ตอนที่แล้วตอนที่ 14 คำร่ำลา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 16 หมู่บ้านคนใบ้

ตอนที่ 15 ทางเข้าหมู่บ้าน


ในทวีปฟ้าสวรรค์นั้นผู้ที่สามารถใช้สัตว์ลมปราณเดินทางในท้องฟ้า มีเพียงคนของอาณาจักรฟ้าสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์

ถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนใช้สัตว์อสูรเดินทางกลางอากาศแล้วละก็ มันผู้นั้นจะถูกตามล่าจากอาณาจักรฟ้าสวรรค์

“นายน้อย กองคาราวานที่ใกล้ที่สุด เป็นกองคาราวานของหมู่บ้านปี้จุ่ย

ท่านเดินทางไปทางทิศตะวันตก ไม่เกิน3ชั่วยาม ท่านจะพบหมู่บ้านเล็กๆอยู่ติดกับชายป่าพฤกษาทมิฬ”น้ำเสียงของพ่อบ้านมู่นั้นเปี่ยมด้วยความเคารพ

“ถ้าเช่นนั้นข้าลาก่อน ฝากเจ้าดูแลท่านพ่อท่านแม่ด้วย” สิ้นเสียงนั้น หนิงเทียนทะยานพุ่งตัวออกมาทันที

เมื่อมันเคลื่อนไหวไปได้สักครู่ พลันเกิดความรู้สึกเจ็บแปล๊บแล่นขึ้นมาในหัว

อึกก!! ร่างกายของมันยังไม่หายจากการต่อสู้เมื่อวานดีนัก แม้กระดูกจะเชื่อมต่อกันแล้วแต่ยังคงหลงเหลืออาการบาดเจ็บภายในอยู่บ้าง

‘ไอลิงบ้านั้น ข้าฟันมันเพียงแผลเดียวแต่มันกลับต่อยข้ากระดูกหักนับสิบท่อน’

หนิงเทียนยิ่งคิดยิ่งมีโทสะ....‘รู้เช่นนี้ข้าน่าจะฟันมันอีกสักหลายแผล’

….

… … .

สี่ชั่วยามต่อมา บนท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยความมืดจากเมฆหมอกเวลานี้ตะวันก็ใกล้ที่จะตกดินเต็มทีแล้ว

“ข้าเดินมาครึ่งค่อนวันแล้วไม่เจอคนแม้แต่คนเดียว” บนตัวของหนิงเทียนเปรอะเปื้อนไปด้วยคาบเลือดของสัตว์ป่า

มันรู้สึกโชคดีอย่างมากที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่มารดามันเย็บมาให้

‘ตาแก่นั้น บอกให้ข้าเดินมาทางทิศตะวันตกประมาณห้าสิบลี้จะเป็นเจอหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อ ‘หมู่บ้านปี้จุ่ย’

เห๊อะตั้งชื่อมาได้เช่นไร ปี้จุ่ย* หมายถึงหมู่บ้านคนใบ้หรืออย่างไร

(*ปี้จุ่ย?? แปลว่า หุบปาก)

“โคร่กกก” หมีดำตัวใหญ่พุ่งมาใส่หนิงเทียนอย่างดุร้าย หมายจะขย้ำเหยื่อของมันให้ตกตายในทันที

หนิงเทียนมิได้สนใจอันใดเพียงยกมือขึ้น ปรากฏแท่งน้ำแข็งเล็กๆพุ่งใส่ศีรษะของหมีดำ

โป๊ะ!!!

ร่างที่ไร้ศีรษะของหมีดำกระตุก เพียงชั่วลมหายใจเดียวมันตายในทันที

‘เพียงครึ่งวันนี้ก็ตัวที่สิบแล้ว’

‘เหตุใดสัตว์ป่าระดับ1และ2 ถึงเข้าโจมตีข้าไม่หยุด มันเกิดเรื่องบ้าอันใดขึ้น!!’

โดยปกติหนิงเทียนแอบหนีออกมาเล่นในชายป่าพฤกษาทมิฬบ่อยครั้ง

พวกสัตว์ป่าจะหวั่นเกรงหนิงเทียนเป็นอย่างมากแค่เพียงลมปราณที่แผ่รอบตัวก็ทำให้พวกมันแตกตื่นกันแล้ว

หนิงเทียนครุ่นคิดอยู่สักพัก เขายกมือขึ้นมาตบศีรษะตัวเอง

‘นี้ ข้าลืมไปได้ยังไง ตอนนี้พลังฝึกตนข้าเป็นเพียง มนุษย์ขั้นที่9 สัตว์ป่าพวกนี้เลยมองข้าเป็นเหยื่อ’

‘เห้อ...ลำบากจริงๆ ต้องรีบออกจากป่าพฤกษาทมิฬและหาหมู่บ้านคนใบ้ให้เร็วแล้ว มิเช่นนั้นคงเหนื่อยกันอีกหลายยกแน่ๆ’

หนิงเทียนเดินต่อราวๆสองชั่วยาว ในที่สุดมันก็เห็นหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่ง ‘คงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนมิเช่นนั้นคนในหมู่บ้านได้ตกใจไล่ตะเพิดข้าอย่างเร็วแน่’

หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้มีชื่อว่า ‘หมู่บ้านปี้จุ่ย*’ มีประชากรอาศัยเพียงสามสิบถึงสี่สิบหลังคาเรือน

ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น คนในหมู่บ้านมักหาเลี้ยงชีพด้วยการตัดฝืนและทำการเพาะปลูกเป็นส่วนใหญ่ เพื่อแลกกับเนื้อสัตว์จากชนเผ่าชั้นสูง

ความแข็งแกร่งของคนในหมู่บ้านนี้ไม่สามารถแม้แต่จะล่าสัตว์ป่าระดับ1มาเป็นอาหารได้

โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านจะใช้ผักและผลไม้ที่ปลูกแลกกับเนื้อสัตว์ที่ผู้ฝึกตนล่ามาเป็นประจำ พวกมันจึงให้ความเคารพบูชาแก่ผู้ฝึกตนเป็นอย่างมาก

จู่ๆท้องฟ้าก็อึมครึม เมฆดำขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือเป็นสัญญาณของฝนห่าใหญ่หนิงเทียนมองไปในหมู่บ้านปรากฏกลุ่มเด็กหนุ่มอายุประมาณ 7-8ปี

“เจ้าโง่!! เจ้าจะหนีไปไหน” คำด่าออกจากปากเด็กชายสวมชุดถัก มันกำลังนำเด็กสองคนวิ่งตามเด็กที่วิ่งอยู่ตรงหน้า

เด็กคนนั้นรูปร่างเล็กสวมชุดหนังสัตว์เก่าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ปี้ยี่ เจ้าหยุดเดียวนี้ ถ้าเจ้าไม่หยุด เมื่อไรที่ข้าจับเจ้าได้ข้าจะทุบตีจนมารดาเจ้าจำไม่ได้เลย!!” เด็กที่วิ่งตามหลังตะโกนท้า

เด็กที่วิ่งนำหน้ามีนามว่าปี้ยี่ มันตะโกนร้องอย่างหวาดกลัว “ปี้ฟาน ของสิ่งนี้ข้าเจอโดยบังเอิญ มันเป็นของข้า”

“ถ้าเจ้าไม่เอามาให้พี่ฟาน เราจะเห็นดีกัน” เสียงตะโกนดังมาจากเด็กอีกสองคนที่วิ่งตามมา เมื่อกล่าวจบพวกมันกลับเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

ทั้งหมดวิ่งไล่กวดกันตลอดทาง เวลานั้นปี้ยี่หมดแรงล้มลงตรงหน้าของหนิงเทียน

หนิงเทียนจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มทั้งสี่ มันสามารถบอกได้ทันทีว่า เด็กหนุ่มกลุ่มนี้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

เด็กที่วิ่งตามมาข้างหลังสามคน หัวเราะชอบใจ พากันโถมเข้าไปจับปี้ยี่

“จับตัวได้แล้ว คราวนี้เจ้าเสร็จข้าแน่ พวกเจ้าทั้งสองค้นตัวมัน”

“ปี้ฟาน มันเป็นของๆข้า”เด็กหนุ่มที่ล้มอยู่กับพื้นพยามขัดขืนอย่างเต็มที่

“พี่ฟานเราเจอแล้ว มันซ่อนไว้ในกระเป๋า” เด็กหนุ่มสองคนหยิบ แก่นของสัตว์ป่าระดับ2 ขึ้นมา

สองมือของเด็กน้อยที่กำลังประครองแก่นสัตว์ป่าระดับ2นั้นสั่นไหว ราวกับถ้ามันตกพื้นจะแตกสลายไปทันที

“ปี้ฟานมันเป็นของๆข้า ข้าจะนำมันไปให้ท่านแม่”

“น่าขำ ถ้ามันเป็นของเจ้ามันก็ต้องอยู่ที่เจ้า ตอนนี้มันอยู่ในมือข้า มันเป็นของข้า”คำพูดของปี้ฟานไม่มีความละอายอยู่เลย เห็นได้ชัดว่ามันพึ่งจะแย่งของชิ้นนี้มาเมื่อครู่

หนิงเทียนมองไปยังแก่นสัตว์ป่าระดับ2 มันไม่ใช่แก่นสัตว์ป่าสภาพสมบูรณ์ มันมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น คิ้วของหนิงเทียนยกขึ้นสูง

‘นี้มันแก่นของหมีดำที่ข้าสังหารไป....เด็กพวกนี้ไปเก็บมันมา?’ หนิงเทียนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดโดยรวดเร็ว หนิงเทียนไม่มีเหตุผลอันใดที่ต้องสนใจแก่นของสัตว์ป่าพวกนั้น

ยิ่งเป็นแก่นที่ถูกเขาระเบิดครึ่งด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งไร้ค่าในสายตาของหนิงเทียน เขาจึงทิ้งมันไว้พร้อมร่างที่ไร้วิญญาณของหมีดำ

“ปี้ฟาน ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า” ปี้ยี่นั้นมีร่างกายอ่อนแอด้วยความยากจนของมันตั้งแต่เล็กจนโตทำให้มันนั้นได้รับอาหารต่อวันน้อยมาก

และแน่นอนมันไม่มีทางสู้เด็กที่ร่างกายสมบูรณ์ทั้งสามคนได้อยู่แล้ว

“แลกชีวิตกับข้า?” ปี้ฟานยิ้มเหยียด หมัดขวาของมันกระแทกหน้าของปี้ยี่อย่างจัง

เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้น มันพอที่จะทำให้เด็กน้อยร่างกายอ่อนแออย่างปี้ยี่สลบไปได้

“พี่ฟานมันสลบไปแล้ว”

“พวกเจ้าทั้งสอง จับมันถอดเสื้อผ้าแล้วทิ้งไว้ตรงนี้”

“พี่ฟาน ฝนกำลังจะตกถ้าเราถอดเสื้อมันให้นอนตากฝน ข้าว่ามันได้ตายแน่นอน”เด็กหนุ่มด้านหลังมีอาการลังเลเล็กน้อย

“พี่ใหญ่ฟานสั่งอะไร เจ้าก็ทำตามไปเถอะ อย่าได้เรื่องมากนักเลย” เด็กหนุ่มอีกคนกล่าวออกมาทำลายความลังเลของเพื่อนมัน

หนิงเทียนเห็นเด็กพวกนั้นกำลังถอดชุดของปี้ยี่ออก

ด้วยนิสัยของหนิงเทียนแล้วมันจะไม่ยุ่งเรื่องราวพวกนี้เด็ดขาด แต่ชั่วขณะนั้นมันได้หวนรำลึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อนขึ้นมา

‘แม่ทัพ ซือหม่า เราจะทำอย่างไรกับเฉลยศึกที่เป็นเด็ก’พันเจี่ยรายงาน

‘แม่ทำซือหม่า เสบียงของเราสามารถเลี้ยงดูเด็กพวกนี้ได้เพียงสองวันเท่านั้น หรือว่าเราจะปล่อยพวกเขาไปให้หมด’เหล่าเว่ยออกความเห็น

‘ไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้จะนำความลับของทัพเราไปบอกข้าศึกหรือไม่ และเราก็ไม่สามารถแบ่งเสบียงไปให้พวกมันได้ พันเจี่ย เหล่าเว่ยสังหารพวกมันทิ้งให้หมด’

‘แต่ว่าแม่ทัพซือ เด็กพวกนั้นอายุเพียง7-8ปีเท่านั้น’

‘สังหารให้สิ้น....อย่าให้พวกมันได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ นั้นคือความเมตตาเดียวของเราที่มอบให้แก่พวกมัน’

หนิงเทียนสะบัดศีรษะขับไล่ความคิดเมื่อครั้งอดีตที่มันยังเป็นผู้นำทัพทหารนับแสนออกไป มันมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า

“พวกเจ้าทั้งสองได้ของที่ต้องการ ก็ควรที่จะหยุดได้แล้ว”

“เจ้าเป็นใคร” เด็กหนุ่มที่กำลังถอนเสื้อปี้ยี่อยู่ตะโกนถาม

“เจ้าไม่ใช่ในคนหมู่บ้าน”เด็กหนุ่มอีกคนกล่าวเสริมเพื่อนของมัน

“ข้าเป็นเพียงคนผ่านมาเท่านั้น” หนิงเทียนตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ

“ถ้าเจ้าไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องมายุ่ง” ปี้ฟานตะโกนออกไป

มันไม่สนใจว่าผู้ที่ผ่านมาจะเป็นใคร เพราะตาของมัน ‘ปี้ชี’ เป็นคนที่แกร่งที่สุดในหมู่บ้าน

ด้วยระดับแดนมนุษย์ขั้นที่9ของปี้ชีก็เพียงพอแล้วที่จะให้มันใช้ชื่อของตารังแกคนอื่นไปทั่ว

“น้องชาย เจ้าได้ของที่ต้องการแล้วไม่มีเหตุผลใดที่จะรังแกเด็กคนนี้ต่อ”หนิงเทียนหรี่ตาแคบ ดวงตาสีดำมืดลง มันจ้องมองไปยังเด็กน้อยปี้ฟาน

ปี้ฟานที่กำลังจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นดวงตาของหนิงเทียนจับจ้องมาที่มัน ร่างกายของมันแข็งค้างไปในทันที

ตัวมันนั้นยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลของความรู้สึกว่าเป็นเพราะอะไร จึงบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในดวงตาคู่นั้นอย่างไม่มีเหตุผล

มันกลืนคำที่คิดจะพูดลงไปในลำคอทันที

“ข้า...ข้าปราณีเจ้าขยะนี้สักครั้ง ปี้ยี่ถ้าเจ้ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ข้าจะหักแขนและขาเจ้าทิ้งซะ ไปพวกเรากลับ” พวกมันทั้งสามวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อทั้งสามวิ่งหนีไป หนิงเทียนยังมองไปที่ร่างไร้สติของปี้ยี่ ‘แล้วข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าเด็กนี้ดี ฝนก็จะตกแล้วถ้าปล่อยไว้ทีนี้ มีหวังตายแน่ๆ’

ระหว่างที่มันกำลังแบกร่างของเด็กน้อยคนนี้อยู่นั้น อยู่ๆก็มีเสียงใสกังวานของหญิงสาวมาจากด้านหลัง

“ปี้ยี่ !!”

หญิงสาวโยนตะกร้าเก็บผักทิ้งแล้ววิ่งมาทางหนิงเทียน ดวงตาอันสวยงามเต็มไปด้วยน้ำตา

หนิงเทียนมองไปที่หญิงสาวและมองไปรอบๆ เขาพบว่าไม่มีใครในรัศมีสายตาเขาเลยเวลานี้ใบหน้าของมันดูบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที ‘แย่ละสิ เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่ดีแล้ว!!’

หญิงสาวนางนี้อายุประมาณ17-18ปี ใบหน้างดงามแม้จะมีคาบดำ เปรอะเปื้อนมอมแม่มอยู่บ้าง เสื้อผ้าที่นางใส่ก็เก่ามากแต่กลับทำให้ความงามของนางดูด้อยลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ท่านเป็นใคร วางตัวลูกชายข้าลงเดียวนี้!!”นางตะโกนออกมาเสียงดัง ใบหน้าที่จับจ้องมายังหนิงเทียนราวกับว่ามันคือโจรร้าย

เอ๋!! ลูกชาย? เห็นได้ชัดว่าหญิงนางนี้กับเจ้าเด็กนี้อายุห่างกันไม่มากพอที่จะเป็นแม่ลูกกันได้

“ข้าบอกให้เจ้าวางลูกชายข้าลงเดียวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะตะโกนให้คนช่วย”นางพยามที่จะส่งเสียงร้องเพื่อเรียกคนในระแวกนั้นออกมา

แต่ที่น่าเสียดายด้วยอากาศที่คล้ายกับพายุใหญ่กำลังมา ทุกบ้านในหมู่บ้านนี้ต่างปิดเงียบกันหมด

เป็นอย่างที่ข้าคาดไม่มีผิด หนิงเทียนระบายลมหายใจออกมาทันที “แม่นาง เจ้าใจเย็นๆก่อน”

หญิงสาวไม่ฟังใดๆทั้งสิ้น พลันหยิบมีดหั่นผักออกมาชี้ไปที่หนิงเทียนพร้อมตะวาดเสียงดัง “ข้าบอกให้เจ้า วางลูกข้าลง”

หนิงเทียน “…..”

ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ หนิงเทียนมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า

“ตกลง ตกลง ข้าจะวางเขาลง ท่านวางมีดลงก่อน” หนิงเทียนค่อยๆวางปี้ยี่ลงกับพื้น

“เจ้าถอยออกไป”

“ได้ๆ ข้าจะถอย เจ้าอย่าตะโกนไปได้หรือไม่?” เหตุใดข้าต้องมากลัวเพียงแค่มีดหั่นผัก ถ้าพ่อใหญ่รู้เข้า ข้าคงได้คาบกระบี่วิ่งรอบตำหนักภูตทั้งปีเป็นแน่

เมื่อหญิงสาวเห็นใบหน้าที่ปูดเขียวของปี้ยี่ เธอกอดปี้ยี่แน่น คางเรียวงามอยู่บนไหลของปี้ยี่และร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้ เธอกลัวว่าปี้ยี่จะไม่ฝืนขึ้นมาอีก

“เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายเขา” หญิงสาวมองมาที่หนิงเทียนด้วยสายตาเคียดแค้น

“ข้า....ทำร้ายเขา??” สตรีนางนี้ เอาส่วนที่เป็นสมองไปไว้ที่หน้าอกหมดกระมัง?

“แม่นาง เจ้าช่วยฟังข้าอธิบายสักนิด” หนิงเทียนพยามที่จะอธิบายเหตุผล

เป้าหมายของหนิงเทียนที่มายังหมู่บ้านนี้เพื่อต้องการเข้าร่วมขบวนคาราวานบรรณาการเท่านั้น

ถ้ามันถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรร้ายแล้วจะมีขบวนคาราวานไหนกันที่ให้โจรเข้าร่วม ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ตามเถอะ....

“มีอะไรที่ต้องอธิบาย ในเมื่อข้าเห็นมันกับตา เจ้าวายร้าย!!”

หนิงเทียนตะลึงไปชั่วขณะ “ข้า?...ข้าเป็นวายร้ายตั้งแต่เมื่อใดกัน”

ถ้าเป็นเรื่องราวในชีวิตก่อนมันอาจจะไม่เถียงแม้แต่คำพูดเดียว แต่ชีวิตใหม่นี้มันพึ่งจะเดินออกจากป่าพฤกษาทมิฬมาได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น

สิ้นเสียงของหนิงเทียน ปี้ยี่ที่อยู่ในอ้อมกอดก็ค่อยลืมตาขึ้นมา “โอ้ยยย”

เสียงร้องของปี้ยี่ ราวกับเสียงจากสวรรค์มาช่วยหนิงเทียน เขารู้สึกจนปัญญากับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างมาก

ไม่สิต้องบอกว่าเขารู้สึกจนปัญญากับสตรีตรงหน้ามากกว่า

ภายในใจของหนิงเทียนครวญครางออกมา ‘ในที่สุดเจ้าเด็กน้อยนี้ก็ฟื้น เร็วเข้า รีบมาอธิบายให้แม่เจ้าเข้าใจสักที’

“ลูกแม่เจ้าฟื้นแล้ว ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น กลับบ้านเรากันก่อน”

หญิงสาวเช็ดน้ำตาขณะที่เธอประครองปี้ยี่ขึ้นมา เธอหยิบตะกร้าผักและตั้งใจจะมุ่งกลับบ้านอย่างทันที

โดยไม่สนใจหนิงเทียนอีกต่อไป ราวกับว่าหนิงเทียนเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน

หนิงเทียน “นี้มัน.....” มันจนคำพูดกับสตรีตรงหน้ามันอย่างแท้จริง

เปรี้ยงงง!!!! ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องดังสนั่น เมื่อสิ้นเสียงสายฝนห่าใหญ่ตกลงมาทันที

ซ่า ซ่า .....

หนิงเทียนไม่รู้ว่าตัวเองจะไปหลบที่ใด เขาจึงใช้ลมปราณปกคลุมร่างไว้แล้ววิ่งตามหลังทั้งสองคนไปอย่างรวดเร็ว

เหตุผลที่มันใช้ลมปราณปกคลุมร่างของมันไว้ ไม่ใช่ว่ามันกลัวสายฝนแต่อย่างใด แต่ที่มันทำเช่นนี้ เพียงแค่ไม่อยากให้เสื้อที่มารดาห้าเย็บให้เปียกน้ำฝนเท่านั้น

หนิงเทียนเห็นทั้งสองวิ่งเข้าไปหลบฝนในบ้านร้างจึงได้ติดตามเข้าไป

หญิงสาววิ่งหลบสายฝนอย่างเร่งรีบโดยมิได้สนใจว่าหนิงเทียนกำลังตามเข้ามาในบ้าน

นางหยิบผ้าถักผืนเก่าๆมาเช็ดหัวให้ปี้ยี่ ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มซีดจากความหนาวเย็น

นางมีผ้าเพียงผืนเดียวและได้ใช้ห่มคลุมกับลูกของนางไปแล้ว

ร่างกายของนางเปียกชื้น น้ำจากสายฝนทำให้เห็นเรือนรางของนางอย่างเด่นชัด เส้นผมที่เปียกน้ำกับผิวที่ขาวแม้จะทำงานหนัก

ใบหน้าที่มอมแมมถูกชำระด้วยสายฝนเผยให้เห็นใบหน้าที่กระจางใสสวยงามทันที

หนิงเทียนจ้องมองอย่างตกตะลึง……..

เมื่อสายตาของหญิงสาวเหลือบไปเห็นหนิงเทียนที่ยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าของเธอแสดงความตกใจออกมา “นี้เจ้า เข้ามาที่บ้านข้าได้อย่างไร?”

“บ้านเจ้า? เห๊อะ บ้านร้างทุกที่เป็นของเจ้าหมดหรือไง?” หญิงสาวนางนี้ช่างใจแคบนัก เพียงแค่ข้าอาศัยบ้านร้างเพื่อหลบฝน ยังจงใจโกหกเพื่อไล่ข้าออกไป

“นี้เจ้า!! เหตุใดถึงมาดูถูกข้า...รีบออกไปจากบ้านข้าเดียวนี้ก่อนที่ข้าจะร้องตะโกนให้คนช่วย”

บนใบหน้าของนางแสดงออกถึงโทสะเล็กน้อยถึงอย่างนั้นก็ตามมันยิ่งทำให้นางมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

“นี้เจ้าพูดเรื่องจริง?” หนิงเทียนหันไปมองรอบๆ เขาส่ายหัวก่อนจะเอ่ย “ไม่จริง เจ้าอย่ามาหลอกข้า นี่มันบ้านร้างชัดๆ”

บ้านโกโรโกโสนี้คือบ้านคน หนิงเทียนใช้เวลาทำใจอยู่ชั่วครู่

บ้านที่อยู่ตรงหน้ามันทำจากหินและโคลน นอกจากเก้าอี้และเตาแล้ว มีเพียงแค่เตียงเก่าๆสองตัวนอกนั้นไม่มีอะไรเลย

“เจ้าโจรร้าย...เหตุใดเจ้าถึงทำร้ายปี้ยี่และยังมาดูถูกบ้านของพวกเรา” หญิงสาวพลางหยิบมีดหั่นผักเล่มเดิมออกมา

“ถ้าเจ้ายังไม่ออกไปอย่าหาว่าข้าโหดร้าย” นางชี้ปลายมีดไปที่หน้าของหนิงเทียน

หนิงเทียนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จู่ๆก็มีเสียงเล็กเบาดังออกมา “ท่านแม่ ท่านหมายถึงใครที่ทำร้ายข้า”

หญิงสาวใช้มีดหั่นผักชี้ไปทางหนิงเทียน “เจ้าโจรร้ายนี่มันทำร้ายลูกและยังจะลักพาตัวลูกไป โชคดีที่แม่ไปพบเจอและช่วยลูกไว้ได้”

หนิงเทียน ‘.…….’ มันจนปัญญากับสตรีตรงหน้า มันได้แต่คิดในใจทำไมไอเด็กบ้านี่ไม่รีบพูดอะไรสักอย่าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด