ตอนที่แล้วบทที่ 55 โอสถเรียกวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 57 เรื่องราวในตระกูลมู่

บทที่ 56 แพทย์อัจฉริยะ


กำลังโหลดไฟล์

บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องโถงของจวนผู้พิทักษ์ฟ้าอยู่ในความเงียบสงบ เวลาได้ผ่านไปราวๆ10ลมหายใจเข้าออกนับตั้งแต่ร่างที่ไร้วิญญาณของฮูหยินรองได้รับโอสถเรียกวิญญาณเข้าไป

บางคนต่างคาดหวังที่จะได้เห็นปาฎิหาริย์จากหนิงเทียน ส่วนบางคนที่ไม่เชื่อตั้งแต่แรกกำลังเฝ้ารอที่จะได้หัวเราะอย่างสุดเสียง

เวลาล่วงผ่านไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ร่างที่ไร้วิญญาณของฮูหยินรองยังคงนอนนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

ฉางอวี้ไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไป มันตะโกนออกไปยังหนิงเทียน “เจ้าเด็กสารเลว จะให้พวกเรารออีกนานแค่ไหน”

หนิงเทียนกล่าวออกขณะที่ดวงตาทั้งสองของมันปิดลง “เงียบๆได้หรือไม่ข้ากำลังตามหาดวงวิญญาณนางอยู่”

เวลานี้มือขวาของมันจับกุมมือของเสี่ยวซวงแน่น พลังปราณอ่อนๆในร่างของเสี่ยวซวงไหลเข้าสู่ร่างของหนิงเทียนอย่างช้าๆ เวลาต่อมาไม่นานนักหนิงเทียนค่อยเปิดตาขึ้น

ปรากฏให้เห็นดวงตาที่มืดสนิท ไร้ประกายแสงแห่งชีวิตในดวงตา ราวกับว่ามันไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์อีกต่อไป

เหล่าทหารที่จับจ้องไปยังดวงตาสีดำมืดของหนิงเทียนเพียงครู่เดียวก็ต้องเบือนหน้าหนีด้วยความหวาดกลัว

ดวงตาที่มืดสนิทของมันจับจ้องไปยังร่างไร้วิญญาณของฮูหยินรองไม่นาน ปาฎิหารย์ก็บังเกิดแก่สายตาผู้คนในห้องทั้งหมด

จู่ๆร่างที่ไร้วิญญาณของฮูหยินรอง ยันกายขึ้นมานั่งกับพื้น ด้วยสองตาที่ปิดสนิทชวนให้ผู้ที่ได้มองไปบังเกิดอาการขนลุก ร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้

หนิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“ด้วยโอสถเรียกวิญญาณ ข้าขอยืมดวงวิญญาณของนางมาจากเทพแห่งความตายได้เพียง1เค่อเท่านั้น พวกเจ้ามีข้อสงสัยใดก็รีบๆถามนางโดยเร็ว”

ฉางอวี้มองไปยังฮูหยินรองของมันด้วยใบหน้าถอดสี ดวงตาเบิกกว้าง มันกล่าวออกด้วยวาจาติดๆขัดๆ “เป็น...เป็นไปไปไม่ได้..”

เวลานี้ร่างของหานเจิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง แข็งทื่อราวกับก้อนหิน เกือบ200ปีที่มันศึกษาศาสตร์ปรุงโอสถ มันไม่แม้แต่จะเคยได้ยินโอสถเรียกวิญญาณ

ซางไห่เองก็ไม่ต่างจากคนอื่นนัก มันได้แต่กล่าวถามออกด้วยเสียงสั่นเครือ

“ฮฮูหยินรอง ใครเป็นคน คนฆ่าท่านท่าน....”

สิ้นเสียงของซางไห่ เป็นเวลาถึง5ลมหายใจ ร่างไร้วิญญาณของฮูหยินรองยกมือชี้ไปยังฉางอวี้ ทุกสายตาในห้องโถงล้วนจับจ้องไปยังฉางอวี้ทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้น

“เจ้า เจ้า...ชี้ข้าทำไม?” เวลานี้ท่าทีองอาจดุจเสือป่า ของมันหายไปโดยสิ้นเชิง

ไม่ว่าโลกไหนๆ ความตายยังเป็นสิ่งที่น่ากลัวเสมอและโลกหลังความตายยังเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถล่วงรู้ได้ วังสวรรค์แดนพญายม ยังคงเป็นความเชื่อที่สลักลึกอยู่ในจิตใจของผู้คนส่วนใหญ่

ในขณะที่ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงออกมา ทันใดนั้นเสียงของหนิงเทียนดังขึ้น

“ฮูหยินรองเจ้ากำลังบอกว่า ฉางอวี้เป็นคนฆ่าเจ้าใช่หรือไม่?”

สิ้นเสียงคำถามของหนิงเทียน มันยังคงใช้เวลาราวๆ5ลมหายใจเช่นเดิมก่อนจะผงกหัวขึ้นลงเป็นสัญญาณตอบ

“สารเลว เป็นเจ้าที่ฆ่านางและป้ายความผิดให้แก่ข้า” จินเหล่าต้าคำรามด้วยความโกรธ ไม่บ่อยครั้งที่มันจะมีโทสะมากมายเช่นนี้

ขนาดเมื่อวานก่อน มันเกือบจะโดนรุมทำร้ายในเหลาอาหารชิงเยี่ยน ใบหน้าของมันก็ยังคงแย้มยิ้มอย่างไม่ใส่ใจใดๆ

“ไม่ไม่เป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นวิชามารใช่แล้วต้องเป็นทักษะชั่วช้าอย่างแน่นอน”ฉางอวี้กล่าวปฎิเสธด้วยเสียงที่ดังเป็นพิเศษ เวลานี้มันไม่สามารถปิดบังน้ำเสียงที่สั่นเครือได้เลย

ได้ยินคำพูดของศิษย์ หานเจิงเหมือนจะคิดอะไรออกมาได้ มันรีบกล่าวออกให้ทุกคนได้ยินกันทั่วถึง “ใช่แล้ว มันต้องเป็นทักษะที่สาบสูญไปกว่าพันปี ทักษะควบคุมศพของดินแดนด้านใต้แน่นอน”

ซางไห่ได้ยินเช่นนี้มันนิ่งเงียบก่อนจะกล่าวออก “ที่ปรมาจารย์หานกล่าวมานั้นมีเหตุผล”

สำหรับตัวของซางไห่แล้วมันขอเลือกที่จะเชื่อว่าเด็กเสียสติตรงหน้ามัน มีทักษะลับในตำนานมากกว่าที่จะสามารถปรุงโอสถเรียกวิญญาณออกมาได้

ฮ่าฮ่า หนิงเทียนหัวเราะด้วยเสียงต่ำ ราวกับกำลังเยาะเย้ยในความโง่ของพวกมัน

“ข้านั้นเป็นเพียงคนพิการที่ไม่สามารถใช้ลมปราณออกได้ ไหนเลยจะใช้ทักษะควบคุมซากอะไรนั้นได้ แต่เอาเถอะการกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูดเสมอ”

กล่าวถึงตอนนี้มันปิดตาลงอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อไป “การควบคุมซากศพนั้นอาจจะคล้ายกับการเรียกวิญญาณของข้าอยู่บ้าง

แต่มีเรื่องหนึ่งที่พวกเจ้าทุกคนรู้ดี การควบคุมซากศพนั้น ศพจะไร้ซึ่งความคิดมันจะเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้ความทรงจำเท่านั้น

ส่วนโอสถเรียกวิญญาณของข้านั้นเป็นการนำดวงวิญญาณกลับคืนจากวังพญายม พวกมันจึงมีความทรงจำอยู่ครบถ้วน”

หนิงเทียนยังคงกล่าวต่อ “ข้านั้นจะถามนางถึงสาเหตุการตายของนางเดี๋ยวนี้”

กล่าวจบหนิงเทียนปล่อยมือขวาที่กุมมือเสี่ยวซวงลง พร้อมทั้งก้าวออกไปเบื้องหน้าฮูหยินรอง เวลานี้ใบหน้าของหนิงเทียนซีดขาวลงอย่างเห็นได้ชัด

มันกล่าวออกด้วยเสียงอ่อนแรง “เจ้าเสียชีวิตเพราะเหตุใด” สิ้นคำกล่าวถาม ร่างของฮูหยินรองล้มลงกลายเป็นร่างไร้วิญญาณเช่นเคย

หนิงเทียนได้แต่พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเปล่งเสียงดังออกมา“นางนั้นถูกนำวิญญาณกลับไปแล้ว แต่ก่อนที่นางจะกลับไปนางได้บอกข้าว่า นางตายเพราะถูกดักแด้อัคคีกลืนกิน”

เมื่อได้ยินคำว่า ดักแด้อัคคี จินเหยาจางที่ยืนฟังอยู่อย่างสงบ กล่าวออกมาเสียงดัง “ดักแด้อัคคี....ถ้ามันเข้าสู่ร่างกายคน มันจะกัดกินตันเถียนของคนผู้นั้นจนตาย

ใช่แล้วการที่ตันเถียนของฮูหยินรองละลายไม่ใช่เพราะทักษะจิตอัคคีของตระกูลจินแต่ต้องเป็นเพราะดักแด้อัคคีอย่างแน่นอน”

ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหานเจิงมืดดำลง มันกล่าวออก “ไร้สาระสิ้นดี ท่านซางไห่ ท่านอย่าบอกข้าว่าจะเชื่อถือดวงวิญญาณที่ไม่สามารถมองเห็นได้?”

มันยังคงกล่าวต่อด้วยเสียงดัง “สิ่งที่เจ้าเด็กนี้กล่าวอ้าง มีแต่มันเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงวิญญาณ

ส่วนเรื่องโอสถและวัตถุดิบที่มันกล่าวออกมา ก็เป็นมันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็น ด้วยคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยเช่นนี้ แม้แต่ขอทานข้างถนนยังสามารถพูดออกมาได้”

“คำกล่าวของท่านปรมาจารย์หาน นั้นไม่ผิด ดวงวิญญาณนั้น ไม่สามารถเอามาเป็นคำกล่าวอ้างให้นายน้อยจินพ้นข้อสงสัยได้” ซางไห่กล่าวออกอย่างเห็นด้วย

ถ้าการตัดสินคดีจากดวงวิญญาณแพร่งพายออกไปละก็ มันจะไม่กลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนทั่วฉางผิงได้หัวเราะเยาะหรอกหรือ

“หึ...เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว” หนิงเทียนกล่าวออกด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“’ง่ายนิดเดียว เด็กน้อยเจ้าหมายความว่าอย่างไร” ซางไห่รีบเอ่ยถาม

“ถ้าข้าพิสูจน์ได้ว่า นางตายเพราะถูกดักแด้อัคคีจริงก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าโอสถเรียกวิญญาณของข้า สามารถเรียกวิญญาณได้จริงๆ”

ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นของหนิงเทียน ดวงตาซางไห่หรี่แคบลง “เจ้ามีวิธีพิสูจน์?”

หนิงเทียนยิ้มออกที่มุมปากก่อนจะหันไปกล่าวกับจินเหยาจาง

“ท่านจิน เมื่อดักแด้อัคคีกลืนกินตันเถียนของคนผู้นั้นไปแล้ว มันจะย้ายร่างไปอาศัยอยู่บริเวณใดของศพ?”

จินเหยาจางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“ดักแด้อัคคี เมื่อมันกลืนกินตันเถียนเจ้าของร่างจนตายแล้ว มันจะย้ายร่างไปอาศัยอยู่บริเวณหลังคอเพื่อรอการฝักตัว”

แม้จินเหยาจางจะเป็นผู้ฝึกยุทธในแดนวีรชนแต่มันเองก็เป็นผู้ปรุงโอสถในระดับโลกที่7ด้วยเช่นกัน

หนิงเทียนยังกล่าวต่อไป “ถูกต้อง...เมื่อดักแด้อัคคีกลืนกินตันเถียนของผู้คนไปแล้ว มันต้องใช้เวลาราว2วันก่อนที่จะแปรเปลี่ยนร่างกายของมันให้เป็นพิษร้ายในระดับปฐพี”

กล่าวถึงตรงนี้หนิงเทียนหยุดร่างของมันก่อนจะพลิกร่างไร้วิญญาณของฮูหยินรองให้นอนคว่ำเผยให้เห็นหลังคอที่นูนกว่าปกติเล็กน้อย

“จากการที่ข้าสำรวจร่างของฮูหยินรองแล้ว นางไม่มีรอยแผลในการผ่าเอาดักแด้อัคคีออกมาจากหลังคอ ข้าคิดว่าผู้ที่ใช้ดักแด้อัคคีสังหารนางคงจะต้องการให้มันฝักตัวกลายเป็นพิษระดับปฐพี”

ได้ยินคำกล่าวของหนิงเทียน จินเหยาจางเหมือนจะเข้าใจในความหมายของคำพูดนั้น มันจึงรีบกล่าวออก “ท่านซางไห่ พวกเราผ่าหลังคอของฮูหยินรองออกมา พิสูจน์เถอะ”

ดวงตาของฉางอวี้เบิกกว้างมันกล่าวอย่างดุร้าย “เจ้าพูดอะไร!! นางเป็นฮูหยินรองของข้าและเป็นถึงลูกสะใภ้ของเจ้าเมืองฉางผิง พวกเจ้ากล้าแตะต้องศพนาง?”

“เรื่องนี้นั้นส่งผลถึงตระกูลจิน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้หลานชายของข้า” จินเจาหยางคำรามออก ท่าทางของมันในเวลานี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถขัดขว้างมันได้

หานเจิงกล่าวออก “อินทรีย์เฒ่าเรื่องดักแด้อัคคีนั้นเป็นเพียงการคาดเดาจากเด็กเสียสติที่ไม่มีแม้แต่พลังลมปราณ

การที่เชื่อว่ามันปรุงโอสถเรียกวิญญาณได้นั้นก็เป็นเรื่องที่น่าขันพอแล้ว

เจ้ายังจะยืนกรานที่จะทำลายศพของฮูหยินรองเพียงเพราะคำพูดเพ้อพกของเด็กคนนี้อีก เจ้าคิดว่ามันคุ้มแล้ว?”

“นี้เป็นปัญหาของหลานชายข้า เรื่องนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจินเหยาจาง จะเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” มันยังคงกล่าวด้วยท่าทีหนักแน่น ชวนให้ผู้จับจ้องไปที่มันบังเกิดความเลื่อมใส

“ไม่ได้เด็ดขาด นางป็นภรรยาข้า ข้าไม่ยอมให้ใครมาทำลายศพนางแน่นอน”

ฉางอวี้คำรามอย่างหนักแน่น มันแสดงออกชัดเจนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมทำตามวิธีของจินเหยาจาง

หนิงเทียนมองไปยังฉางอวี้ที่กำลังเต้นแร้งเต้นกาอยู่ มันกล่าวออก“ข้าเองก็คิดไว้แล้ว ว่าเจ้าไม่ยอมให้นำดักแด้อัคคีออกมาโดยง่ายแน่….

แต่ไม่เป็นไรข้าจะนำดักแด้อัคคีออกมาโดยไม่เตะต้องร่างกายของฮูหยินรองให้เจ้าดูเป็นบุญตา”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จินเหยาจางรู้สึกวิตกกับคำพูดของหนิงเทียน ดักแด้อัคคีนั้นไม่ใช่พิษร้ายแรงอันใดก็จริง แต่เมื่อมันกลืนกินตันเถียนของคนและฝักตัวเป็นพิษแล้ว

การที่จะถอนมันออกจากร่างด้วยวิธีที่ไม่ทำลายร่างนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายและเสี่ยงต่อการถูกพิษของมันอย่างมาก

ตัวมันเองเป็นผู้ฝึกตนในแดนวีรชนซ้ำยังเป็นนักปรุงโอสถระดับโลกที่7 ยังไม่มีความสามารถที่จะขับดักแด้อัคคีที่ฝักตัวแล้วออกจากร่างของฮูหยินรองแม้แต่น้อย

คิดได้เช่นนี้มันจึงกล่าวออกด้วยความกังวล “สหายน้อย เจ้าควรรู้ว่าดักแด้อัคคีเวลานี้มันกลายเป็นพิษระดับปฐพีไปแล้ว

การที่จะถอนมันออกจากร่างนั้นเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก แม้แต่ลมปราณของผู้ฝึกตนในแดนวีรชนยังไม่สามารถป้องกันพิษของมันได้และเจ้า...”

หนิงเทียนได้ยินดังนั้น มันยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นห้ามและกล่าว “ผู้อาวุโสจิน ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ดักแด้อัคคีนั้นเป็นเพียงหนอนตัวน้อยๆในสายตาของข้าเท่านั้น”

หานเจิงที่ได้ยินได้ฟังความหยิ่งผยองของเด็กเสียสติคนนี้ ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความอำมหิต มุมปากของมันยกยิ้มอย่างพอใจ

“ท่านอาจารย์ จะไม่เป็นไรแน่หรือ?”ฉางอวี้ส่งเสียงผ่านลมปราณไปยังอาจารย์ของมัน

“เจ้าไม่ต้องห่วง พิษของดักแด้อัคคีไม่ใช่สิ่งที่เด็กอย่างมันจะทำอะไรได้ เจ้าจงรอดูมันตายเพราะความอวดฉลาดของมัน” หานเจิงกล่าวออก สายตาของมันมองไปยังหนิงเทียนด้วยความดูถูก

ถึงอย่างไร้ สายตาของหานเจิงก็ไม่พ้นสายตาของหนิงเทียน มันมองไปยังนักพรตชุดแดงด้วยสายตาเหยียดหยาม

“เจ้าหลานโง่ จงดูปู่ของเจ้าให้ดีอย่างได้กระพริบตาแม้แต่น้อย”

จากนั้นหนิงเทียน นำโอสถสีเขียวออกมาจากแหวนมิติ มันใช้สองนิ้วของมันคลึงก้อนโอสถอยู่เพียงชั่วลมหายใจ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าโอสถชนิดนี้คืออะไร”

สิ้นคำกล่าวของหนิงเทียน มันยังใช้สองนิ้วดีดโอสถสีเขียวขึ้นไปด้านบน

ด้วยคำพูดและการกระทำของมัน ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปยังโอสถสีเขียวเม็ดที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศ

เวลานั้นหนิงเทียนฉวยโอกาสเพียงพริบตาเดียว นำไข่มุกเหมันต์หมื่นปีออกมากุมไว้ภายในมือ

ทันใดนั้นไอเย็นสุดแสนจะพรรณนาถึงปรากฏขึ้นภายในห้อง เรียกสายตาทุกคู่ให้กับมามองไปยังหนิงเทียน หนิงเทียนใช้มืออีกข้างรับโอสถเม็ดสีเขียวก่อนจะเก็บลงแหวนมิติพร้อมกล่าวออก

“ข้าจะถอนดักแด้อัคคี ออกให้พวกเจ้าได้เห็นเดียวนี้”

สิ้นเสียงของหนิงเทียน มันใช้ปลายนิ้วชี้ กดไปยังรอยนูนที่หลังคอของฮูหยินรองด้วยความเย็นของไข่มุกเหมันต์หมื่นปีที่ส่งผ่านไปยังปลายนิ้วลงไปในร่างไร้วิญญาณของฮูหยินรอง

ทันใดนั้น รอยนูนที่หลังคอสั่นไหวเล็กน้อยคล้ายกับว่ามันกำลังจะขยับหนีสิ่งใดอยู่

จากนั้นอีกเพียงไม่กี่ลมหายใจรอยนูนค่อยๆเคลื่อนที่ไปตามปลายนิ้วของหนิงเทียน มันเคลื่อนจากหลังคอผ่านลงมายังไหล่และย้อนกลับไปยังลำคอ

เผยให้เห็นตัวหนอนสีแดงเพลิง ออกมาจากปากของฮูหยินรอง เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นหนิงเทียนจับมันใส่กล่องหยกและรีบยัดลงแหวนมิติอย่างรวดเร็วราวกับว่าดักแด้อัคคีเป็นสมบัติของมัน

ตอนนี้ทุกสายตาภายในห้อง ตกตะลึงถึงขีดสุด ดักแด้อัคคีเหตุใดถึงถูกถอนออกอย่างง่ายดายเช่นนี้ มันเป็นถึงพิษระดับปฐพีสามารถสังหารได้แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับวีรชน

แต่เวลานี้กลับถูกถอนออกโดยเด็กหนุ่มที่ไม่มีแม้แต่พลังลมปราณ เพียงเท่านั้นยังไม่พอ เด็กหนุ่มผู้นี้ยังเก็บมันราวกับว่าเป็นสมบัติของตนเองอีกด้วย นับเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป

หนิงเทียนเห็นสีหน้าอันตกตะลึงและสายตาที่เบิกกว้างของผู้คนโดยรอบ มันเพียงยิ้มออกและกล่าว “ไม่ต้องแปลกใจ เพราะข้าคือ แพทย์อัจฉริยะอันดับ1”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด