ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 12 การรุกรานทูเดีย (Invasion of Tudia)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 14 บาดแผลที่ไม่มีวันถูกลืมเลือน ( Wounds that will never be forgotten ) (1)

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 13 กองเรืออันทรงเกียรติของพระองค์ ( His majesty prestigious fleet )


กองเรืออันทรงเกียรติของพระองค์

 ( His majesty prestigious fleet )

ช่องแคบทะเลอัล-กาเนดแมร์เคซี น่านนํ้าลีโอเนีย

ห่างออกจากท่าจอดเรือออริโฟล์ค(Arifolk Harbor) ราวๆ 800 กม.(500 ไมล์) กองเรือขนาดใหญ่เรียงแถวขบวนกันอย่างน่าเกรงขาม กองเรือราชนาวีที่ 1 แห่งทิศใต้ มีเรือทุกขนาดมากกว่า 200 ลำตั้งแต่เรือลำใหญ่ไปจนถึงเรือลำเล็กและเรือชายฝั่ง  หลังการรุกรานแผ่นดินทูเดีย 2 สัปดาห์

แม้ว่าทะเลอัล-กาเนคจะเป็นตัวคันระหว่างสองขั้วอำนาจ แต่แท้จริงผู้ใดที่ปกครองท้องทะเลได้มิด ผู้นั้นคือเจ้าของที่แท้จริง และในทะเลแห่งนี้ก็มีเพียงแค่กองเรือจากดินแดนตํ่าอย่างลีโอเนียเพียงผู้เดียว มิแปลกหากหลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทะเลแห่งนี้เป็นน่านนํ้าของลีโอเนียเพียงผู้เดียว

ข้างหน้าหัวขบวนเป็น เรือธงของกองเรือที่ 1 เรือที่ทำจากเหล็กกล้าเกือบทั้งลำ นามนั้นคือ แม่มดแห่งอากิดโด (HMS Witch of Agiddo) หากจะกล่าวถึงเรือที่ทำจากเหล็กกล้าที่สามารถลอยนํ้าได้อย่างปาฏิหาริย์ก็คงไม่พ้นเรือรบจากสหจักรวรรดิเพียงผู้เดียวบนอัลชลาฟไวส์เท่านั้นที่สามารถต่อมันออกมาได้ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตเหล็กสุดจะทันสมัยและด้วยการผูกขาดเทคโนโลยีของลีโอเนียทำให้เพื่อนบ้านที่ทำสงครามตลอดเวลานั้นยากที่จะพัฒนาตามให้ทันนัก

ภายในสะพานเรือที่ควรจะมีคนประจำตำแหน่งกลับมีเพียงราวๆ 3-4 คน เท่านั้น ก่อนที่จะมีทหารเดินเข้ามายังสะพานเรืออย่างช้าๆที่ละคน แม้ว่าในยามปกติสะพานควรจะมีเพียงแค่เจ้าหน้าที่และกัปตันหรือลูกเรือที่ทำหน้าที่คุมเรือสังเกตการณ์หรือไม่ก็ผู้บัญชาการกองเรือเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่ควรที่จะมีคนนอกเข้ามาได้

หนึ่งในสะพานเรือผู้มองไปข้างนอกของสะพานเรือ เป็นชายเผ่ามนุษย์อายุราวๆ 60 ในชุคเครืองแบบกองทัพเรือสีฟ้า กัปตันแห่งเรือธงอากิดโด เรือลำหนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของราชนาวีแห่งลีโอ กัปตันโรเบิร์ต แคมเดน พลเรือเอกแห่งกองเรือใต้ (Southern Fleet) กองเรือผู้ปกครองช่องแคบทะเลอัล-กาเนดแมร์เคซี จนไปอาณานิคมในโดสสเลเลนทางใต้

พลเรือเอกโรเบิร์ตเป็นชายเผ่ามนุษย์ที่มีอายุมาก แต่อย่าให้ความชราภาพของเขามาหลอกสายตาได้ ตลอดเวลาที่ตัวเขาได้รับใช้ดินแดนแห่งนี้ ประสบการณ์ที่สะสมมานาน ความสามารถที่เก่งกาจเป็นที่ยอมรับนั้นสามารถนำชัยมาให้สหจักรวรรดิ กัปตันเรือยังคงมองไปยังทะเลอันกว้างใหญ่ก่อนที่จะหยุดชะงักแล้วหันมามองนายทหารลีโอเนียที่พึ่งขึ้นเรือของเขา นอกจากตัวโรเบิร์ตและเจ้าหน้าที่บนสะพานเรือแล้ว ก็มีทหารจากกองทัพบกลีโอเนีียที่พึ่งเข้ามายังสะพานเรืออีกห้าคนที่พึ่งเข้ามายังสะพานเรือ

พลเรือเอกใช้สายตาจับจ้องมองตรวจสอบนายทหายศสูงทั้งห้าคน คนพวกนี้ล้วนเป็นนายทหารชั้นสูงหรือขุนนางหน้าใหม่ ซึ่งมีทั้งมนุษย์และอมนุษย์อันเป็นเอกลักษณ์ของสหจักรวรรรดิ คนเหล่านี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเป็นผู้นำในการรบได้ดีเหมือนกับผู้บัญชาการที่สิ้นชีพไปก่อนหน้านี้หรือไม่… ก่อนที่พลเรือเอกจะได้กล่าวอะไร

สายตาของเขาจะสะดุดกับชายที่เหมือนผู้หญิงผู้มีสีผมขี้เถ้าคนสุดท้ายในชุดเครืองแบบขนแกะผสมฝ้ายซึ่งเป็นการเย็บปะติดปะต่อกันของพลเรือนอันเป็นเอกลักษณ์ของเขต 6 หรือ โพ้นทะเลอาริกาเซีย หากสังเหตุแล้วชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว หากไม่ได้มองสายตาสีฟ้าทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยความนิ่งสงบ เขาก็คงคิดว่าชายหนุ่มเป็นเด็กในตระกูลใหญ่ๆในอาณานิคมอาริกาเซีย อย่างไรก็ตามเขาก็

ไม่คิดว่าผู้แทนชาวอาณานิคมอันห่างไกลจะเป็นเพียงแค่เด็กอยู่แล้ว

ก่อนจะที่พลเรือเอกจะละเลยความสนใจกับชาวอาณานิคมและทะเลอันกว้างใหญ่แล้วกล่าวกับแขกทั้งห้า

“ขอต้อนรับขึ้นเรือสู่แม่มดแห่งอากิดโด ต้องขออภัยที่เรียกพวกคุณด่วนเช่นนี้ แต่ทา-” ไม่ทันกล่าวจบ ขุนนางหนุ่มอมนุษย์สัตว์เผ่าแมวก็พูดขัดด้วยความกระตือรือร้นเมื่อเห็นผู้ไอดอลผู้ที่น่าหลงใหลโดยหลับหูหลับตาได้

“ไม่ต้องถอมตัวไปหรอกครับ พวกเราเป็นเกียรติที่ได้พบและติดตามท่านพลเรือเอกแห่งเบอร์เกนเสมอครับ!” ขุนนางเผ่าแมวกล่าว

“ช่วยอย่าพูดขัดท่านพลเรือเอกระหว่างที่ท่านกำลังอธิบายด้วยขอรับ” หนึ่งในผู้ช่วยกัปตันกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวขุนนางที่ยศสูงกว่าตนเอง แน่นอนว่าการขัดผู้บัญชาการกองเรือถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอย่างแน่นอน

แม้ว่าขุนนางที่ถูกต่อว่าจะรู้สึกไม่พอใจ จนเกือบจะตอบโต้ต่อว่ากับผู้ที่กล้าท้าทายตัวเขา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของกัปตันเรือที่มองด้วยสายตาที่น่ากลัว ขุนนางหนุ่มก็ได้สติและถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พยายามเก็บสีหน้าและอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวของตนเอาไว้

“ขอบคุณ…. เช่นนั้นพวกเรามาต่อกัน” พลเรือเอกชะงัก “เนื่องจากลมฟ้าอากาศที่ยํ่าแย่จึงทำให้แผนการที่สภาสูงสั่งมานั้นต้องล่าช้าไป 1 สัปดาห์เต็มๆ! หลายท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าพวกเรากำลังจะไปไหนกันใช่หรือไม่?” ภายในสะพานเรือนั้นแทบจะไม่มีใครกล้าตอบชายแก่ตรงหน้า

เหล่าผู้บัญชาการทั้งหมดในสะพานเรือต่างชักสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขารู้เพียงแค่คร่าวๆว่า กรมทหารของตัวเองจะต้องไปท่าเรืออีกฝั่งของลีโอเนียเพื่อร่วมสู่รบกับกองทัพแฟแลงซ์แทนทูเดีย แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่า เหตุใดกันแน่ที่หัวหอกของการรุกรานทูเดีย ที่นำโดยดยุคมาร์ชิกและกองกำลังมืออาชีพของนายพลเจย์ ทั้งสองกองทัพภาคถึงไม่สามารถบดขยี้กองทัพพันธมิตรได้…

อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นผู้นำกองพลในครั้งนี้

“ยุทธวิธีในครั้งนี้เป็นความลับจนกว่ากองเรือของผมจะอยู่ห่างจากท่าเรืออริโฟล์ค ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมสภาสูงถึงต้องการปิดเป็นความลับต่อพวกคุณ แต่แน่นอนว่าตอนนี้ผมสามารถกล่าวบอกแผนการและจุดหมายปลายทางของพวกเราให้ทุกคนได้ฟัง” พลเรือเอกกล่าว

ก่อนที่ผู้ช่วยกัปตันจะกางแผนที่ขนาดใหญ่ของทูเดียตอนเหนือทั้งหมด ก่อนที่พลเรือเอกโรเบิร์ตจะใช้นิ้วชี้ไปยังจุดเป็นรูปเมืองพร้อมตัวอักษรอองโทรานที่อ่านว่า ธีโอเดีย เขาลากนิ้วมือไปทางขวาบนผ่านแนวแม่นํ้าสายใหญ่ของทูเดียไปยังหน้าเมืองขนาดใหญ่ที่ชื่อทาเวีย นครหลวงแห่งทูเดีย

“หากทุกอย่างเป็นไปตามที่ฝ่ายยุทธการวางเอาไว้ กองกำลังภาคที่ 1 ของนายพลเจย์จะข้ามแม่นํ้าเสร็จ หลังท่านดยุคนำกำลังอีกกองบุกทะลวงแนวป้องกันสุดท้ายที่สายลับของพวกเราได้เตือนเอาไว้” ก่อนที่พลเรือเอกจะชี้ไปตรงกลางของทะเลและลากนิ้วไปอีกฝั่งของเมืองธีโอเดียและกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่กังวลเล็กน้อย “เพราะความล่าช้า จากที่พวกเราต้องยกกำลังพลเข้าตีฝั่งท่าเรือของทาเวีย พวกเราได้รับคำสั่งให้ส่งกำลังทั้งหมดที่เหลือขึ้นบกตรงนี้และเดินทางเข้าตีเมืองโฟลิก ตัดเส้นทางขนส่งทั้งหมดของเมืองหลวง แน่นอนว่ามีโอกาสที่กองกำลังพันธมิตรจะส่งกำลังเสริมเข้าตีสามจุดซึ่งล้อมเมืองหลวงเอาไว้”

ชายในชุดอาณานิคมยกมือขึ้นเพื่อถามบางอย่างหลังที่ได้ฟังคำอธิบายของพลเรือเอก ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ช่วยกัปตันและผู้บัญชาการลีโอเนียบางส่วน แต่พลเรือเอกก็พยักหน้าเป็นสัญญาณยอมรับ

“ผู้บัญชาการกองกำลังนอกอาณานิคมชั่วคราว ดักลาส แมรี่แลนด์ ครับ…” ลาสหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาอันไม่พึงประสงค์ของผู้บัญชาการและขุนนางบางคน หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะมีปัญหาอะไรกับ'เพื่อนร่วมรบ'ในขณะนี้เท่าไร

“ขออภัยที่ถามครับ แต่ว่าการส่งกำลังบำรุงทางทหารของกองทัพทั้ง 3 ภาคจะไม่มีปัญหาแน่หรือครับ? จริงอยู่ที่กองทัพลีโอเนียสามารถเอาชนะกองทัพพันธมิตรได้ แต่ว่าการรุกรานเข้าสู่เขตของศัตรูลึกเกินไป เสบียงก็จะมีแต่ร่อยหรอลงไปทุกวันนะครับ”

ถึงแม้ว่าลาสจะไม่ได้เก่งเรื่องการศึก แต่การที่ตัวเขาได้รับประสบการณ์ที่ต้องพึ่งเสบียงจากพันโทแดเนียลและผู้ใหญ่บ้านในศึกระหว่างชาวอาณานิคมและชนพื้นเมือง ก็ทำให้ชายหนุ่มเพิ่มความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ตัวเขาก็ไม่อยากจะเจอปัญหาที่ไม่มีเสบียงไม่พอ ผิดกับผู้บัญชาการที่ไม่เคยสู้รบมาก่อนทั้ง 4 คน ไม่ช้าลาสก็พูดต่อ

“หรือแท้จริงแล้ว พวกเราเพียงแค่ต้องทำ คือการป้องกันเส้นทางหนีและกำลังเสริมของพันธมิตรระหว่างที่เมืองหลวงกำลังถูกนายพลเจย์เข้าตี โดยที่ไม่มีการส่งกำลังบำรุง?” แต่เมื่อพูดถึงสถานการณ์ในลีโอเนียหลังจากที่ลาสได้มาอยู่  ความเป็นไปได้ที่เขาคิดไว้ก็คือทางเบื้องบนต้องการให้ศึกสงครามในครั้งนี้จบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่ได้แพ้พ่ายหรือหยุดสงบศึกชั่วคราว อย่างไรก็จักรวรรดิแห่งนี้ก็มีแต่พวกรักในเกียรติยศอันไร้สาระอยู่แล้ว ลาสเก็บคำพูดต่อว่านี้ไปไวในส่วนลึกของจิตใจ

ภายในใจของลาส หากจะทำให้ศึกจบเร็วที่สุดในยุคที่อำนาจการปกครองทางการเมืองอยู่ในมือของคนๆเดียว มันก็มีอยู่แค่สิ่งเดียวที่ทำได้ ‘ เพื่อให้กษัตริย์แห่งทูเดียยอมจำนนและเซ็นสัญญายอมแพ้ การที่จะจบศึกทันทีก็เป็นไปได้ ’

ทั้งสะพานเรือต่างพากันมองไปยังชาวอาณานิคมที่กล้าถามคำถามจากฝ่ายวางแผนต่อหน้าผู้นำกองทัพเรือ สีหน้าและอารมณ์นั้นแตกต่างกันมากมายทั้งมึนงงสงสัย หรือคิดตามในสิ่งที่ชาวอาณานิคมกล้่าวมา แน่นอนว่าผู้บัญชาการหน้าใหม่ล้วนสนใจในคำพูดของชาวอาณานิคมคนนี้

พลเรือเอกโรเบิร์ตคิดอยู่สักครู่ก่อนจะกล่าว “หืม… ในปฏิบัติคราวนี้กองกำลังผลผสมระหว่างลีโอเนียกับอาณานิคมและรัฐในอารักขาทั้งหมดรวมแล้วมีจำนวน 5 กรม หรือ 1 กองพล ราวๆ 12000 คน ซึ่งน้อยกว่าทั้งสองภาคซึ่งมีมากจริงแท้แน่นอน หมายความว่าเสบียงจะถูกส่งไปช่วยกำลังหลักก็เป็นเรื่องจำเป็นมากกว่า แต่ว่า!”

พลเรือเอกย้ายมือของตัวเองที่วางบนส่วนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่นํ้าที่ลากจากทะเลอัล-กาเนดแมร์เคซี ไปยังเมืองเป้าหมาย

“หลังจากที่เมืองโฟลิก(Folic)ชู่ธงลีโอเนียแล้ว เสบียงของพวกคุณจะมาทางนํ้าพร้อมปืนใหญ่สนับสนุนโดยกองเรือของผม ผู้บัญชาการของพวกคุณคือ พลโทเอ็ดเวิร์ด แอนโตริกา ตอนนี้เขาคงกำลังรออยู่ที่จุดนัดพบหลังการปิดล้อมเริ่มต้นขึ้น ภายในครึ่งวันเราจะไปถึงชายหาดโตลันโด(Tolando beach) หน้าที่ของผมมีเพียงแค่บอกแผนการและส่งพวกคุณให้ถึงเป้าหมายอย่างสวัสดิภาพ แด่ลีโอเนีย!”

แด่สหจักรวรรดิ! เสียงขานตอบรับทราบของผู้บังคับการกรมและขุนนางดังทั่วสะพานเรือ

“แยกย้ายได้! ส่วนท่านผู้แทนช่วยอยู่คุยสักหน่่อยจะได้หรือไม่?”

“แน่นอนครับท่านพลเรือเอก…” หลังจากพลเรือโรเบิร์ตได้ยิน เขาก็ยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะเชิญให้ลาสออกไปข้างนอกสะพานเรือและเดินไปยังห้องส่วนตัวของกัปตันเรือหรือห้องพักของผู้บัญชาการกองเรือเพื่อพูดคุยส่วนตัว

ลาสเดินออกจากสะพานเรือมองออกไปอีกฝั่งของตัวเรือ ในชีวิตก่อนของลาสไม่ค่อยได้เดินทางผ่านเรือมากนัก แต่ตั้งแต่ตัวของเขาได้มาอยู่บนดาวดวงนี้ ชีวิตของเขาก็มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุดไม่หย่อน เดินตามกัปตันของเรือที่เขาอยู่โดยที่มองกองเรือสุดยิ่งใหญ่ของ รัฐผู้เป็นนาย เขารู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่พร้อมกับความกลัว หากผู้ใดกล้าที่จะหาเรื่องจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่นี้

คงเป็นพวกที่บ้าหรือกล้าหาญเท่านั้นที่สามารถเผชิญกับกองเรืออันน่ายำเกรงได้

ไม่ช้าทั้งสองก็เดินลงมาชั้นล่างของเรือ เรืออากิดโดเป็นเรือสมัยก่อนที่ลาสเคยเห็นผ่านสื่อออนไลน์ เรือรบที่ไม่ควรอยู่ในยุคแห่งการสำรวจ ก่อนจะเดินตามพลเรือเอกไปถึงห้องส่วนตัว

ภายในห้องไม่ได้มีอะไรหรูหราฟุ่มเฟือยไม่เหมือนกับขุนนางในลีโอเนีย ภายในห้องนั้นเรียบง่ายอย่างมาก ด้วยความที่ห้องเป็นห้องขนาดกลางไม่ได้ใหญ่เกินไป จึงมีเพียงแค่ที่นอน โต๊ะทำงานพร้อมเอกสาร และของตกแต่งภายในห้องเล็กน้อย

“แปลกใจงั้นหรือ?” เมื่อเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของลาส กัปตันเรือจึงถามไถ่ ก่อนจะหลังลงกับเก้าอี้ของตนและเชิญให้ลาสนั่งลง

“ครับ… ไม่คิดว่าชาวลีโอ จะมีพวกเรียบง่ายเหมือนท่านอยู่ก็เท่านั้นเองครับ”

“ฮ่า ระวังคำพูดด้วยคุณแมรี่แลนด์ ตอนนีคุณไม่ได้อยู่ในอาริกาเซีย อย่าไปทำให้พวกขุนนางชั้นสูงหมายหัวไว้จะดีกว่านะ” พลเรือเอกโรเบิร์ตพูดเตือน ซึ่งลาสก็พยักหน้ารับคำเตือนของชายชราตรงหน้าขึ้นลงเบาๆ เพราะยังไงเขาก็ไม่ใช่ตนจากลีโอเนียอยู่แล้วจึงไม่แปลกหากลาสจะไม่รู้สึกผูกพันกับเธอเท่าอาริกาเซีย

“ลูกสาวผมคงไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้กองทัพเรือเสียชื่อหรอกนะครับ ถ้าเกิดเธอพูดอะไรไม่ดีต่อชาวอาณานิคมผมคงต้องกล่าวขอโทษแทนเธอด้วย” พลเรือเอกพูดด้วยนํ้าเสียงอ่อนล้า เหมือนรู้ว่าโรซาลินค์คงพูดอะไรไม่ดีต่อชาวอาณานิคมอย่างแน่นอน

“ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอกครับ ผมได้เธอช่วยเหลือเยอะมากตั้งแต่ที่อยู่บนสหจักรวรรดิ ต้องขอบคุณโรซาลินด์อย่างสุดใจเลยครับ” ทั้งแต่ที่ลาสและโรซาลินค์ได้รู้จักกัน ลาสก็ได้ขอให้โรซาลินด์ช่วยเหลือในหลายๆเรื่องอย่างมาก แทบจะเรียกได้ว่าหากไม่มีนางเงือกคนนั้น ลาสคงจะกระอักเลือดเพราะหาข้อมูลจักรวรรดิขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นแน่แท้

“เอาล่ะ ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่นี่คือคำสั่งจากสภาขุนนางและฝ่ายยุทธวิธี หลังขึ้นชายหาดด้วยความราบรื่น ทหารจากอาณานิคมทุกเขตภายใต้คำบังคับบัญชาของคุณต้องนำกำลังเป็นกลุ่มแรกเข้าตีเมืองโฟลิกก่อนทหารเกณฑ์ลีโอเนีย…”

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Invasion of Tudia

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด