WMR ตอนที่ 11 คืนยาวนานที่นอนไม่หลับ
“คุณชาย ท่านสามารถกลับไปพักผ่อนต่อได้เลย ส่วนท่านฟุลเนอร์ปล่อยให้เราจัดการเอง”
ในที่สุด หลังจากเงียบอยู่นาน ชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายพ่อบ้านก็ปรากฏตัวและพูดขจัดบรรยากาศที่น่าอึดอัดออกไป
คุณชาย?
หัวใจของกู้เป่ยขยับ
“อืม ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ”
คงเป็นเรื่องน่าขบขันที่ได้พบกับชายแปลกหน้าซึ่งว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่รกร้าง คนส่วนใหญ่มักจะเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะโพสต์ภาพของเขาไปยังเวย์ปั๋ว แต่ในฐานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรม เขาไม่สามารถไหลไปตามสถานการณ์และสนุกไปกับความโชคร้ายของผู้อื่นได้ นอกจากนี้มันจะเป็นการดีกว่าที่เขาจะออกจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด ด้วยความสัตย์จริงกู้เป่ยไม่ได้สนใจชายผู้นี้เลยสักนิด ก็ใครใช้ให้เขาออกมากลางดึกเพื่อแสร้งทำเป็นผี และโดนอุจจาระราดกันเล่า
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่สำคัญกว่าคือสถานการณ์ปัจจุบันของกู้เป่ย
เมื่อมองดูรูปร่างหน้าตาของคนรอบตัว และการตกแต่งของคฤหาสน์หลังนี้แล้ว เขาก็คาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันได้หลายส่วน
เขาในตอนนี้ได้กลับมาถึงตระกูลลิเธอร์เป็นที่เรียบร้อย
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเขากลับมาที่นี่ได้ยังไง แถมยังกังวลอีกว่าความจริงที่เขาเป็น ‘คุณชาย’ กำมะลอจะแตก แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน เพราะอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ปลอดภัยชั่วคราว สิ่งนี้ทำให้เขาโล่งใจมากขึ้น
ภายใต้คำสั่งของพ่อบ้าน ผู้หญิงสามคนที่ดูเหมือนสาวใช้ก็โผล่ออกมาจากฝูงชน พร้อมถือถังไม้และผ้าขี้ริ้ว ก่อนจะเริ่มทำความสะอาดชายผมบลอนด์และสิ่งสกปรกที่เลอะตัวเขาอยู่ คนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ ค่อย ๆ แยกย้ายกลับไปที่เดิมของตน แต่จากสีหน้าของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปช่วงหนึ่ง
กู้เป่ยก็กลับไปที่ห้องของเขาเช่นกัน
เขานอนลงบนเตียงที่เขาตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก
สิ่งที่เขาต้องย่อยเวลานี้มีมากเกินไป
“ปัญญาประดิษฐ์ล้ำสมัยสุดยอดไร้เทียมทาน นายช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” เขาถามระบบในใจ “แล้วเมื่อกี้ฉันเรียกหานายตั้งหลายครั้ง นายหายไปไหนมา?”
ระบบไม่ตอบ
“อย่ามาแกล้งตาย ฉันรู้ว่านายกำลังฟังอยู่ทุกคำ”
“ครืด ครืด กำลังเปิดเครื่อง” เสียงที่คุ้นเคยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาและเคอะเขิน "สวัสดี! นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรา ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยไหม?"
เส้นเลือดบนหน้าผากของกู้เป่ยผุดขึ้นมา "นายแกล้งโง่?"
เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครในอนิเมะ โดยมีเส้นเลือดนูนบนหน้าผากเป็นกากบาทแสดงถึงความโกรธ
“....ข้าผิดไปแล้ว” ความเร็วที่ระบบเปลี่ยนอารมณ์นั้นน่าทึ่งมาก “ก่อนหน้านี้มันมีข้อมูลระเบิดในฐานข้อมูล ข้าจึงต้องเน้นการประมวลผลทั้งหมดไปกับการจัดเรียงข้อมูลพวกนั้น ข้าเลยไม่มีเวลามาตอบท่าน ขอโทษด้วยจริง ๆ”
ความโกรธของกู้เป่ยลดลงเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามอีกครั้ง:
"เกิดอะไรขึ้นกับฐานข้อมูล? มีข้อมูลประเภทไหนโผล่ออกมา?"
ระบบตอบ “มันเป็นความทรงจำดั่งเดิมของร่างนี้ เมื่อคนทำความสะอาดพยายามดึงความทรงจำของท่านออกมา ความทรงจำพวกนั้นก็ปรากฏขึ้นทันที นอกจากนี้ปริมาณข้อมูลยังมีมากเกินกว่าที่ฐานข้อมูลสามารถจัดการได้จนทำให้มันพัง ข้าต้องใช้เวลาทั้งหมด 3 วันเต็มในการแก้ไข”
กู้เป่ยรู้สึกว่าประโยคเมื่อครู่มีข้อมูลมากมายแฝงอยู่
คนทำความสะอาดดึงความทรงจำของฉัน? อะไรวะเนี่ย?
แถมยังผ่านไปสามวันแล้ว?
ดูเหมือนมีอะไรเกิดขึ้นมากมายระหว่างที่เขาหมดสติ
“ทำไมคนทำความสะอาดถึงต้องดึงความทรงจำของฉันด้วย อีกอย่างคือพวกเขาเป็นคนส่งฉันกลับมาที่นี่เหรอ?” กู้เป่ยถาม “แล้วมิเชลล่ะ? เธอปล่อยฉันมา?”
เสียงระบบฟังดูเขินอาย “ท่านมีคำถามมากเกินไป ดูเหมือนข้าจะพังอีกครั้ง”
เส้นเลือดของกู้เป่ยโผล่ขึ้นมาอีกรอบ
“หลังจากท่านสลบ มิเชลก็รีบหนีไปทันที” เสียงของระบบกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ไม่นานหลังจากนั้นพวกคนทำความสะอาดก็รีบวิ่งเข้ามา และพาท่านออกไป พวกเขาทำการทดลองกับท่านอยู่สองวัน จากนั้นจึงใช้วิธีบางอย่างเพื่อพยายามเข้าถึงความทรงจำของท่าน”
กู้เป่ยรู้สึกกลัว "เข้าถึงความทรงจำของฉัน? งั้นพวกเขารู้ไหมว่าฉันใช้เวทมนตร์ได้?"
ถ้าคนของศาสนจักรรู้เรื่องนี้เข้าเขาจบเห่แน่
“ไม่ ท่านค่อนข้างโชคดี” ด้วยเหตุผลบางอย่างน้ำเสียงของระบบฟังดูรังเกียจเล็กน้อย “ขณะที่พวกเขาบุกเข้ามาในความทรงจำของท่าน นั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมปรากฏขึ้นมาพอดีทำให้มันถูกอ่านโดยพวกเขา ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงไม่พบความทรงจำของท่านก่อนที่ท่านจะมายังโลกนี้ พวกเขาคิดว่าท่านถูกแม่มดลักพาตัวมา และถูกแอนนี่ทรมานจนท่านหมดสติ จากนั้นพวกเขาก็พบท่าน ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็นำท่านมาส่งยังตระกูลลิเธอร์ได้อย่างปลอดภัย”
หลังจากได้ยินเช่นนั้นกู้เป่ยก็ถอนหายใจด้วยโล่งอก
ยังดีที่พวกเขาไม่รู้ตัว
บอกตามตรงว่าแผนใช้บอลน้ำล่อคนทำความสะอาดมาช่วยของเขาเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย เพราะหากพวกเขามีเทคนิคพิเศษบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าใครเป็นคนใช้เวทมนตร์เขาก็คงจบลงแค่ตรงนั้น
แต่เขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อันที่จริงส่วนใหญ่แล้วสาเหตุที่เขาต้องใช้วิธีที่สิ้นหวังแบบนี้เป็นเพราะเขาไม่ต้องการเห็นมิเชลได้สิ่งที่เธออยากได้ เอาเข้าจริงขณะที่เขาร่ายคาถาวอเทอร์บอล เขาในเวลานั้นยังไม่ได้เตรียมใจ และกลัวว่าตัวเองจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ด้วยซ้ำ
โชคดีที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่เขาคิด
แม้กู้เป่ยจะยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไมมิเชลถึงปล่อยเขาไปง่ายดายนัก แต่ในเมื่อมิเชลปล่อยเขามาแล้ว เขาจะไปคิดเรื่องนี้ให้รกสมองไปทำไม? แค่คิดว่ามันเป็นวันที่โชคดีวันหนึ่งของเขาก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?
ขอบคุณสวรรค์ หลังจากที่โชคร้ายมานาน ในที่สุดเขาก็มีโชคดีกับเขาบ้างเสียที
“อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะเมื่อครู่ท่านเพิ่งก่อปัญหาใหญ่” ระบบนี้ดูเหมือนจะมีนิสัยชอบสาดน้ำเย็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์นัก “คนที่ท่านขว้างของเสียใส่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา”
“.... เขาเป็นใคร?”
"ดิ๊ก ฟุลเนอร์ บุตรชายคนโตของตระกูลฟุลเนอร์" ระบบตอบกลับ “ตระกูลฟุลเนอร์เป็นตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียง บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นตลกหลวงที่โด่งดังอันเนื่องมาจากขณะที่กำลังแสดงการพ่นไฟพวกเขาบังเอิญเผานักฆ่าที่พยายามลอบปลงพระชนม์กษัตริย์จนถึงแก่ความตายเป็นผลให้พระองค์ทรงยินดี และประทานยศขุนนางให้แก่พวกเขา จนถึงตอนนี้ ตระกูลฟุลเนอร์ได้เข้ายึดครองวงการบันเทิงของเมืองหลวงทั้งหมด”
กู้เป่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามออกมา “ถ้าเปรียบกับตระกูลลิเธอร์ล่ะ?”
“น่าจะตามหลังอยู่นิดหน่อย”
“งั้นทำไมฉันต้องกลัวมันด้วยเล่า?”
“...” ระบบพูดไม่ออก
สถานการณ์ปัจจุบันของกู้เป่ยละเอียดอ่อนมาก เขาไม่มีเวลามาสนใจว่าเขาไปทำให้ใครขุ่นเคือง คำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือเขาต้องทำยังไงถึงจะแทนที่แกรนท์ ลิเธอร์ได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใช่ ‘คุณชาย’ คนเดิม หากเขาถูกพบปัญหาที่ตามมาต้องไม่เล็กแน่
ใครจะรู้ว่าคนในโลกนี้คิดอย่างไรกับคนที่ข้ามโลกมา? เช่นเดียวกับภาพลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวของศาสนจักร เขาจะถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับพวกนอกรีตที่นับถือปีศาจก่อนจะถูกผูกติดกับเสาและเผาทั้งเป็น? ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
โชคร้ายที่เขาไม่ได้สืบทอดความทรงจำทั้งหมดของร่างกายนี้ซึ่งมันทำให้เขาหงุดหงิดมาก อีกทั้งเขายังสูญเสียความมั่นใจในทักษะการแสดงของตนเองอันเนื่องมากจากถูกมิเชลมองออก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรวมเข้ากับตระกูลลิเธอร์โดยเร็วที่สุด
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องทำในตอนนี้
“นายไม่ได้บอกว่าความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมปรากฏในฐานข้อมูลเหรอ?” หลังจากครุ่นคิด กู้เป่ยก็พูดกับระบบ "บอกทุกสิ่งที่ฉันต้องรู้เกี่ยวกับ 'ฉัน' ให้ฉันทราบ"
ระบบลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “นั่นมากเกินไป แม้จะใช้เวลาทั้งเดือนก็เกรงว่ายังไม่พอ”
กู้เป่ยรู้สึกกระวนกระวาย “ทำไมนายไม่ทำให้มันง่ายขึ้นล่ะ? เริ่มจากพื้นฐานและสิ่งที่สำคัญก่อน ฉันจะได้ไม่ถูกเปิดโปง ส่วนพวกรายละเอียดที่เหลือฉันรอได้”
“เอาล่ะ กรุณารอสักครู่ กำลังจัดเรียงข้อมูล...”
ด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์แปลก ๆ ระบบก็เงียบลงอีกครั้ง กู้เป่ยพยายามเรียกมันอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีการตอบสนอง ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงรู้ว่าระบบไม่ได้มีประสิทธิภาพขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงอดทนรอให้ระบบออกมาพร้อมกับ "หน่วยความจำแบบง่าย"
หลังจากจำได้ว่าคอมพิวเตอร์ของเขามันเก่าแค่ไหน เขาก็อดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้ ซีพียูของเขามันช้าหยั่งกับควายเฒ่าลากเกวียน
รู้แบบนี้เขาน่าจะเปลี่ยนมันเป็นเครื่องใหม่ก่อนซะก็ดี
ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง กู้เป่ยพบว่าคราวนี้มันน่าอึดอัดใจเล็กน้อย จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไรดีระหว่างรอ ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงตัดสินใจกลับไปนอนต่อเพื่อรอให้ระบบใช้เวลาจัดเรียงข้อมูล
ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากออกไปสำรวจเวลานี้ จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาโชคร้ายไปเจอคนบ้าที่เดินละเมออีก? เรื่องแบบนี้เขาขอเจอรอบเดียวก็เกินพอ
ในสถานการณ์แบบนี้จะเป็นการดีกว่าถ้าเขายืดเวลาเจอคนในตระกูลลิเธอร์ออกไปให้นานที่สุดเพราะเขาจะได้มีเวลาเตรียมตัว เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะนอนต่อจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
“ได้เวลานอน...”
ดูเหมือนฉันเพิ่งตื่นหลังจากหลับไปได้สามวัน
ให้ตายสิ เหนื่อยแทบตายแต่ดันนอนไม่หลับ...
จู่ ๆ เขาก็คิดถึงโทรศัพท์ของเขามาก ก่อนนอนเขามักจะปิดไฟและเลื่อนอ่านนิยายบนเวย์ปั๋วโดยใช้โทรศัพท์ของเขาก่อนจะค่อย ๆ กลับไประหว่างนั้นเสมอ แต่ตอนนี้เมื่อเขาสัมผัสหัวเตียงด้วยความเคยชิน เขาก็ตระหนักว่าวันเหล่านั้นได้จากเขาไปตลอดกาล
เขาไม่ได้อยู่บนโลกนั้นอีกต่อไปแล้ว
ภายใต้แรงกดดันของแม่มดเขาไม่มีกระทั่งเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้แรงกดดันที่ว่ามันได้หายไปจากไหล่ของเขาชั่วคราว เวลานี้อารมณ์ที่ซับซ้อน และไม่สามารถบรรยายได้ทุกประเภทก็โผล่ออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ
เขาถูกเทเลพอร์ต
เขาออกจากโลกที่เขาอาศัยอยู่มานานกว่า 20 ปี และมาจบลงตรงที่แห่งนี้ซี่งแปลกสำหรับเขา
ก่อนหน้านี้เขามักจะเบื่อชีวิตของตัวเอง และคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะไปอยู่ที่อื่นและทำอะไรที่มันมีความหมายกับชีวิตมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่เมื่อทุกอย่างที่เขาปรารถนาได้เป็นจริง เขาก็อดรู้สึกเหมือนมีก้อนกรวดเข้ามาในรองเท้าไม่ได้
ช่วยไม่ได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป ก่อนหน้านี้เขายังคงนั่งอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่เขาเช่า แต่ในชั่วพริบตาโลกของเขาก็พลิกกลับ
ต้องไม่ลืมว่าท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
เขาถอนหายใจเล็กน้อยขณะพลิกตัวไปมาบนเตียงก่อนจะมองดูเพดานท่ามกลางความมืดอย่างว่างเปล่า
“นี่ฉัน.... กลับไปไม่ได้แล้ว”
ขณะที่เขากำลังนอนอยู่บนเตียงและพยายามจะหลับเต็มที่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ง่วงอยู่นั่นเอง เสียงลูกบิดประตูเบา ๆ ก็ดังเขามาในหูของเขา--- เมื่อนอนไม่หลับ แม้แต่เสียงที่เบาที่สุดก็ยังดังพอๆ กับฟ้าร้อง
อะไร...
กู้เป่ยสับสนอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ตื่นตัวในทันที
มีคนพยายามปลดล็อคประตูห้องของเขา!
โจร?
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นอีก?
หลังฟื้นจากความเศร้าโศกของชีวิตที่อธิบายไม่ได้และเริ่มตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบัน กู้เป่ยก็พูดไม่ออก เขาเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้เกิดเรื่องมากมายนัก? นี่ไม่คิดจะปล่อยให้อยู่สงบ ๆ เลยรึไง?
ด้วยความสิ้นหวังกับสถานการณ์ เขาจึงตัดสินใจรอดูก่อนว่าคน ๆ นี้พยายามจะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงหลับตาแน่น ปรับการหายใจ และแสร้งทำเป็นหลับลึก
เขาเพ่งความสนใจไปที่หูของเขา ไม่นานเกินรอเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดูระมัดระวัง เขาเริ่มตื่นตระหนกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคนที่เขามาไม่ได้มาดีแน่ เห็นได้จากวิธีเดินเพราะถ้าเป็นคนดีก็คงเคาะประคูก่อนเข้ามาถูกไหม?
ถ้าอีกฝ่ายคิดร้ายจริง ๆ งั้นเขาควรจะทำยังไงดี?
กู้เป่ยไม่ได้รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างแปลก ๆ
สัญชาตญาณบอกให้เขาอดทน
ไม่นานเสียงฝีเท้าก็หยุดลงข้างเตียง
เพราะเขาลืมตาไม่ได้เขาจึงทำได้เพียงอาศัย "ความรู้สึก" ของเขาเพื่อพยายามสัมผัสบรรยากาศของคนที่เข้ามา มาดีหรือมาร้าย? แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ?
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
ความรู้สึกลึกลับเริ่มก่อตัว
ขณะที่เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเพ่งความสนใจอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นราวกับปลายเข็มสัมผัสกับฟองสบู่ ในส่วนลึกของจิตสำนึกของเขา อักขระสามเหลี่ยมสีฟ้าอ่อนก็ส่งเสียง "ติง" เบา ๆ ออกมา
ระลอกคลื่นแผ่ไปทั่วโลก และเปลี่ยนทุกสิ่งให้ดูใหม่
ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขาสัมผัสได้ถึงไอน้ำอิสระที่ลอยอยู่ในอากาศรอบ ๆ ‘น้ำ’ ที่เคยห่างเหินเหมือนคนแปลกหน้าเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนใกล้ตัว เขาสามารถคุยกับพวกเขาและได้รับการตอบสนองราวกับว่าโมเลกุลของน้ำเล็ก ๆ ทุกโมเลกุลกำลังเต้นอยู่ในจิตใจของเขาอย่างมีชีวิตชีวา
ความรู้สึกนี้มันวิเศษมาก กู้เป่ยรู้สึกเหมือนเขามีดวงตาคู่ใหม่ โดยไม่ต้องลืมตา เขาก็สามารถ "มองเห็น" ทุกสิ่งรอบตัวผ่านธาตุน้ำได้ แม้ว่าตอนนี้การ “มองเห็น” จะยังคลุมเครืออยู่มากเหมือนคนสายตาสั้นประมาณ 800 มองผ่านโลกโดยไม่สวมแว่น แต่ไม่ว่ายังไงความรู้สึกนี้ก็ยังวิเศษอยู่ดี
เขาในตอนนี้เป็นราวกับเด็กแรกเกิดที่ได้ลืมตาครั้งแรก และตื่นเต้นที่ได้สัมผัสโลกใบใหม่
เขาสัมผัสได้ถึงคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขา
หลังจากทำความคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้แล้ว รายละเอียดของคน ๆ นั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏ: เขาเป็นชายโตเต็มวัย ส่วนสูง... ดูเหมือนว่าจะสูงประมาณ 1.8 เมตร แต่ร่างกายของเขาผอมมากเหมือนเสาไม้ไผ่ และนั่นคือทั้งหมด อาจเป็นเพราะเขาใช้การสัมผัสแบบนี้ครั้งแรก ทำให้รายละเอียดต่าง ๆ เช่น ใบหน้า ไม่ว่าเขาจะพยายามเพ่งสักแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถ ‘มองเห็น’ ได้ชัดเจน
ชายคนนั้นยืนอยู่ที่เดิมราวกับรออะไรบางอย่าง
ความรู้สึกอิ่มเอิบเริ่มลดลงเรื่อย ๆ สวนทางกับความสงสัยของกู้เป่ยที่เพิ่มขึ้น: เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่มาจากชายคนนั้น— มันเป็นจิตสังหารอันแผ่วเบา
แต่เขาไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่นอันเนื่องมาจากเขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าคน ๆ นี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก และการปรากฏตัวของวิธีเหนี่ยวนำธาตุน้ำก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอต่อไป
ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลลิเธอร์ อีกฝ่ายเข้ามาได้ยังไง? แล้วเขาจะมาหาฉันทำไม?
กู้เป่ยได้กลิ่นสมคบคิด
กล่าวโดยสรุปอีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป เขาจึงต้องการดูว่าชายคนนี้มีจุดประสงค์อะไร
"ว๊ากกกก! รีบตื่นเร็วเข้า! คน ๆ กำลังจะฆ่าท่านแล้ว!"
เสียงเดซิเบลที่สูงมากราวกับเสียงนาฬิกาปลุกตอน 6 โมงเช้าจู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้กู้เป่ยสั่นไปทั้งตัว
มันคือระบบที่เดิมกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมข้อมูล เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันดันมาโผล่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เสียได้
ตอนนี้ระบบที่โผล่มาไม่ใช่ประเด็นหลัก
ประเด็นคือเนื่องจากเสียงนี้ทำให้กู้เป่ยลืมตาโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเขาก็ตกตะลึงโดยสมบูรณ์
ผ่านดวงตาที่กำลังตกตะลึงของเขา กู้เป่ยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในความมืดมีดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมาที่เขาอย่างว่างเปล่า ขณะเดียวกันในมือของชายคนนั้นก็ยังมีกริชที่สะท้อนแสงซึ่งหันหน้าเข้าหาเขาอีกด้วย
ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขา และกระพริบตาสองสามครั้ง
เขามองดูดวงตาคู่นั้น และกระพริบตาสองสามครั้งเช่นกัน
"..."
เชี่ย ฉันพลาด
ไอระบบเวรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ปรุงรส ไอคนให้กำเนิดลูกชายไม่มีสะดือ
กู้เป่ยจ้องไปที่ดวงตาคู่นั้น แล้วหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร:
“สหายคืนนี้นายก็นอนไม่หลับเลยอยากออกมาเดินเล่นเหมือนกัน?”
หลังจากพูดจบ เขาก็เหลือบมองกริชด้วยความกลัว แล้วพูดอย่างเร่งรีบ:
“สหาย มีดปอกผลไม้ของนายนี่ไม่เหมือนใครเลยจริง ๆ”