ตอนที่แล้วตอนที่ 31 บัดซบ!!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 33 หุบเขาหมื่นพฤกษา

ตอนที่ 32 อักขระกำกับ


กำลังโหลดไฟล์

เล้งซานหลังจากที่ปล่อยวายุเพลิงมังกร ไปที่ ซูจ้าว มันก็พยายามบิดเบือนรัศมีพลังของตน กลบเกลื่อนร่องรอยของพลังลมปราณในร่าง ให้ค่อยๆเลือนรางทีละนิดเพื่อมิให้อาวุโสทั้งสองคนจับพิรุธ  และสัมผัสถึงการหายตัวไปอย่างกะทันหันของมันได้ จากนั้นก็เปิดใช้วิญญาณมังกร ทะยานหนีไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ทั้งคู่หันหลังกลับไปช่วยซูจ้าว ทุกอย่างที่กระทำเป็นอุบายหลบหนีที่มันคำนวณเหตุการน์ไว้ทั้งหมดแล้ว!!

แต่มันมิได้ขยับออกจากที่นั่นไกลแต่อย่างใด มันกลับเข้ามาในรูเดิมที่มันใช้หลบซูจ้าว และเปิดใช้สัมผัสมังกรเพื่อสังเกตการณ์อาวุโสทั้งสอง เพราะมันทราบดีว่าหากหนีไปทันทีแม้ในระยะสั้นชายแก่ทั้งสองอาจจะติดตามมันไม่ได้ แต่ด้วยความต่างของชั้นลมปราณถึง 2 ระดับ ในระยะยาวหากทั้งคู่ไม่ลดละการติดตามย่อมถูกจับตัวได้อย่างแน่นอน

การที่ซูจ้าวหมดสติไปแล้วย่อมไม่สามารถบอกถึงอุบายก่อนหน้าให้ชายแก่ทั้งสองทราบได้ มันปกปิดลมปราณอย่างมิดชิด และเฝ้าดูสถานการณ์อย่างสงบ....

ชายแก่ทั้งสองเมื่อรู้ตัวว่า เล้งซาน ใช้โอกาสนี้หลบหนีไปแล้ว ใบหน้าของทั้งสองแดงก่ำไปด้วยเพลิงโทสะ ไม่เคยคิดเลยว่าอาวุโสวัยชราอายุร่วม 60 ปีอย่างพวกมันกลับถูกเด็กผู้เยาว์อายุเพียง 15-16 ปี ปั่นหัวได้ถึงเพียงนี้

ชายแก่หน้าดำ ทำท่าจะติดตามไป แต่ถูกหยุดไว้โดยชายแก่ผมขาว

"อาวุโสเอี้ย ท่านห้ามปรามข้าด้วยเหตุใดกัน!!"

"ใจเย็นก่อนอาวุโสหง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ มิใช่การแก้แค้น แต่เป็นชีวิตของอาวุโสซู อาการของอาวุโสซูสาหัสอย่างมาก พวกเราจำต้องพาไปรักษาโดยเร็วมิเช่นนั้นอาจจะไม่พ้นครึ่งวันก็เป็นได้"

"บัดซบเอ๊ย!!"

ตรึมมมมมมม!!

ชายแก่หน้าดำปล่อยหมัดใส่ก้อนหินข้างทาง จนแหลกละเอียดเพื่อระบายโทสะ

"มันบอกว่าอีก 1 ปีจะกลับมาลบชื่อพรรคป้อมอัคคีของเราออกจากทวีป ดี!! หวังว่ามันคงรักษาคำพูด ข้าจะรอให้วันนั้นมาถึง และข้าจะสับมันเป็นหมื่นๆชิ้น!!"

ชายแก่ทั้งสองช่วยกันพยุงร่างของซูจ้าว และทะยานเข้าเมืองไปอย่างรวดเร็ว

เล้งซานที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ เห็นว่าไม่มีใครติดตามมัน จึงรีบออกจากที่ซ่อนและกลับไปยังสถานที่ต่อสู้เมื่อครู่อีกครั้ง มันตรงไปยังตำแหน่งที่ซูจ้าวโดน ตัดแขนและขา

ในจุดนั้นมีใบไม้กองอยู่เต็มไปหมด และมีกองเลือดขนาดใหญ่ มีเลือดติดอยู่บนใบไม้ประปราย แต่ส่วนมากจะแทรกซึมลงผืนดินหมดแล้ว เล้งซานแสยะยิ้มเล็กน้อย จากนั้นตรงเข้าไปที่กองเลือด ค่อยๆเก็บเลือดที่ค้างอยู่บนเศษใบไม้ ลงในขวดยาที่อยู่ในแหวนมิติของมัน รวมๆแล้วได้ราวๆ 20-30 หมด

"อืม...เท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว"

มันเก็บขวดเลือดเข้าไปในแหวนมิติ และรีบทะยานร่างไปทางทิศตะวันตก ออกจากสถานที่แห่งนั้นในทันที

"เจ้าเด็กน้อย เจ้าเก็บโลหิตของซูจ้าวไปเพื่อเหตุอันใด??"

เสียงของเฟรย่าดังขึ้น

"หืม?...เลือดในขวดนี้หน่ะหรอ ข้าจะใช้มันสำหรับตัดสายสัมพันธ์ระหว่างขวานทลายสวรรค์ และซูจ้าว หน่ะสิ"

"มีวิธีเช่นนั้นด้วยหรือ!!" เสียงของเฟรย่าตกใจเล็กน้อย

"แน่นอนว่ามี แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะทำมันได้"

เล้งซานยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

"เหอะ!! เรื่องนั้นเรารู้ 3 ปี ก่อนที่เราจะข้ามเวลามา วิชาอักขระกำกับถูกคิดค้นขึ้นมา และปู่ของเจ้าก็เป็นคนเผยแพร่วิชาอักขระกำกับ ไปทั่วทวีปมังกรฟ้า เจ้าซึ่งเป็นทายาทมีหรือที่จะไม่เชี่ยวชาญวิชานี้"

เล้งซาน แสยะยิ้มขึ้น

"ที่ท่านกล่าวมาก็ถูกนะเฟรย่า และท่านทราบหรือไม่ ว่าที่มาของวิชานี้เป็นมายังไง"

"เราไม่รู้ หรือว่าเจ้ารู้??"

"แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ ก็เป็นข้าเองนี่แหละ ที่คิดค้นวิชานี้ขึ้นมา"

"เป็นเจ้า!!"

น้ำเสียงของเฟรย่าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

"ใช่เป็นข้าเอง ข้าศึกษาอักษรยุคบรรพกาลในอดีตทั้ง 74 ภาษา จนแตกฉานตอนอายุ 10 ปี และเมื่อนำตัวอักษรพวกนั้นมาหลอมรวมกัน ก็จะได้เป็นอักษรอักขระที่ทรงพลัง

ข้าจึงบัญญัติวิชานี้ขึ้นตอนอายุ 12 ปี และได้บอกให้ท่านปู่ช่วยเผยแพร่ออกไปราวๆ 6 ส่วนของวิชาทั้งหมด ที่เหลืออีก 4 ส่วนมิได้เผยแพร่ไปเพราะกลัวว่าจะเป็นดาบสองคม ถูกนำมาทำลายตระกูลข้า"

"หากกลัวเช่นนั้นเจ้าจะเผยแพร่ 6 ส่วนไปเพื่ออะไร??"

เฟรย่ายังคงค้างคาใจ เล้งซานส่ายหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมอธิบายแต่โดยดี

"วิชาอักขระกำกับนี้ แตกออกแยกย่อยได้เป็นวิชา 3 แขนง

1 คือการสร้างอาวุธอักขระ

2 คือการสร้างพื้นที่อักขระ

และสุดท้ายคือการลงอักขระบนร่างกาย

ข้าได้ให้ท่านปู่เผยแพร่ การสร้างอาวุธอักขระ และการสร้างพื้นที่อักขระออกไป เพราะร่างกายของเผ่ามนุษย์นั้นอ่อนแอมาก หากเทียบกับเผ่าเทพ และเผ่าอสูร แม้มีชั้นลมปราณที่เท่ากัน แต่หากมีการปะทะกันเผ่ามนุษย์ก็ยังมิอาจเทียบอีกสองเผ่าที่เหลือได้

วิชาอักขระกำกับนี้ใช้ได้เฉพาะเผ่ามนุษย์เท่านั้น เนื่องจากต้องใช้เลือดของเผ่ามนุษย์เป็นองค์ประกอบหลักของการเขียนอักขระ หากเผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้นย่อมสามารถคานอำนาจของเผ่าที่เหลือลงได้

สิ่งที่จะลดความต่างชั้นของเผ่ามนุษย์และอีกสองเผ่าลงได้ ก็คืออาวุธอักขระ ส่วนพื้นที่อักขระนั้นใช้สำหรับปกป้องสถานที่ ที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดก้าวเข้าไปได้ แม้จะเป็นเผ่าเทพ หรือเผ่าอสูรก็ตาม

แต่น่าเสียดายที่วิชานี้ยังถูกเผยแพร่ได้ไม่นานพอ อีกทั้งการสร้างอาวุธอักขระนั้นมิใช่เรื่องง่าย ในเวลาเพียง 3 ปีที่เผยแพร่ออกไป จึงไม่มีพลังพอที่ตระกูลเล้งของข้าจะต่อต้านเผ่าอสูร"

เฟรย่าเงียบลงทันที มันแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ กลับมองการณ์ไกลถึงเรื่องการคานอำนาจของเผ่าพันธุ์ตนเองกับเผ่าอื่น ตั้งแต่อายุเพียงแค่สิบกว่าปี นี่เป็นคุณลักษณะของราชาเผ่าพันธุ์อย่างแท้จริง!!

"หากมีใครบอกว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะนั้นนับว่าเป็นการดูถูกเจ้าโดนแท้ เจ้ามันเหมาะสมกับคำว่า สัตว์ประหลาด มากกว่า!!"

"เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับคำชมพะยะค่ะ องค์หญิง" เล้งซานยิ้มมุมปากเล็กน้อย

"เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว เจ้าจะไปที่หุบเขาหมื่นพฤกษา ใช่หรือไม่?"

"ใช่ แต่ก่อนหน้านั้นข้าขอแวะสถานที่หนึ่งก่อน"

...................

ณ เรือนหัวหน้าหมู่บ้านเมฆาล่อง เซี่ยวหลินเยว่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อน นั่งมองปลาในสระอยู่ในสวนพลางทำหน้าครุ่นคิด

"เจ้าเล้งซานตัวแสบนั่น มันจะหนีรอดจากพวกป้อมอัคคีได้มั้ยนะ ตลอดเวลาเกือบสิบวันมานี่ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับมันเลย ตัวตนของคนๆนี้ช่างลึกลับยิ่งนัก ยิ่งครุ่นคิดเท่าใดยิ่งหาคำอธิบายเกี่ยวกับที่มาและพลังฝีมือมันไม่ได้แม้แต่น้อย หรือมันจะมาจากสำนักเทือกเขาไท่จู จริงๆ"

เซี่ยวหลินเยว่ กล่าวลอยขึ้น พลางเอามือมาเท้าคาง มองดูปลาในสระที่แหวกว่ายไปมา จากนั้นนางขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากเห็นสิ่งผิดปรกติบางอย่างที่ผิวน้ำ มันคล้ายใบหน้าบุคคลผู้หนึ่ง นางพยายามหรี่ตาเล็กน้อย ภาพบุคคล บนผิวน้ำก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น มันเป็นใบหน้าของเล้งซาน!!

เซี่ยวหลินเยว่เบิกตากว้างตกใจในทันที นางยกมือทั้งสองข้างขยี้ตาเบาๆและจ้องไปที่ผิวน้ำอีกครั้ง แต่ภาพใบหน้าของเล้งซานก็ได้หายไปแล้ว

"อะไรกัน!! นี่เรานึกเรื่องของมันจนเกิดภาพหลอนเชียวหรือนี่"

นางส่ายหน้าเล็กน้อยพลางยิ้มที่มุมปาก และใช้มือตบแก้มตัวเองเบาๆ ความสดใสของนางช่างเป็นภาพที่น่าชวนมองสำหรับบุรุษเป็นอย่างมาก แม้มีจิตกรมือเอกมานั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็ไม่สามารถบรรยายถ่ายทอดภาพที่งดงามของหญิงสาวผู้นี้ออกมาได้หมด

"คุณหนูผู้งดงาม คิดถึง คนสวนผู้ต่ำต้อยคนนี้จนถึงขั้นตบหน้าตัวเองเชียวหรือนี่ นับมาคุ้มค่าแล้วที่ข้าเล้งซานเกิดมาบนโลกใบนี้ ฮ่าๆๆ"

เสียงจากด้านหลังที่ดังขึ้นข้างหู ทำให้เซี่ยวหลินเยว่เบิกตากว้างในทันที นางรีบหันกลับไปมอง นางก็พบเล้งซาน ยืนยิ้มที่มุมปาก มือทั้งสองข้างไขว้อยู่ด้วยหลังด้วยบุคลิกที่สง่า

ใบหน้าของนางแดงขึ้นทันที ราวกับผลไม้ที่สุกงอม นางเองก็ไม่ทราบว่าเล้งซานได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้หรือไม่

"เจ้าคือ เล้งซาน!!"

"ขอรับ คุณหนู ข้าเล้งซานแน่นอน มิใช่ผู้ใด จากกันเพียงสิบวันท่านลืมเลือนใบหน้าของผู้น้อยแล้วหรือ??"

"แต่เจ้าถูกตามล่าอยู่มิใช่หรือ เหตุใดจึงมาปรากฏตัว ณ ที่นี่ คนของพรรคป้อมอัคคีติดประกาศจับเจ้าไปทั่วดินแดนเหนือแล้ว"

เซี่ยวหลินเยว่ รีบหันมองซ้ายขวา ในทันทีเพราะกลัวว่าจะมีคนของพรรคป้อมอัคคีมาพบเข้า

"คุณหนูจะหันมองผู้ใดกัน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือสวนของบ้านท่าน จะมีคนของป้อมอัคคีอยู่ได้อย่างไร??"

เซี่ยวหลินเยว่หน้าแดงอีกครั้ง นางพึ่งรู้ตัวว่าแสดงอาการร้อนรนจนเกินไป เล้งซานเห็นแก้มที่แดงระเรื่อของนางก็อดยิ้มไว้ไม่ได้

"คุณหนู ที่ข้าย่อมเสี่ยงชีวิตมาที่นี่ วันนี้ เพราะตั้งใจมาหาท่าน"

"มาหาข้า?" เซี่ยวหลินเยว่เอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทีสงสัย

"ก่อนหน้านี้ข้าเห็นท่าน มิค่อยชอบหน้าข้าเท่าใดนัก ข้าจึงอยากให้สัญญากับท่านสักข้อ เพื่อแลกกับการที่ท่านจะมีรอยยิ้มให้ข้าบ้าง มิใช่คอยแต่จับผิดข้าเช่นเมื่อก่อน"

"ก็ใครใช้ให้เจ้าทำตัวลึกลับกันเล่า ข้าย่อมต้องสงสัยไว้ก่อนเพื่อปกป้องตระกูลข้า"

เซี่ยวหลินเยว่ยกแขนขึ้นกอดอก พลางเชิดจมูกเล็กน้อย

"ว่าแต่...เจ้าจะสัญญาสิ่งใดกัน"

เล้งซานยิ้มเล็กน้อย จากนั่นค่อยๆก้มตัวลง ให้ระดับสายตาอยู่ระดับเดียวกับเซี่ยวหลินเยว่ที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อน นางหน้าแดงเล็กน้อยที่เห็นเล้งซานจองตาของนางใกล้ๆเช่นนี้

"อีกหนึ่งปีข้างหน้า ข้าจะพาคุณหนู กลับเข้าไปอยู่ในเมืองเมฆครามดังเดิม"

เซี่ยวหลินเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำพูด จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ และถอนหายใจเล็กน้อย

"เป็นไปไม่ได้ เจ้าก็รู้มิใช่หรือเรื่องข้อพิพาทระหว่างข้า และพรรคป้อมอัคคี ข้ามิอยากกลับไปเพื่อสร้างความลำบากใจใดๆ ให้แก่ท่านปู่และพรรคตระกูลเซี่ยวหลิน ในเมืองเมฆคราม"

เล้งซานยิ้มอีกครั้งจากนั้นก็ยืดตัวตรงดังเดิมและค่อยหมุนตัวเดินจากไป พร้อมตะโกนขึ้น

"เอาเป็นว่า ข้าได้บอกสัญญาของข้าให้แก่คุณหนูไว้แล้ว อีกหนึ่งปี ข้าจะกลับมารับท่านเข้าเมือง ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่อันนั้นก็สุดแล้วแต่คุณหนู ขอให้คุณหนูและนายท่านรักษาสุขภาพด้วย..."

หลังกล่าวจบร่างของเล้งซานก็ค่อยๆเลือนราง และหายไปจากสายตาของเซี่ยวหลินเยว่ นางยังมึนงงกับคำพูดของเล้งซาน แต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกไป จากนั้นนางค่อยๆหมุนตัวกลับไปมองดูปลาในสระอีกครั้ง รอยยิ้มของบุปผางามค่อยๆปรากฏสะท้อนกับผิวน้ำในสระ นางกล่าวเบาๆโดยมิได้หวังให้ผู้ใดได้ยิน

"ข้าจะเชื่อเจ้า หวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญานะ...."

........................................

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด