ตอนที่แล้วตอนที่30 ความเจ็บปวดจากที่ตาบอด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่32 หากไม่ล้ำเส้นข้า ข้าก็ไม่คิดล้ำเส้นคนอื่น

ตอนที่31 ต้องฆ่านาง!


ข่าวดีครับ

…..

…….

ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้มาแล้วนะครับ!!

แปลอ่านกันยาวๆเลยจ้าา><

******************

ตอนที่31 ต้องฆ่านาง!

“อยู่ในเรือนบุปผาโปรยปรายจนกว่าเจ้าจะคิดออก”

หลี่หวงจูงมือจวิ๋นอี้ไปพาอีกฝ่ายไปทานข้าว

จวิ๋นอี้เงียบปากลง ดวงตาที่หม่นหมองไร้แววยิ่งทวีความเทาทึบเพิ่มอีกหลายส่วน

ณ ลานกว้างหน้าเรือนหลัก

หานชิงจับจ้องไปยังศพของพี่ชายตังเองด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นลานหน้าเรือน เสี้ยวพริบตาที่เป็นนางถึงขั้นตกตะลึงจนใบหน้าซีดเผือด

เมื่อวานพี่ใหญ่ยังมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉงอยู่เลยมิใช่รึ? ไฉนวันนี้ถึงนอนกลายเป็นศพแข็งไปเสียแล้ว!?

ฮูหยินรองที่ได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นก็รีบพาจวิ๋นรั่วกับประมุขตระกูลอย่างจวิ๋นจ้านมากันทันที พอมาถึงก็พบเห็นเหาชิงกำลังคุกเข่าต่อหน้าศพของพี่ชายคนโตด้วยสีหน้าเหม่อลอยไร้สติ

ร่างของหานกวงไม่ขยับเขยื้อนแล้ว แถมยังเน่าเปื่อยเละ จะเห็นได้ชัดว่าตอนตาย อีกฝ่ายไม่ได้ตายดีเลย

“ทำไม...พี่ใหญ่ตายแล้ว...ทั้งพ่อและแม่ข้า...แม้แต่พี่น้องทุกคน...ล้วนตายสิ้นแล้ว ข้า...ข้าไม่เหลือญาติสักคนแล้ว...”

จู่ๆ น้ำตาสายหนึ่บงก็รินไหลออกมาจากดวงตาของหานชิง น้ำเสียงของนางแหบแห้งปราศจากเรี่ยวแรง

ทั่วทั้งใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความโศกเศร้า

ทว่าเพียงปราบตาเดียว ฮูหยินรองก็พึงทราบว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลว สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดคือ หานกวงผู้มีระดับชั้นแกร่งกล้า ไฉนถึงมาตายสภาพเช่นนี้ได้? หรือเป็นไปได้ไหมว่า...นังแพศยาจะมียอดฝีมือผู้สูงส่งคอยหนุนหลัง?

นางขบฟันแน่นกดังกรอดด้วยความเจ็บแค้นใจ พลางสบถกับตัวเองว่า

‘หานชิง!นังโง่!เรื่องง่ายๆ เช่นนี้กลับทำล้มเหลวเสียได้!แถมหาใช่แค่พลาดพลั้ง แต่ยังก่อความวุ่นวายใหญ่โตจนต้องลำบากคนอื่นอีก!’

จวิ๋นรั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ พบเห็นภาพฉากศพเน่าเปื่อย น้ำหนองไหลเยิ้มเช่นนี้ นางก็อดที่จะอยากอาเจียนมิได้

สภาพศพของหานกวงหาได้สมบูรณ์นัก เนื่องจากยังมีผงพิษที่สูดดมไปตกค้างในร่างกาย ทำให้พอเสียชีวิตลงไปทำให้ซากศพเริ่มเน่าเปื่อยเร็วขึ้น ถ้ามิใช่เพราะใบหน้าที่ยังคงรูปลักษณ์สมบูรณ์กว่าครึ่ง คงไม่มีใครจำได้เช่นกันว่าเป็นใคร

และจวิ๋นจ้านนั้น...ยามนี้ปั้นสีหน้าช่างซับซ้อนยิ่ง

เมื่อเขาพบเห็นภาพฉากนี้ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอที่จะเอ่ยปากตำหนิหานชิงภรรยาของเขา แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกเกรี้ยวโกรธจนจุกอก ทั้งๆ ที่กำชับกับนางไปแล้วว่า อย่าไปยั่วโมโหคนในเรือนบุปผาโปรยปรายแล้วแท้ๆ ไฉนพูดแล้วถึงไม่ฟังเล่า!

ลุงคนโตหานกวงได้สิ้นใจตายลงไปแล้ว ซึ่งเขาผู้นี้เป็นถึงนักอัญเชิญชั้นสูงและยังเกิดในตระกูลนักฆ่า ทว่าตอนนี้กลับนอนแน่นิ่งบนแผ่นพื้นอันแสนเย็นเฉียบ สภาพช่างอเนจอนาถนัก

นักฆ่ายอดฝีมืออย่างเขา ใครจะไปคิดว่าจะต้องมีจุดจบเช่นนี้กัน

นอกจากนี้เอง ณ ปัจจุบันตระกูลหานไม่เหลือใครอีกต่อแล้ว ไพ่ตายสุดท้ายที่หนุนหลังหานชิงได้แตกสลายเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยในชั่วพริบตา

“จวิ๋นหลี่หวง...”

ทุกคนต่างเอ่ยขานชื่อนี้โดยพร้อมเพรียง ต่างน้ำเสียงต่างความรู้สึกกันออกไป

“ข้าจะฆ่านาง!”

หานชิงดวงตากลมโตสีแดงก่ำราวกับเลือด นางแผดจิตสังหารออกมาจากภายในก้นบึ้งหัวใจ พร้อมพุ่งไปยังเรือนบุปผาโปรยปรายโดยไม่สนอะไรอีกต่อไป

ต้องฆ่ามัน!ต้องฆ่ามันเพื่อแก้แค้นให้พี่ใหญ่!แก้แค้นให้อี้เอ๋อร์!!

ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

ฮูหยินรองกับจวิ๋นรั่วยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เหลือกันอยู่สองคน ณ ตรงนั้น โดยเฉพาะกับฮูหยินรองที่เวลานี้ยิ่งเห็นทุกอย่างวุ่นวายโกลาหลไปหมด นางก็ยิ่งชูอกยืดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

“สุนัขกัดกับสุนัข ช่างเป็นละครฉากหนึ่งที่น่าอภิรมย์นัก”

ฮูหยินรองระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่น แม้ว่าผลลัพธ์จะแตกต่างจากจากตอนแรกที่คาดเอาไว้ ทว่าตอนนี้นางก็ยังรู้สึกว่า ตนยังไม่แพ้

จวิ๋นรั่วยืนนิ่งขบริมฝีปากแน่น เหลือบสายตามองไปทางแม่ของนาง สายตาที่สาดสะท้อนเจือแววไม่ค่อยสบายใจ

“ท่านแม่ ดวงตาของน้องสาม...”

“มันตาบอดแน่นอน เว้นเสียแต่เทพหงสาจุติลงมาช่วย ชาตินี้อย่าได้เห็นแสงตะวันอีกเลย!”

ฮูหยินรองที่ได้ยินคำถามของบุตรสาวตัวเองก็พลางคิดไปว่า นางน่าจะกังวลกลัวว่าดวงตาของจวิ๋นอี้จะหายดีเป็นปกติ

จวิ๋นรั่วใจหายวาบตกลงไปยังตาตุ่ม ทว่ากลับปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา

ภายในเรือนบุปผาโปรยปรายในตอนนี้ มีเพียงสามรับใช้สองคนกับหลี่หวงและจวิ๋นอี้เท่านั้น

แน่นอนว่าสาวรับใช้สองคนนี้ไม่ใช่คนที่ฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองส่งมา แต่ได้มาจากตลาดค้าทาสที่นางไปซื้อมาในคืนงานประมูล

คนรับใช้ที่มารับอาสาเรื่องอาหาร ปกติไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าหลี่หวงเท่าไหร่

สำหรับสาวรับใช้สองคนนั้นที่ฮูหยินทั้งสองส่งมา หนึ่งในนั้นคือผู้ทรยศ พอหลี่หวงจับได้ก็นำนางคนนั้นมากรอกพิษใส่ปาก ทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตและโยนทิ้งป่าข้างจวนไปแล้ว คาดว่าศพของนางในปัจจุบันคงถูกหมาป่าเจ้าถิ่นกัดกินจนไม่เหลือซากแล้ว

ส่วนสาวรับใช้อีกคนที่หานชิงส่งมา ก็ถูกหลี่หวงเฉดหัวไล่ไปแล้ว

ตอนนี้ท่าทีของหานชิงที่มีต่อนางเริ่มเป็นไปในทางลบมากกว่าทางบวก ดังนั้นนางจึงไม่อยากเก็บตัวปัญหาไว้ใกล้มือ

ในลานหลังเรือนบุปผาโปรยปราย หลี่หวงกำลังฝึกปรือเพลงกระบี่อยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่จวิ๋นอี้นั่งนิ่งอยู่เงียบๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล

เนื่องจากเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อีกต่อไปแล้ว จวิ๋นอี้เริ่มทำใจปลงได้ในระดับหนึ่ง จากที่ร้องไห้โวยวายรับสภาพตัวเองในปัจจุบันมิได้ บัดนี้ได้นั่งนิ่งดูสงบลงเยอะ

เขากำลังนั่งเพ่งสมาธิฟังเสียงอวดดัง ‘วืดวาด’ ของคมกระบี่ที่ฉีกผ่านห้วงอากาศ ทั้งยังมีสุ้มเสียงของฝีเท้าจากหลี่หวงกำลังรำเพลงกระบี่กระทบใบหญ้า เสียงลู่ลมโบกสะบัดพัดผ่านกิ่งไม้จนเกิดเสียง เสียงเหล่านี้แล่นผ่านใบหูเข้าไปในห้วงความคิดอันว่างเปล่าของจวิ๋นอี้ ยามนี้แค่นั่งฟังเสียงรอบตัวอย่างสงบโดยไม่คิดอะไรอื่น

อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่จวิ๋นอี้รู้สึกอุ่นใจได้ ถ้าได้ยินเสียงเหล่านี้แสดงว่าหลี่หวงยังอยู่ข้างๆ เขา

หลี่หวงถือตำรากระบี่ไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็กำลังร่ายรำกระบี่เทพฤทัย นางฝึกปรือตามตำราสอนอย่างตั้งอกตั้งใจ

กระบี่เทพฤทัยเป็นกระบี่ยาวที่สตรีนิยมใช้

สำหรับผู้หญิงโดยทั่วไป ช่วงแรกที่ฝึกจะรู้สึกว่ากระบี่เหล่านี้หนักมือเป็นอย่างมาก แต่สำหรับหลี่หวง นางถือเหวี่ยงไปมาได้อย่างสบายๆ

บนตัวคมกระบี่เป็นสีเงินทั้งเล่ม พอนำส่องสะท้อนกับแสงจะแผดปรากฏสีสันหลากหลายสาดกระจายดูน่าพิศวง มองผ่านสายตาดูงดงามอย่างบอกไม่ถูก

ในเวลาเดียวกัน ฮูหยินใหญ่หานชิงรีบวิ่งตรงเข้ามาถึงหน้าประตูเรือนบุปผาโปรยปราย แต่กลับเห็นฮั่วหยางยืนตระหง่านกอดอกขวางไว้อยู่ รอบกายาปรากฏเพลิงบัวโลหิตลุกโชนปะทุขึ้น

“ไสหัวไปไอ้เด็กเหลือขอ!”

หานชิงในยามนี้ไม่สนอะไรอีกแล้ว นางรีบโบกมือไล่อีกฝ่ายราวกับเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง

“ข้าไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเข้าไปได้ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็มิอาจอนุญาต!”

ฮั่วหยางเร่งเร้าเพลิงบัวโลหิตรอบกายจนปะทุเดือดดาล บับบังคับให้หานชิงร่นถอยหลังออกไปได้ในพริบตา

“ท่านอสูรศักดิ์สิทธิ์!ข้าเพียงต้องการให้เจ้านายของท่านอธิบายเรื่องหานกวงแก่พวกเราฟังก็เท่านั้น!ไฉนเขาถึงตายกลายเป็นศพอยู่ในจวนจวิ๋นของเราได้!”

จวิ๋นจ้านที่รีบวิ่งติดตามหานชิงมา เร่งเข้ามาฉุดร่างของภรรยามิให้โดนเพลิงบัวโลหิตแผดเผาและกล่าวอธิบายทันที

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว จวิ๋นจ้านหาได้สนไม่ว่าหานกวงจะตายอย่างไร แต่เพียงต้องการหาข้ออ้างพบปะกับนักหลอมโอสถลึกลับคนนั้น

“หึม!แล้วเจ้าคิดว่าเพราะสาเหตุใด? เกรงว่าไม่ต้องไถ่ถามนายท่านคงทราบดีอยู่แก่ใจ?”

ฮั่วหยางเค้นเสียงเย็นชาสะท้านเข้าใส่ ต่อหน้าเขาแบบนี้แล้ว แม้แต่จวิ๋นจ้านยังไม่คิดที่จะพูดด้วยความสัตย์จริง

“นายท่านเคยลั่นวาจาเอาไว้ ผู้ใดบุกรุกเรือนบุปผาโปรยปราย ผู้นั้นตายสิ้น!”

“เมื่อคืนมีคนจ้องจะเอาชีวิตนายท่าน!หากไม่ฆ่าทิ้งคงปล่อยให้มันชิงลงมือก่อนกระมัง?”

ฮั่วหยางรู้สึกเกรี้ยวโกรธอย่างมากเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อคืน มันกำลังนอนหลับอยู่ในห้วงมิติอสูร จึงไม่สามารถกระโดดออกมาช่วยนายท่านของมันได้ทันท่วงที จนเจ้านายของมันต้องตกอยู่ในอันตรายท้ายที่สุด...นี่ถือเป็นความประมาทของตัวเองเองเช่นกัน!

โชคยังดีที่เจ้านายของมันได้รับการช่วยเหลือจากชายหน้าสวยดั่งสตรี มิฉะนั้นมันคงนั่งร้องไห้รู้สึกผิดจนไม่เหลือน้ำตาแล้ว

ปัจจุบัน นายท่านได้มอบหมายภารกิจเอาไว้ ไม่ว่ายังไงมันจะต้องทำให้สำเร็จ!

มันไม่สามารถทำให้เจ้านายต้องผิดหวังได้อีกแล้ว!

“ทว่าเรื่องนี้ยังมิทราบที่มาที่ไป สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์โปรดเรียนเชิญนายท่านออกมาเถิด ไม่ว่ายังไงเราอยากถามต่อหน้ามากกว่า”

ฮั่วหยางไม่จำเป็นต้องไว้หน้าสองคนนั้นอีกต่อไป ร่างน้อยยืนกอดอกแน่นไม่พูดไม่จา แม้จะไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวอะไร แต่ถ้าจวิ๋นจ้านหรือแม้แต่หานชิงก้าวเข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว มันจะใช้เพลิงบัวโลหิตเผาให้เป็นจุณทันที!

ณ ลานภายใน

“พี่หลี่หวง ข้างนอกดูเหมือนจะมีเรื่อง เสียงดังวุ่นวายมากเลย”

ปัจจุบัน ความสามารถในการได้ยินของจวิ๋นอี้ค่อนข้างเฉียบคมมาก เพียงสุ้มเสียงหนึ่งหลุดรอดออกมาแค่เล็กน้อย เขาก็ได้ยินในทันที

“อืม”

หลี่หวงกรนเสียงหนึ่งตอบและฝึกกระบี่ของนางต่อไป

นางเองก็ได้ยินเสียงจากตัวเรือนด้านนอกนานแล้วเช่นกัน หลังจากเลื่อนขั้นกลายมาเป็นนักอัญเชิญชั้นกลาง ปฏิกิริยาเชิงตอบสนองของสัมผัสทั้งห้าของนางล้วนเฉียบคมขึ้นทุกด้าน หูของนางสามารถได้ยินเสียงจ่ากทุกสารทิศ

“แล้วเกิดอะไรขึ้นรึ?”

แม้จวิ๋นอี้จะได้ยิน แต่ใช่ว่าจะสามารถฟังทุกคำพูดได้อย่างชัดเจน

“พ่อกับแม่เจ้ากำลังแหกปากโวยวายอยู่หน้าทางเข้าเรือน แต่ถูกฮั่วหยางขวางเอาไว้”

“ท่านพ่อกับท่านแม่มาแล้วรึ?”

“เจ้าอยากพบพวกเขา?”

แค่หลี่หวงได้ฟังก็พึงทราบ ประโยคนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมหนึ่งในจิตใจของจวิ๋นอี้

“...พี่หลี่หวงพาข้าไปได้หรือไม่?”

หลี่หวงเก็บกระบี่เข้าฝักและจจูงมือของจวิ๋นอี้เดินออกไปที่หน้าประตู

ไปดูหน่อยเถอะ...ก็ดีเหมือนกัน

อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ให้จวิ๋นอี้มองเห็นความเป็นจริงสักที เผื่อว่าจะเข้าใจอะไรมากยิ่งขึ้น

“หลี่หวง”

จวิ๋นจ้านยังคงยืนนิ่งวิตกกังวลไม่กล้าเหยียบย่างก้าวเข้าไป ต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองไฟวิเศษเช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาคงต้องตายเช่นกัน

แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลี่หวงกำลังเดินตรงออกมาทางนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด