิสัยที่ยุ่งเหยิงของระบบ กระบวนการนี้จึงดำเนินต่อไปจนถึงรุ่งเช้าเมื่อพ่อบ้านมาเรียกเขาไปทานอาหาร แต่จนถึงขณะนี้เขาก็ยังไม่พบผลลัพธ์ใด ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง: เขายังไม่รู้ว่าใครต้องการให้เขาตาย

กู้เป่ยรู้สึกหงุดหงิด มันเหมือนเขาเสียเวลาทั้งคืนไปเปล่า ๆ

แต่ถึงบ่นไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีเนื่องจากเวลาที่หมดลงทำให้เขาไม่สามารถตรวจดูความทรงจำได้อีกต่อไป พ่อบ้านกำลังรอเขาอยู่ด้านนอก และเขาต้องไปพบกับสมาชิกในตระกูลลิเธอร์ ----นี่เป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้

เขาจะสามารถแอบเข้าไปอยู่ใต้จมูกญาติ "ของตัวเอง" ได้หรือไม่?

เมื่อมองจากมุมนี้ สิ่งที่เขาพยายามทำทั้งคืนก็ไม่ได้สูญเปล่าไปทั้งหมด เขามีเวลาจำความทรงจำรุ่นเรียบง่าย และได้ทบทวนรายละเอียดมากมายในความทรงจำ ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับการพยายามปลอมเป็น "เขา"

อาศัยความทรงจำพวกนี้การจัดการกับพ่อบ้านไม่ควรเป็นปัญหา

“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไป”

เขาตอบพ่อบ้าน

“เจเรมีไม่สบาย ข้าเลยมาทำหน้าที่แทนเขา” ทันใดนั้นพ่อบ้านก็เปิดประตู และเดินเข้ามาขณะพูดกับกู้เป่ยโดยไม่คาดคิด

“ไม่… ไม่จำเป็น ข้าทำเองได้” กู้เป่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

การปล่อยให้ชายวัยกลางคนซักเสื้อผ้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันค่อนข้างแปลก ไม่สิ ในฐานะวัยรุ่นยุคใหม่ เขาไม่ใช่เด็ก 3 ขวบอีกต่อไป และก็ไม่ใช่ลูกแหง่ติดแม่ด้วย การปล่อยให้คนอื่นช่วยเขาสวมเสื้อผ้ามองยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องปกติ

หลังจากได้ยินพ่อบ้านก็ทำสีหน้าแปลก ๆ

นั่นทำให้กู้เป่ยตระหนักทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“เฮ้ เมื่อคืนนายไม่ได้บอกฉันเหรอว่าพวกขุนนางที่นี่คุ้นเคยกับการให้คนอื่นแต่งตัวให้ และการสวมมันเองเป็นเรื่องแปลก” เขาถามระบบในใจ

“ไม่จริงทั้งหมด ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีนิสัยชอบให้คนรับใช้มาบริการให้ แต่ช่วงนี้การซักเสื้อผ้ากับแต่งตัวเองกำลังมาแรง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” ระบบอธิบาย

“อย่างงี้นี่เอง...”

เมื่อได้ยินกู้เป่ยก็โล่งใจ

เนื่องจากระบบได้เตือนเขาว่าเขาไม่ควรทำตัวผิดปกติ บางทีการที่วันหนึ่งเบนจามินตัดสินใจเปลี่ยนนิสัยของตัวเองเล็กน้อยมันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่

เขาแค่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาทำ

กู้เป่ยทำราวกับมันเป็นเรื่องปกติ และกล่าวกับพ่อบ้านว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ อีกสักครู่ข้าจะลงไปข้างล่าง”

แน่นอนว่าพ่อบ้านไม่ได้คัดค้าน เขาโค้งคำนับ วางของที่ถืออยู่แล้วหันหลังเดินออกไป

กู้เป่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ทุกย่างก้าวหลังจากกลับมาที่นี่เป็นเหมือนสงครามที่ไร้ควัน!

เขาลุกขึ้นจากเตียง และมองไปรอบ ๆ เขาอยากเห็นสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ในตอนนี้เนื่องจากเมื่อคืนมองเห็นไม่ชัดนักเพราะแสงไม่พอ

ห้องของเขาค่อนข้างใหญ่ ขนาดของมันสามารถเทียบได้กับห้องนั่งเล่นของครอบครัวที่มีฐานะดี เฟอร์นิเจอร์ดูวิจิตรบรรจง หน้าต่างค่อนข้างกว้าง แต่ถูกปิดด้วยผ้าม่านที่ออกแบบมาอย่างสง่างาม และบนผนังก็ถูกแขวนไว้ด้วยนาฬิกาที่มีลูกตุ้มสไตล์ยุโรป ทุกอย่างในห้องทำให้ดูเหมือนห้องของขุนนางตะวันตก มันมีกระทั่งภาพเขียนสีน้ำมันที่แขวนอยู่บนหัวเตียง

และหม้อที่เป็นไฮไลท์ของเมื่อคืนก็ถูกพ่อบ้านทิ้งไว้ข้างประตู

กู้เป่ยเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง และใช้น้ำที่พ่อบ้านนำมาให้ทำความสะอาดร่างกาย จัดทรงผมให้เรียบร้อย และสวมเสื้อผ้ากับกางเกงที่เขาหยิบมาจากตู้เสื้อผ้าตามคำแนะนำของระบบ

ในกระจก เขาเห็นตัวเองเป็นครั้งแรก

วัยรุ่นคอเคเซียนทั่วไปที่มีผมสีบลอนด์น้ำตาล ตาสีฟ้าอ่อน รูปร่างผอมบาง แก้มสีซีดถึงแดงมีกระจาง ๆ เล็กน้อย และดูเหมือนคนที่มีอาการตัวเหลือง

เขาไม่ได้ผิดหวังมากนัก เอาเข้าจริงตราบใดที่ไม่ได้น่าเกลียดเกินไปเขาก็รับได้หมด เขายังเชื่ออีกว่าสภาพร่างกายอ่อนแอที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นในอนาคต

เขาพยายามจำใบหน้านี้ให้ดีที่สุดเพื่อจดจำว่า "เขา" หน้าตาเป็นอย่างไร

เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในใจของเขา: จากนี้ไปฉันไม่ใช่กู้เป่ยอีกต่อไป ฉันคือเบนจามิน ลิเธอร์

ชีวิตของกู้เป่ยมันจบลงเมื่อเขาอายุได้ 25 ปี นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาไม่ใช่ "กู้เป่ย" อีกต่อไป เขาต้องกลายเป็นเบนจามิน ลิเธอร์อย่างสมบูรณ์

เขามองไปยังใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยในกระจก แล้วจึงตัดสินใจ

จากนั้นกู้เป่ยก็ผลักประตูออกไป... ไม่สิ ควรจะพูดว่า: เบนจามินผลักประตูแล้วเดินออกไป

เบนจามินเดินไปตามแผนที่ที่ระบบให้มา และลงไปยังห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่างซึ่งตระกูลลิเธอร์ใช้รับประทานอาหาร คนใช้สองคนยืนอยู่ที่ทางเข้าห้องนั่งเล่นและโค้งคำนับ เขาพยักหน้ากลับให้พวกเขา

ทุกอย่าง "ปกติ" ดี ไม่มีอะไรผิดแปลก เบนจามินเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น

หากห้องนอนของเขามีขนาดเกือบเท่ากับห้องนั่งเล่นของครอบครัวชนชั้นกลาง งั้นห้องนั่งเล่นนี้ก็เป็นของเศรษฐี โต๊ะสีน้ำตาลยาวสิบเมตรที่ล้อมรอบด้วยเก้าอี้แบ่งทั้งห้องออกเป็นสองส่วน ตู้ข้างห้องนั่งเล่นทั้งสองด้านวางชิดกับผนังสีขาวนวลเกิดความสมมาตรที่ลงตัว ภาพวาดทางศาสนาสี่ภาพที่มีเนื้อหาต่างกันถูกแขวนไว้บนผนังทั้งสี่ของห้องนั่งเล่น ซึ่งส่งให้ห้องสไตล์บาโรก1ดูลึกลับและเคร่งขรึมยิ่งขึ้น

ตอนนี้ภายในห้องนั่งเล่นค่อนข้างเงียบเพราะมีคนอยู่เพียงสองคนเท่านั้น

หนึ่งในนั้นเป็นหญิงชราที่แต่งตัวดีอายุราว ๆ 80 ตอนปลาย เธอกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ ในขณะที่อีกคนคือสาวใช้อายุราว ๆ 50 เธอกำลังรออยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีเคารพและไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

จากความทรงจำทำให้เบนจามินรู้ว่าหญิงชราคนนี้คือคุณย่าของเขา ซึ่งเป็น ’ผู้นำ2’ ของตระกูลลิเธอร์

มีเพียงคนเดียวที่กำลังทานอาหารอยู่ ดังนั้นเขาจึงแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็โล่งใจมากเช่นกัน

ในความคิดของเขา มื้ออาหารนี้จะต้องประกอบไปด้วยทุกคนในตระกูลลิเธอร์ พ่อแม่ น้องชาย และย่าของเขา เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่การที่มีเพียงหญิงชราคนเดียวทำให้เบนจามินรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะและทักทายหญิงชราด้วยความเคารพ

"อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านย่า"

หญิงชราชำเลืองมองเขาและเลิกคิ้วอย่างลึกลับ: “อรุณสวัสดิ์ เด็กน้อย คนหนุ่มสาวมักเต็มไปด้วยพลังจนแทบรอไม่ไหวที่จะพลิกโลกทั้งใบ ไม่เหมือนคนแก่อย่างพวกเราว่าไหม?”

เป็นที่น่าสังเกตว่าน้ำเสียงของเธอค่อนข้างแปลก มันไม่เหมือนกับคนที่กำลังคุยกับคนที่อายุน้อยกว่า แต่ฟังดูเหมือนเธอกำลังเย้ยหยันเบนจามินราวกับว่าเขาเป็นคู่กัดเก่า

เธอหมายถึงอะไร? เธอพยายามจะพูดอะไรกันแน่?

คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของเบนจามิน

ก่อนที่เบนจามินจะทันตอบ จู่ ๆ หญิงชราก็วางมีดและส้อมลง เช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปาก แล้วมองเบนจามินด้วยสายตาเฉยเมย ก่อนจะพูดว่า:

“เจ้าหิวไหม? น่าเสียดายที่พ่อครัวไม่ได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เจ้า แต่เนื่องจากเจ้าเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง เจ้าคงไม่เก็บมาใส่ใจ”

“…”

นี่เรามีความเกี่ยวข้องทางเลือดกันจริง ๆ?

ท่านเรียกข้าให้ลงมาทานอาหารเช้า แต่กลับไม่มีอาหารเช้าให้? งั้นทำไมท่านต้องเรียกข้าตั้งแต่แรก? จะให้กินอากาศงั้นเรอะ?!

เบนจนมินถูกทำให้ตะลึง

ระบบปรากฏออกมาในเวลาที่เหมาะสมและพูดกับเบนจามิน “เมื่อคืนข้าลืมบอกท่านไป ตั้งแต่ปู่ของท่านจากไป อารมณ์ของหญิงชราคนนี้ก็ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อย ๆ จนยากจะรับมือ กระทั่งน้องชายอัจฉริยะของท่านก็ยังยากที่จะทำให้นางยิ้มได้ ข้าคิดว่าที่นางโกรธคงเพราะเสียงที่ท่านทำเมื่อคืน”

“ทำไมก่อนหน้านี้นายถึงไม่พูด?” เบนจามินไม่สามารถทำอะไรกับหญิงชราได้ ดังนั้นเขาจึงนำความโกรธที่มีทั้งหมดไปลงกับระบบ

“นี่มันไม่ใช่แค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ งั้นหรือท่าน? เมื่อวานท่านไม่ได้บอกให้ข้าลงรายละเอียด” ระบบตอบกลับอย่างมั่นใจ

"..." เมื่อเผชิญหน้ากับความไร้ยางอายของระบบ เบนจามินก็พ่ายแพ้อีกครั้ง

หญิงชราเห็นว่าเบนจามินไม่ตอบจึงพูดต่อไปว่า “คนหนุ่มสาวยังต้องเรียนรู้มารยาทเพิ่มเติม เจ้าเด็กจากตระกูลฟุลเนอร์เดินเร่รอนในยามค่ำคืนไม่ใช่แค่วันหรือสองวัน แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยชอบเขานัก แต่เขาก็ยังเป็นแขกของตระกูลเรา ดังนั้นจึงควรแสดงมารยาทพื้นฐานออกมาเสมอ ไม่เช่นนั้นตระกูลขุนนางอื่นในอาณาจักรจะมองเราอย่างไร? เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”

หลังจากได้ยินแบบนั้น ในที่สุดเบนจามินก็เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะพูด

ระบบถูกต้อง เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงทำให้เธอรำคาญอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เบนจามินก็ยังทำตัวไม่ถูกเช่นเดิม หากหญิงชราคนนี้ใช้น้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่สอนคนอายุน้อยกว่า เขาคงไม่มีอะไรจะบ่น แต่การที่เธอตีรอบ ๆ พุ่มไม้ทำให้เบนจามินพูดไม่ออกจริง ๆ

เราคุยกันดี ๆ ได้ไหม?

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนเขาก็เพิ่งรอดชีวิตจากการถูกลักพาตัวไปหลังจากพยายามอย่างหนัก ในฐานะที่เป็นญาติกัน อย่างน้อยก็ควรห่วงกันหน่อยได้ไหม? เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง?

ขอถามอีกครั้ง นี้มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้กัน?

“คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย แต่กลับมีฝีมือในการแสร้งทำเป็นหูหนวกและเป็นใบ้แทน ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้สูงอายุพูดแม้แต่คำเดียว เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ?” หญิงชรากล่าวต่อ

ตอนนี้เบนจามินโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

“เนื่องจากไม่มีอาหารเช้า งั้นในฐานะหลาน ข้าคงต้องขอตัวกลับไปพักผ่อน ขอให้ท่านย่าทานให้อร่อย”

เขาเสียใจทันทีหลังจากพูดไปแบบนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เบนจามินคนก่อนจะพูด แต่ข้างในเขาโกรธมาก เขาทนกับทัศนคติที่ไม่แยแสนี้มามากเกินพอแล้ว

ปฏิกิริยาของหญิงชราทำให้เบนจามินพอใจ เธอเบิกตากว้างและมองเบนจามินด้วยความประหลาดใจ เปลือกตาที่มีรอยย่นของเธอกระตุก แต่เธอไม่ได้แสดงความเห็นหรือถากถางดูถูกเขาต่อ

เมื่อเห็นเช่นนี้ เบนจามินไม่พูดอะไรอีก เขายืนขึ้น โค้งคำนับหญิงชราอย่างประชดประชัน หันหลังกลับ และเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของทุกคน

หญิงชรามองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ทันใดนั้นก็แสดงท่าทีไร้เดียงสา และพูดกับคนใช้ว่า: “เด็กคนนี้เป็นอะไรไป? ข้าพูดอะไรผิดไปงั้นรึ ทำไมจู่ ๆ เขาถึงออกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทานอะไรเลย? เจ้าว่าแปลกรึไม่?”

คนรับใช้หลายคนมองหน้ากันและไม่กล้าพูด

อีกด้านหนึ่ง เบนจามินได้กลับไปที่ห้องนอนของเขา

ทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง เสียงระบบก็ดังขึ้น:

“นั่นเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก! ทุกคนคงคิดว่า ‘นี่คือคุณชายเบนจามินของเรา คุณชายเบนจามินที่เคยเป็นเช่นในอดีค เขายังเหมือนเดิม!’ ไม่มีใครสงสัยท่านอีกต่อไป ข้าล่ะภูมิใจในตัวจริง ๆ”

เส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผากของเบนจามินอีกครั้ง: "หุบปาก! วันนี้ฉันโดนเสียดสีมามากเกินพอแล้ว"

“แล้วท่านจะทำยังไงต่อ? เบนจามินคนก่อนเป็นเพียงคนที่น่าสมเพช แต่เมื่อมองท่านตอนนี้ ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” ระบบถามกลับ

“ผิดแล้ว มันจะไม่มีใครสงสัยในตัวฉัน”

เบนจามินค่อย ๆ สงบลงโดยไม่แสดงอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย

“ท่านไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?” ระบบดูเหมือนไม่เชื่อเขา

“เหตุผลก็ง่าย ๆ เบนจามินคนก่อนเป็นเพียงคนที่น่าสมเพช” เบนจามินหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดสิ่งที่เขาเพิ่งรู้ “ด้วยเหตุนี้เองมันจึงไม่มีใครคิดที่จะสนใจเบนจามิน ลิเธอร์จริง ๆ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเบนจามิน ลิเธอร์กำลังคิดอะไรอยู่ ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ แม้ว่าฉันจะทำตัวเหมือนที่เพิ่งทำไป แต่คนอื่นก็คงคิดไปว่าคนที่น่าสมเพชอย่างฉันถูกบีบจนถึงขีดจำกัด และคิดว่าในที่สุดก็ระเบิดออกมา อย่างมากพวกเขาแค่ตกใจเท่านั้น แต่มันจะไม่มีใครสงสัยฉัน”

“ท่านรู้ได้อย่างไร?”

“แน่นอน เพราะว่าฉันฉลาด ส่วนนายมันโง่”

"..."  คราวนี้ถึงคราวของระบบที่เป็นฝ่ายพูดไม่ออก

ก่อนออกจากห้องนั่งเล่น เบนจามินให้ความสนใจกับสายตาของคนใช้เป็นพิเศษ ดวงตาคู่นั้นแสดงความประหลาดใจ แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาแน่ใจว่ามันเกิดจาก “โอ้พระเจ้า ในที่สุดคุณชายของเราก็ทนไม่ไหวหลังจากท่านอดทนมาเนิ่นนาน” ไม่ใช่ “โอ้พระเจ้า คุณชายของเราแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาถูกใครบางคนสวมรอยงั้นรึ?!”

สิ่งนี้ทำให้เบนจามินเลิกกังวล

ต่อให้ในอนาคตเขามีพฤติกรรมอุกอาจมากกว่านี้ คนอื่นก็คงคิดว่าเขาถูกกดดันมานานเกินไปจนทำให้บุคลิกทั้งหมดของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากถูกลักพาตัว มันคงไม่มีใครเชื่อมโยงกับการข้ามโลกหรือสับเปลี่ยนวิญญาณอย่างแน่นอน

ทำไมนะเหรอ? บอกตามตรง มันไม่มีใครสนใจเบนจามิน ลิเธอร์หรอก เขาเป็นแค่ตัวไร้ประโยชน์ ไม่ว่าบุคลิกของเขาจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ยังไงมันก็ไม่มีใครสนใจเขาอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรตัวไร้ประโยชน์ ก็ยังเป็นตัวไร้ประโยชน์วันยังค่ำ

เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เบนจามินหดหู่ แต่มันกลับทำให้เขามีความสุขมากด้วยซ้ำ

ไม่มีใครสนใจ----นี่คือตำแหน่งในฝันของผู้วิเศษ

“จริงสิ แม้ว่าฉันจะออกไปตอนนี้ มันก็คงไม่มีใครสักเกตเห็น” เบนจามินคิด และพูดออกมาทันที

“ออกไป? ท่านจะออกไปไหน?” ระบบถามด้วยความงุนงง

"ไปโบสถ์"

............

สไตล์บาโรก1 หรือสถาปัตยกรรมบาโรกเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ณ ประเทศอิตาลี และค่อย ๆ แผ่กระจายไปทั่วยุโรป เป็นสถาปัตยกรรมที่บ่งถึงความหรูหราโอ่อ่า และความมีอำนาจของสถาบันคริสต์ศาสนาและการปกครอง สถาปัตยกรรมฯจะเน้นเรื่องแสง สี เงา และคุณค่าของประติมากรรม

ผู้นำ2  - 老太君(เหล่าไท่จวิน) ในสมัยราชวงศ์ถัง มันคือยศหรือบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่มารดาพระญาติสนิท หรือมารดาของขุนนางที่มีความชอบ อันนี้engใช้คำว่าMatriarchที่แปลประมาณหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้หญิง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด