ตอนที่แล้วตอนที่ 28 ต่อสู้อย่างสุนัข
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 30 วิญญาณร้ายสีดำ

ตอนที่ 29 ภูตที่ชอบช่วยเหลือคน


ถ้าเช่นนั้นตาแก่คนนี้ขอตัว “เหยาเอ๋อ พาลูกของเจ้าไปที่กระโจม พ่อบุญธรรมจะทำการรักษาให้”ชายชรายิ้มด้วยความอ่อนโยน

จากนั้นปี้เหยาอุ้มปี้ยี่ที่ยังไร้สติ เดินไปทางชายชราซาง “ท่านปู่ซาง”

“เจ้ายังเรียกข้าว่าปู่”

“เอ่อ...พ่อบุญธรรม”

“ประเสริฐ ประเสริฐ”

“พ่อบุญธรรมแล้วคุณชายหนิง” ปี้เหยามองไปยังหนิงเทียนด้วยความเป็นห่วง

เหมือนว่าซางจื่อจะรับรู้ถึงความรู้สึกของปี้เหยาได้ มันจึงกล่าวออกมาด้วยเสียงอ่อนนุ่ม“นายน้อยเฟย ในเมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นล่วงเกินท่านเพียงเพราะต้องการช่วยเหลือบุตรบุญธรรมของข้า

เช่นนั้นตาแก่คนนี้คงต้องขอร้องให้นายน้อยเฟยโปรดละเว้นเขาด้วย นี้ถือเป็นคำขอของชายแก่ผู้นี้” ซางจื่อจับจ้องไปยังซิเฟยเพียงครู่นึงแล้วจึงเดินจากไป

ในขณะที่กำลังจะกลับซางจื่อกล่าวด้วยเสียงดัง มันแสร้งทำเป็นว่าพูดคุยกับปี้เหยาแต่เจตนาจะให้ทุกคนได้ยินการสนทนานี้

“เจ้าไม่ต้องห่วงเขา ในเมื่อเผ่าซิยังเห็นแก่หน้าของพ่อบุญธรรมอยู่บ้าง คงไม่หักหาญน้ำใจลงมือแก่เด็กหนุ่มนั้น”

ปี้เหยาเดินตามซางจื่อจากไป โดยที่สายตาของนางไม่ได้ละไปจากหนิงเทียนแม้แต่น้อย

หนิงเทียนยิ้มให้กับนาง “เจ้าไปเถอะไม่มีความจำเป็นต้องห่วงข้า”

ซิเฟยที่มองเหตุการณ์ตรงหน้า ใบหน้าของมันเต็มด้วยความโกรธแต่ตอนนี้มันไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

แผนการที่มันวางเอาไว้ได้พังลงด้วยน้ำมือของหนิงเทียนและชายชราซางจื่อ

มันทำได้เพียงแต่กัดฟันแน่น คำรามออกมาด้วยความโกรธ “พวกเจ้าจะยืนอยู่ทำไม กลับกันได้แล้ว”

เมื่อซิเฟยและซางจื่อจากไป ฝูงชนในหมู่บ้านล้วนแยกย้ายแตกกระจายกันไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านพ่อมันทำแผนการของพวกเราพัง เราจะทำอย่างไรกับมันดี”ปี้ฟางกระซิบกับบิดาของมัน

“เจ้าเด็กนี้มีความลับมากมาย ถ้านายน้อยเฟยไม่สั่ง อย่าได้ไปยั่วยุมันจะดีกว่า”ปี้ชีกล่าวพร้อมเดินจากไป

เพียงชั่วอึดใจเดียวผู้คนที่เนื่องแน่นกลับเลือนลับหายไปหมดจนบัดนี้หลงเหลือแต่ หนิงเทียนเท่านั้นที่ยืนอยู่

“คุณชายทำไมท่านถึงไม่ฆ่ามนุษย์ตัวเหม็นเหล่านี้ให้หมดสิ้น เหตุใดถึงต้องทำเรื่องยุ่งยากเช่นการให้ราชาไปขอความช่วยเหลือจากตาแก่ตัวเหม็นนั้น”

ราชาภูตถามด้วยความสงสัย ภายในใจลึกๆมันเริ่มที่จะดูหมิ่นนายของมันที่ไม่มีความกล้าแม้แต่จะสังหารขยะเหล่านี้

ใบหน้าของหนิงเทียนเรียบเฉย มันเพียงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า

“อู๋ชาง ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่สมองนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าข้าต้องการฆ่าพวกมันแน่นอนมันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะอ้าปากร้องขอชีวิต

แต่ถ้าข้าลงมือสังหารพวกมันกลางหมู่บ้าน เจ้าคิดว่าหัวหน้าเผ่าซิจะทำอย่างไรเมื่อมันรู้ว่าบุตรชายของมันตกตายลงภายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้

ทันทีที่ข้าก้าวเท้าออกไปหมู่บ้านแห่งนี้จะต้องหายไปด้วยน้ำมือของเผ่าซิเพียงชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน”

“แค่เผ่ากระจอกๆ มีอะไรให้กลัว” ราชาภูตนั้นยังไม่เข้าใจในความคิดของนายมัน

“เจ้าเป็นภูตที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นขนาดนั้น?” หนิงเทียนถามไปยังราชาภูตอย่างขบขัน

พร้อมทั้งกล่าวต่อ “คนในหมู่บ้านนี้ไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายอะไรของข้า ที่ทำให้ข้าต้องวุ่นวายกับเผ่าซิเพื่อพวกมัน

และ ถึงแม้ว่าในสายตาข้าเผ่าซิจะเป็นเพียงเผ่าเล็กๆเท่านั้นแต่มันก็เป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญที่คอยเป็นแรงงานหารายได้ส่งแก่เมืองฉางผิง

การที่อยู่ๆเผ่าซิหายสาบสูญไปนั้นเมืองฉางผิงจะต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน ในเรื่องเช่นนี้ชายชราซางยังมีหัวคิดมากกว่าเจ้าเลย”

“เฮ๊อะ ในอดีตที่ราชาอยู่กับท่านหวงตี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องราวพวกนี้ ใครกล้าไม่เคารพพวกมันต้องตายสถานเดียว” ราชาภูตนั้นกล่าวด้วยความหยิ่งทะนง

“ลืมเรื่องนั้นไปได้ อีกห้าวันเราต้องไปจากที่นี้แล้ว พวกเราไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะไปเยี่ยมเยือนถึงเผ่าซิ

เราทำได้เพียงแต่ฝากของขวัญเล็กๆน้อยๆไปให้เผ่าซิเท่านั้น”เวลานี้สายตาของหนิงเทียนมืดลงแฝงด้วยความอำมหิต

....

ภายในกระโจมคาราวานของหมู่บ้านปี้จุ่ย ร่างไร้สติของเด็กหนุ่มนอนอยู่บนเตียง

“พ่อบุญธรรม ปี้ยี่จะเป็นอันตรายหรือไม่”

ชายชรายกมือขึ้นจับไปที่ชีพจรของเด็กหนุ่ม สีหน้าของมันเกิดความประหลาดใจอยู่ชั่วครู่มันจึงถอนมือออกมาไปกุมไว้ด้านหลัง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เหยาเอ๋อเจ้าสบายใจได้ ปี้ยี่นั้นไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่จำต้องใช้เวลาพักฟื้นสัก4-5วัน ร่างกายจะกลับมาเป็นปกติเจ้าอย่าได้ห่วงไป”

ปี้เหยาระบายลมหายใจออกมาอย่าโล่งอก พร้อมคุกเข่าลงทั้งสองข้าง “ขอบคุณพ่อบุญธรรมที่ช่วยเหลือ”

“ลุกขึ้นเถอะ มันเป็นหน้าที่ของพ่อบุญธรรมอยู่แล้ว”

“หน้าที่?”ปี้เหยาไม่เข้าใจถึงคำตอบของพ่อบุญธรรม

“พ่อบุญธรรมหมายถึงการช่วยเหลือผู้คนเป็นหน้าที่ของมนุษย์ด้วยกันอยู่แล้ว ฮ่าๆ”

ชายชราซางกล่าวต่อ “ว่าแต่เหยาเอ๋อในสามวันมานี้เจ้าโชคดีได้รับของโอสถวิเศษบางอย่างใช่หรือไม่”

“เอ๋...ไม่นะพ่อบุญธรรม ข้าไม่ได้เอาโสมอายุวัฒนะไปจริงๆ” ปี้เหยารีบปฎิเสธอย่างรวดเร็ว

“พ่อบุญธรรมรู้ดีว่าเจ้าไม่ได้เอาไปและโสมอายุวัฒนะนั้นก็ไม่สามารถเพิ่มพูนลมปราณได้รวดเร็วเช่นนี้ เหยาเอ๋อเจ้าแน่ใจหรือว่า สามวันมานี่ไม่ได้กินอะไรที่ผิดแปลกออกไป”

เหมือนปี้เหยาจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ มันพลางลวงหยิบขวดเล็กออกมาจากในเสื้อ

“พ่อบุญธรรม มีแต่น้ำผึ้งที่คุณชายหนิงให้ข้าเท่านั้น”

เมื่อกลิ่นหอมจางๆของน้ำผึ้งหยกเข้าปะทะกับจมูกของซางจื่อ ดวงตาของมันหรี่แคบลงทันที

ปี้เหยาเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของชายชราซาง จึงเอ่ยถาม“นี้เป็นน้ำผึ้งจากหมู่บ้านของคุณชายหนิง พ่อบุญธรรมมีอะไรแปลกหรือ?”

“ไม่ ไม่มีอะไรแปลกมันเป็นแค่น้ำผึ้งธรรมดาเท่านั้น” เมื่อกล่าวจบมันหันเดินออกไปยังปากประตูกระโจมพร้อมทั้งมองออกไป

สีหน้าของมันคล้ายกับกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง มันพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ‘ผึ้งหยก นั้นอาศัยอยู่ในส่วนลึกของป่าพฤกษาทมิฬเท่านั้น....’

เมื่อพายุพัดผ่านไปความสงบก็เข้ามา มีคำกล่าวว่าฟ้าหลังฝนนั้นสดใสเสมอ

ในวันรุ่งขึ้นผู้คนในหมู่บ้านปี้จุ่ย ต่างออกไปใช้ชีวิตประจำวันกันเหมือนเช่นเคย บ้างก็ปลูกผัก บ้างก็ตัดฝืนราวกับว่าเมื่อวานนี้พวกมันไม่ได้พบเจอเรื่องราวน่าที่น่ากลัวอะไรมาเลย

แม้แต่ปี้ยี่เองก็เช่นกันนางคงยังใช้ชีวิตประจำวันเช่นเดิมไม่เปลี่ยน จะมีสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเดียวคือความเป็นอยู่ของนางนั้นดีขึ้น ที่พักอาศัยเวลานี้เปลี่ยนจากบ้านโกโรโกโสมาเป็นกระโจมบรรณาการที่สะดวกสบายกว่า

....

……

3วันผ่านไป ในยามวิกาลที่ดึกสงัด

ทหารในชุดเกราะสามสิบคนกำลังเดินจับกลุ่มกันเป็นขบวน พวกมันก้าวเท้าด้วยน้ำหนักที่แผ่วเบาคล้ายว่ามันไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ในการมาของพวกมัน

เวลานี้อากาศชื้นแห้ง ละอองฝนจางๆเริ่มที่จะก่อตัวเป็นสัญญาณของพายุฝนห่าใหญ่ที่กำลังจะตก พวกมันทั้งหมดได้เดินตามหัวหน้ากลุ่มเข้าไปหลบยังวัดร้างแห่งหนึ่ง

หัวหน้ากลุ่มของพวกมันเป็นชายหนุ่มวัย21ปี มันคือซิเฟย นายน้อยแห่งเผ่าซิ

พวกมันอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับไปยังเผ่าของพวกมัน ด้วยความเร็วของผู้ฝึกตนในดินแดนนักรบนั้นใช้เวลาเพียง4วันในการเดินทางจากหมู่บ้านปี้จุ่ยไปยังเผ่าซิ...

ภายในวัดร้าง บรรยากาศรอบๆตัวนั้นเงียบสงัดวังเวง เสียงลมหวีดร้องเสียงดัง คล้ายเสียงของภูตผีกรีดร้อง

ซิเฟยจ้องมองไปยังท้องฟ้าสีดำ “พายุฝนกำลังจะมา เราไม่สามารถเดินทางต่อได้ พวกเราคงต้องพักที่วัดร้างแห่งนี้”

“นายน้อย นี้จะต้องเป็นฝนห่าใหญ่เป็นแน่” ซิตู่ที่มักจะอยู่ข้างกายมันเสมอมองตามไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด

“ไปพวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะพักกันในวัดร้างนี้” ซิเฟยสั่งไปยังทหารของมัน

โดยสภาพแวดล้อมในพื้นที่ชายแดนทวีปฟ้าสวรรค์ ภูเขาของเผ่าเฮยและเผ่าซินั้นอยู่ติดกัน จึงมีการกระทบกระทั่งระหว่างทั้งสองเผ่าอยู่บ่อยครั้ง

ในช่วงเวลาปกติแล้วพวกมันมักจะเดินทางอ้อมภูเขาลูกนี้ทุกครั้ง

แต่ใน3วันของการเดินทางกลับครั้งนี้ พวกมันพบพานเรื่องแปลกประหลาดมากมาย ทั่งทางเดินถูกตัด การถล่มของหินผาลงมาปิดกันเส้นทางเดิน

หรือแม้กระทั่งเสบียงของพวกมันที่เตรียมไว้ถูกสัตว์ป่าขโมยกินไปหมด จนทำให้พวกมันต้องจำใจเดินทางผ่านในเขตภูเขาของเผ่าเฮยอย่างเสียไม่ได้

“นายน้อย นี้มันเป็นเขตภูเขาของเผ่าเฮย การค้างที่นี้นั้นไม่ใช่เรื่องดีนัก พวกเราอดทนฝ่าพายุฝนไปไม่ดีกว่าหรือขอรับ” ซิตู่กล่าวเตือนนายน้อยของมัน

ซิเฟยเอ่ยตอบ“การเดินทางกลางพายุฝนที่รุนแรงเช่นนี้ ข้าคิดว่าจะร้ายมากกว่าดี

เมื่อฝนตกลงมาพวกเราไม่สามารถมองเห็นในระยะไกลได้เลย ถ้าถูกดักโจมตีในเวลาเช่นนี้พวกเราจะอยู่ในสถานการณ์อันตรายมาก”

การคิดอ่านของซิเฟยนั้นนับได้ว่าไร้ข้อบกพร่อง มันคำนวณถึงสถานการณ์ ความปลอดภัยได้เป็นอย่างดีด้วยคุณสมบัติเช่นนี้

ตราบใดที่มันได้ขึ้นเป็นผู้นำเผ่า เผ่าซิจะต้องกลืนกินเผ่าเฮยได้ในไม่ช้าอย่างแน่นอน

ในขณะที่เมฆหมอกดำปกคลุมไปทั่วทั้งชั้นฟ้า ทันใดนั้นสายฟ้าฟาดเปรี้ยง!!! วัดร้างนั้นสว่างในชั่วขณะ

ซิเฟยตัดสินใจนำพาทหารของมันค้างคืนในวัดร้างแห่งนี้ เพียงแค่ข้ามภูเขาลูกนี้ก็จะถึงเผ่าซิของพวกมันแล้ว ทหารในชุดเกราะล้วนมีอาการผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

แม้กระทั่งซิตู่ยังทำสมาธิพักร่างอยู่ในที่มืดอย่างสงบนิ่ง จะมีเพียงแต่ซิเฟยเท่านั้นที่ยังไม่ได้หลับพักผ่อน มันยังคงนั่งพิงไฟอยู่คนเดียว

ไม่มีใครบอกได้ว่า กองไฟตรงหน้ามันหรือไฟโทสะในใจมัน สิ่งใดนั้นร้อนแรงกว่ากัน

แม้จะผ่านไป3วันแล้วแต่โทสะของซิเฟยไม่ได้คลายลงแม้แต่น้อย ในยามที่มันหลับ มันมักจะฝันว่าได้เอามีดกรีดลงไปที่ร่างของไอ้สารเลวหนิงเทียนที่บังอาจมาทำลายแผนการของมัน

และในยามตื่นมันจะคิดถึงใบหน้าและเรือนร่างทุกส่วนของปี้เหยาอยู่ตลอดเวลา

“ข้าไม่เชื่อว่า ซางจื่อจะปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา ข้าสาบานจะต้องฉุดหญิงแพศยาอย่างเจ้ามาทำเมียให้จงได้”ใบหน้าของมันเปี่ยมด้วยตัณหา

เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม ในกลางดึกอันเงียบหงัดมันเงียบจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงหายใจของทหารเผ่าซิจำนวนกว่า 30ชีวิต จะมีเพียงเสียงดังของน้ำฝนที่ตกกระทบหลังคาเท่านั้น

ในด้านนอกของวัดร้าง หมอกดำกลุ่มหนึ่งหนาทึบราวกับสีของหมึกก่อตัวขึ้นกลางอากาศ มันขยับไหวอยู่กลางอากาศ เสี้ยววินาทีนั้นสัญชาตญาณของซิเฟยปลุกมันให้ตื่นอย่างทันที

มันจ้องมองไปยัง หมอกดำกลุ่มนั้นตาไม่กระพริบ ทันใดนั้นหมอกดำก็พุ่งตัวขึ้นสู่อากาศเข้าไปในวัดร้างอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวมันลอยเข้ามาถึงด้านหน้าของวัดแล้ว

ศัตรูบุก เสียงตะโกนดังของซิเฟยปลุกทหารของเผ่าซิทั้งหมด

เช้ง!! ทหารของเผ่าซิได้ชักอาวุธของพวกมันออกมา

พวกมันทั้งหมดมองไปยังหมอกสีดำด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมากด้วยพวกมันนั้นเป็นนักรบภูเขาที่ห้าวหาญไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใดอย่างง่ายดาย แต่ในคราวนี้ศัตรูของพวกมันอาจจะไม่ใช่มนุษย์

หมอกดำพุ่งเข้าใส่ทหารเผ่าซิ อ้าก!!!เสียงร้องโหยหวนดังออกมา

จู่ๆร่างกายของทหารคนนั้นกลายเป็นแห้งกังในทันที เนื้อหนังหายติดกระดูก ดวงตาปูดโปนราวกับมันจะทะลักออกมา คล้ายกับพวกมันโดนสูบเลือดและวิญญาณออกไป

อย่า...อย่าเข้ามา...อั้กกก อ๊ากกก!! เสียงโหยหวนคนแล้วคนเล่าของทหารเผ่าซิ ร้องระงมออกมาอย่างน่ากลัว เสียงโหยหวนอันสยดสยองของพวกมันกลบเสียงสายฝนที่สาดกระทบหลังคาจนหมดสิ้น

ทหารคนใดที่ถูกหมอกดำพุ่งผ่านจะกลายเป็นซากศพแห้งกังในทันที ในส่วนทหารที่เหลือรอดมันทำได้แต่มองไปยังศพของเพื่อนทหารในสภาพที่แห้งเหี่ยวด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดแสน

ซิเฟยและซิตู่ เหงื่อออกท่วมตัว ภาพตรงหน้าคล้ายกับว่าตัวมันกำลังฝันอยู่

ถ้ามิใช่เพราะเหงื่อบนใบหน้าที่ให้ความรู้สึกอุ่นๆ มันต้องคิดว่านี้เป็นเพียงความฝันอย่างแน่

เสียงร้องโหยหวนของเหล่าทหารดังระงม แค่เพียง30ลมหายใจทหารของเผ่าซิทั้งหมดตกตายอย่างน่าอนาถ

ทหารเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับมนุษย์ขั้น9เป็นอย่างต่ำ ในหมู่ของพวกมันยังมีทหารในแดนนักรบเกือบครึ่ง ที่ตกตายไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวมันตายด้วยสาเหตุใด

“เจ้า...เจ้าเป็นใคร” มันตะโกนไปยังกลุ่มหมอกสีดำ เวลานี้เสียงของซิเฟยเต็มไปด้วยความหวาดผวา

เสียงแหบพร่าดังตอบออกมา “ไม่เจอกันเพียงสามวันจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด