ตอนที่แล้วตอนที่34 ฮูหยินรองคบชู้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่36 มุมที่อ่อนโยนของหลี่หวง

ตอนที่35 ความตายของหานชิง


ตอนที่35 ความตายของหานชิง

เรือนร่างบางของหลี่หวงหมุนกลับและเดินจากออกไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา

หานชิงนั่งอดอะไรตายยากอยู่กับพื้น คิดเคี้ยว พินิจคำพูดของหลี่หวงก่อนหน้าอย่างเชื่องช้า นางยกมือขึ้นทุกตีศีรษะของตัวเองไปมาด้วยความโกรธเกลียดในความโง่เขลาของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังที่เคลื่อนห่างออกไปของหลี่หวง

นางตะโกนลั่นสุดเสียงขึ้นว่า

“ได้โปรดดูแลอี้เอ๋อร์ด้วย! ได้โปรด!!”

หลี่หวงชะงักฝีเท้าหยุดลงเล็กน้อย และก้าวย่างเดินจากออกไปโดยไม่สนใจอีกต่อไป

‘นายท่านกล่าวถูกต้อง สตรีผู้นี้ช่างโง่งม กว่าจะรู้ตัวกลับสายเกินไปเสียแล้ว’

สุ้มเสียงของเหยาอวี้ดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง

“เพราะเป็นมนุษย์ยังไงล่ะ”

หลี่หวงกล่าวตอบเสียงเงียบ

‘ทั้งน่าสงสาร ทั้งรู้สึกสมน้ำหน้า และที่สำคัญ...ช่างน่าสังเวช’

“ยังมีอีกเรื่องที่รอให้ข้าจัดการอยู่”

หลี่หวงถอนหายใจเสียงหนึ่ง วันนี้มีเรื่องราวมากมาย ช่างน่าเหนื่อยหน่ายเสียจริง

“เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เมื่อครู่ข้าจำได้ว่า เจ้าถูกคมดาบของพวกนักฆ่าเฉี่ยวแขนมิใช่รึ? เลือดยังไหลซิบอยู่เลย เรื่องแก้แค้นวันหน้ายังไม่สาย”

เหยาอวี้รีบกล่าวหยุดนางก่อนทันที เป็นผู้หญิงประสาอะไรไม่ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองเลย หากเป็นแผลเป็นขึ้นมาจะทำยังไง?

“หืม? ข้ามิยักรู้ว่าโดนฟัน โอ้...เนื้อเปิดเลยแหะ”

หลี่หวงชำเลืองมองบาดแผลบนแขนของตนเอง พลางหัวเราะคิกคักออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

‘นี่เจ้ายังเป็นสตรีอยู่รึเปล่า? ยังจะมาขำอีก! อยากปล่อยให้เป็นรอยแผลเป็นรึไง! ทายาเร็ว! ข้ามียาผงสมานแผลเก็บไว้อยู่!’

เมื่อหลี่หวงได้ยินอีกฝ่ายกล่าวตำหนิด้วยความห่วงใยเช่นนี้ นางเองก็ไม่อยากปฏิเสธเช่นกันจึงหยิบผงยาสมานแผลออกมาจากแหวนมิติ และชโลมลงเนื้อแผลโดยตรง

ทันใดนั้นบาดแผลก็สมานกลับสู่สภาพเดิมภายในระยะเวลาอันสั้น

หลี่หวงสะบัดแขนเสื้อทีสองทีและมุ่งหน้ากลับไปยังตระกูลจวิ๋น

ในช่วงดึก

จวิ๋นรั่วแอบเดินทางจนมาพถึงเรือนบุปผาโปรยปรายในเวลาและตำแหน่งเดียวกันกับเมื่อวาน ดูท่าแล้วนอกจากความเจ้าเล่ห์ที่เห็นจากภายนอก ทว่าเบื้องลึกในใจกลับเร้นแฝงความรู้สึกผิดไว้หลายส่วน

มันก็จริง ท่านแม่ทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกับชายอื่นจนท้อง ยังต้องโยนภาระให้ลูกสาวมาแบกหน้าขอยาแท้งเด็กจากคนอื่น

นี่ชักจะเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ

หลี่หวงหยิบขวดโอสถออกมาและส่งให้กับจวิ๋นรั่ว

“โอสถชนิดนี้ใช้อย่างไร?”

จวิ๋นรั่วเอ่ยถาม

“วันละเม็ดเวลาใดก็ได้ ทานครบแปดวันจึงจะเห็นผล”

หลี่หวงกล่าวเสียงเรียบ

“...ขอบคุณ”

สุ้มเสียงอันแสนแผ่วเบาเสมือนยุงของจวิ๋นรั่วดังผ่านเข้าในหูของหลี่หวง นางแอบกลอกตามองบนใส่นางเล็กน้อย

จวิ๋นรั่วรีบเก็บขวดโอสถไว้ในอกเสื้อเพื่อป้องกันผู้ใดพบเห็น ขณะที่กำลังจะเดินออกไป นางก็พลันได้ยินคำเตือนจากหลี่หวงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“โอสถนี้เป็นพิษ หากบริโภคมากเกินขนาดย่อมไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

แข้งขาของจวิ๋นรั่วอ่อนยวบแทบทรุดลงกับพื้น

นางฝืนใจเดินออกจากเรือนบุปผาโปรยปรายอย่างรวดเร็ว

‘เจ้าเตือนเช่นนี้ไป มีหรือที่สมองโง่เง่าอย่างนางจะเข้าใจ?’

“ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ แต่ข้าก็ได้เอ่ยเตือนไปแล้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นหลังจากนี้จะได้ไม่รู้สึกละอายใจ”

หลี่หวงคลี่ยิ้มบางและกล่าวต่อว่า

“เจ้าออกมาได้แล้ว ถึงเวลาหลอมกลั่นโอสถต่อ”

“เข้าใจแล้ว”

เหยาอวี้ลอยออกมาพร้อมกับหม้อหลอมโอสถวิเศษในมือ จับตั้งวางลงบนพื้นอย่างมั่นคง

“แต่เจ้าตั้งใจจะช่วยนางทำแท้งจริงๆ รึ? แล้วแบบนี้จะหาทางจัดการนางได้อย่างไร?”

เหยาอวี้ลอยเคว้งแหวกว่ายไปมากลางอากาศ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

มันไม่เข้าใจความคิดของมนุษย์เลยจริงๆ

“เห็นข้าเป็นคนดีขนาดนั้นเลย?”

หลี่หวงเอ่ยถามสวนกลับไปคำหนึ่ง ทันใดนั้นนางก็แสยะยิ้มฉีกกว้างออกมา

“คนบงการเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลังอย่างนาง จะไปมีจุดจบที่สบายกว่าหานชิงได้อย่างไร?”

“เจ้าอย่ายิ้มแบบนั้นให้ข้าเห็นอีก ข้ากลัว! เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว...ข้าจะรอดู”

เหยาอวี้สั่นสะท้านไปทั่วร่างยามได้เห็นรอยยิ้มอันสยดสยองของหลี่หวง ถึงขนาดขนลุกขนพองขึ้นเฉียบพลัน

“จะว่าไป...เจ้าวางแผนอย่างไรบ้างรึ?”

“ให้นางมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน รอจนกว่างานศพของหานชิงจะครบเจ็ดวัน ตอนนั้นก็ถึงตานางแล้ว”

“งานศพ? แต่หานชิงยังไม่ตายเลยมิใช่รึ?”

เหยาอี้เอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า ไฉนนางถึงกล่าวเช่นนี้

“คนที่ไม่เหลืออะไรในชีวิตแล้วอย่างนาง จุดจบเดียวที่รออยู่คือตายอันแสนโดดเดี่ยวที่มาพร้อมกับความสิ้นหวัง ยามนี้คงกำลังเดินเตร่ไปทั่วเมืองดั่งขอทาน และกำลังจะตายลงในอีกไม่ช้า”

หลี่หวงตอบโดยปราศจากความรู้สึกใดเจือปน

หลี่หวงกดสายตาเคลื่อนลงต่ำ และกางฝ่ามือออกมาปรากฏสิ่งของชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ

มันเป็นปิ่นปักผม

“นี่หาใช่ปิ่นปักผมของเจ้าที่นางกล่าวถึงหรอกรึ? ไปขอมาตั้งแต่เมื่อใด?”

“คนมันกำลังจะตาย ไยต้องขอให้เสียเวลาเล่า?”

หลี่หวงเหลือบสายตามองอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเร่งเร้ากระตุ้นเพลิงบัวโลหิตในกายให้ลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือ และเผาปื่นปักผมจนกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา

นางไม่อยากให้สื่งของชิ้นนี้อยู่กับศพของหานชิงที่กำลังจะตายในอีกไม่นาน บางทีสองแม่ลูกคู่นั้นอาจใช้เจ้าสิ่งนี้ใส่ร้ายนางว่าเป็นคนฆ่าฮูหยินใหญ่ให้จวิ๋นจ้านฟังก็เป็นได้

และเพียงเพราะเจ้าปิ่นปักผมชิ้นน้อยชิ้นนี้ จึงทำให้หานชิงเข้าใจผิดและเล็งเป้ามาใส่หลี่หวง จนสุดท้ายต้องเสียทุกอย่างทั้งหมดในชีวิตไป นี่มันไม่คุ้มกันเลย

แต่อย่างไร ถ้าพูดกับตามตรง หานชิงเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดแล้ว บางทีความตายอาจเป็นทางเลือกที่ดี ยังดีกว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตกับความผิดบาปตลอดไป

บาปกรรมมันไม่สนหรอกว่าปมเหตุเป็นมาอย่างไร ในเมื่อมีเจตนาที่จะฆ่าคนๆ หนึ่งและลงมือทำจริง เท่านี้ก็นับว่าเป็นบาปและต้องรับการชดใช้แล้ว ส่วนที่ว่าจะชดใช้ตอนไหนกลับขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

หลี่หวงกับเหยาอวี้สบตากันเล็กน้อยและไม่กล่าวอันใดกันต่ออีก เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดต่างก็ทราบดีอยู่แก่ใจแล้ว

เพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นภายในเรือนของหลี่หวงยามดึกดื่น หลี่หวงฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถอย่างบ้าคลั่งถึงสามวันสามคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน

ในคืนนั้นหานชิงไม่ได้กลับมายังจวนตระกูลจวิ๋น และก็เป็นจวิ๋นจ้านที่รีบเร่งส่งคนออกไปตามหา แต่ปรากฏว่า อีกฝ่ายกลับกลายเป็นศพนอนตายอยู่ข้างถนนในเมืองอันกว้างใหญ่

หลังจากที่หลี่หวงตื่นนอนขึ้นมาวันนี้ นางก็เดินออกไปล้างหน้าล้างตา และก้าวออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกตัวเรือน

ทว่าเวลานี้ทั่วทั้งจวนตระกูลจวิ๋นกลับเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมดสิ้น

บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเศร้าซึม

“ฮั่วหยาง เสี่ยวอี้ตื่นรึยัง?”

ขณะที่กำลังสูดอากาศอยู่นอกตัวเรือน นางก็หันมาถามฮั่วหยางที่คอยดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้จวิ๋นอี้ในช่วงที่ผ่านมา

“ยังเลย”

“ปลุกเขาแล้วพาไปที่ลานกว้างหน้าเรือนหลัก”

“รับทราบ”

ในช่วงเวลาแบบนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นักหากให้หลี่หวงไปคุยกับจวิ๋นอี้เอง แม่ทั้งคนต้องมาตายแบบนี้ ควรปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่กับตัวเองสักพัก

พอมาถึงสถานที่จัดงานศพ จวิ๋นจ้าน ฮูหยินรองและจวิ๋นรั่ว ทั้งสามสวมชุดสีขาวไว้อาลัยและกำลังคุถกเข่าลงอยู่หน้าโลงศพ

หลี่หวงมองสีหน้าการแสดงออกของทั้งสามที่ดูโศกเศร้าไม่ต่างกัน ทว่านางกลับเดาออกว่าแต่ละคนกำลังคิดอะไรอยู่

“หลี่หวงเจ้ามาแล้ว...”

เมื่อจวิ๋นจ้านได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็หันออกไปมองหลี่หวงที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกตัวเรือน ในท่าไว้ทุกข์ด้วยสีหน้าโศกเศร้า

จวิ๋นจ้านเผยรอยยิ้มบางอันสุดแสนจะขมขื่นออกมา

ฮูหยินรองแสร้งทำเป็นเศร้าโศก คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพร้องร่มร้องไห้ไม่หยุด ส่วนจวิ๋นรั่วได้แต่นั่งพับเพียบจับจ้องโลงศพตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก่อนจะหันไปมองหลี่หวง

หลังจากที่นางหันมา ก็บังเอิญสบสายตากับหลี่หวงโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอีกฝ่ายเองก็ยิ้มตอบให้เช่นกัน

ทว่ารอยยิ้มนั่น...เหตุใดถึงน่าสยดสยองปานนั้น...

จวิ๋นรั่วเนื้อตัวสั่นสะท้านขึ้นทันใด

นางเข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั่นได้ทันที ราวกับอีกฝ่ายกำลังจะสื่อว่า

‘จงดูไว้...งานต่อไปคือพวกเจ้า!’

เมื่อนึกได้เช่นนั้น จวิ๋นรั่วก็รีบหันกลับมาก้มหน้าก้มตา ร่างกายสั่นเทาอย่างหยุดไม่ได้ราวกับคนเป็นไข้

หลี่หวงหาได้สนใจกับท่าทีของจวิ๋นรั่วแม้สักนิด นางเดินไปหามุมนั่งและขัดสมาธิอย่างสงบ

“หลี่หวง เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนเลยงั้นรึ?”

จวิ๋นจ้านจับจ้องไปที่หลี่หวงด้วยสีหน้าอ่อนแรง ก่อนพบว่า เด็กคนนี้คงนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนวาน

ใต้ตาดำของหลี่หวงมีรอยหมองคล้ำจางๆ ดูแล้วปราศจากชีวิตชีวา

“อืม”

หลี่หวงกรนเสียงเย็นพ่นออกจากโพรงจมูก

จวิ๋นจ้านกำลังจะเอ่ยปากเสมือนว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอก พร้อมกับจวิ๋นอี้ที่กำลังวิ่งเข้ามา

“ท่านแม่!!!”

จวิ๋นอี้รู้สึกโศกเศร้าอย่างหาที่สุดไม่

จวิ๋นอี้ตาบอดมองอะไรไม่เห็น เวลานี้ทำได้เพียงยกสองมือปัดไปมา ด้วยความเร็วของเขาให้สาวรับใช้ทั้งสองที่มาพาตามไม่ทัน จนทำให้จวิ๋นอี้เอ๋ยสะดุดธรณีประตูเรือนล้มหัวคะมำลง แต่เขาก็ยังไม่หยุดแค่นั้นและพยายามตะเกียดตากายลุกขึ้นวิ่งต่อ

ภายในหัวของเขาคิดแค่ว่า อยากรีบไปหาแม่เร็วๆ

“อี้เอ๋อร์...”

จวิ๋นจ้านเอ่ยปากเรียกบุตรชายของเขาเบาๆ

รีบวิ่งเข้ามากอดก่อนที่จวิ๋นอี้จะวิ่งชนเข้ากับโลงศพ จับมือน้อยๆ ของเขาพร้อมเอามาสัมผัสกับโลงศพอันเย็นเฉียบตรงหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า

“อี้เอ๋อร์ แม่ของเจ้าอยู่นี่แล้ว”

จวิ๋นอี้สะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก ดวงตากลมโตสีครามฟ้าบริสุทธิ์ในอดีต กลายมาเป็นสีเทาหม่นประกายที่ยามนี้มีน้ำตารินไหลออกมา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด