ตอนที่แล้วตอนที่ 5 โอหยางสือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 พยัคฆ์ทมิฬกลืนจันทรา

ตอนที่ 6 ม้วนภาพเทพยุทธ์


บริเวณทางเข้าห้องโถงกลางตำหนักภูตกระบี่ ปรากฏร่างบุรุษในชุดเขียว ใบหน้าอ่อนวัยกว่าเดิม คิ้วโค้งยาวเรียวงามเป็นรูปงู ดวงตาเปล่งประกายสีเขียวเจิดจ้า ย่างกรายเข้ามา

“คาราวะพี่ใหญ่” บุรุษชุดเขียวกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม

“ประเสริฐที่สุด น้องรองเจ้าสามารถทะลวงเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิได้สำเร็จแล้ว”

“พี่รอง ข้ายินดีด้วย” หวงหลงและจูซ่งกล่าวขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าของพวกมันยิ้มแย้มยินดีราวกับว่าเรื่องสำคัญนี้ได้บังเกิดขึ้นกับตัวเอง

“พี่รอง ท่านก้าวนำหน้าข้าไปอีกแล้ว หวังว่าท่านคงจะไม่รังแกน้องเล็กเช่นข้าหรอกนะ”

ได้ยินเช่นนั้นบุรุษชุดเขียวส่งยิ้มกลับไป “ใครกล้าที่จะรังแก ธิดาโลหิต มันผู้นั้นคงเบื่อหน่ายกับชีวิตเป็นแน่” สิ้นเสียงฉางกงปรายตามองไปทางหนิงเทียนด้วยสีหน้าและแววตาคนึงถึง “เทียนเอ๋อ ไม่เจอเพียงแค่สี่ปี โตขึ้นขนาดนี้แล้วรึ”

“คาราวะท่านพ่อรอง” หนิงเทียนโค้งศีรษะลงก่อนจะแหงนหน้าขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ห้าปีแล้วต่างหาก ตอนนี้ลูกอายุห้าปีแล้วขอรับ”

ราชันหมื่นพิษ เกาฉางกงผู้เป็นบิดารอง เก็บตัวฝึกฝนบ่มเพาะลมปราณเป็นเวลานานถึงห้าปี ทำให้นอกจากตำราหมื่นพิษที่ทิ้งเอาไว้ให้แล้ว หนิงเทียนแทบไม่ได้พบหน้าบิดารองของมันเลย

“เจ้าท่องตำราหมื่นพิษของพ่อรองไปถึงไหนแล้ว??” น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนของคนผู้นี้ ราวกับไม่ใช่ผู้ที่สร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนชั้นฟ้าเมื่อครู่เลย

หนิงเทียนตอบ “ข้าท่องจำได้ทั้งหมดแล้วขอรับ”

“ดี...ดีมาก ตั้งแต่บัดนี้ไปพ่อรองจะสอนวิธีใช้พิษทั้งหมื่นชนิดให้แก่เจ้า ไม่ขาดแม้แต่ชนิดเดียว”

“ขอบพระคุณท่านพ่อรอง” หนิงเทียนตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง

บุรุษชุดเขียวพยักหน้าขึ้นลงให้กับบุตรชายและหันมองไปยังพี่ใหญ่ของมัน

“พี่ใหญ่ท่านนี่ใจร้ายจริงๆ ท่านหารือเรื่องสำคัญโดยที่ไม่รอข้าคนนี้ได้อย่างไร??”

“ฮะฮาฮ่าๆ ไม่ใช่พี่ใหญ่ไม่รอเจ้า พี่ใหญ่เพียงแค่ทำตามกำหนดเวลาที่เราตกลงกันไว้เท่านั้นเอง” บุรุษชุดขาวรีบหัวเราะกลบเกลื่อน เดิมทีมันต้องการให้หนิงเทียนบ่มเพาะวิชาอัตถะวิสุทธิ์ แต่ไม่คาดคิดว่าน้องรองจะประสบความสำเร็จและออกมาในเวลาที่สำคัญเช่นนี้

จากนั้นบุรุษชุดขาวรีบเปลี่ยนเนื้อหาของการสนทนา “น้องรอง ในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?”

อีกฝ่ายกล่าวตอบ“ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด พี่ใหญ่ต้องการให้เทียนเอ๋อ ฝึกวิชากายาเทพอสูรใช่หรือไม่”

หาใช่เรื่องแปลกอันใด ที่เกาฉางกงจะสามารถคาดเดาได้ หากมองด้วยสายตาเป็นกลางแล้ว ในบรรดาพี่น้องทั้งห้าคน วิชากายาเทพอสูรของน้องสามเป็นกายาที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงขนาดเป็นคำพูดที่มันชอบเย้าแหย่น้องสามว่า ‘กระสอบทราย หวงหลง’ ก็เพราะว่าทักษะกายาที่แข็งแกร่งจนยากที่จะเอาชนะลงได้

“ไม่ผิดอย่างที่เจ้าคาดเดา และในเวลานี้เรากำลังจะหารือกัน เกี่ยวกับทักษะบ่มเพาะของเทียนเอ๋อ”

ในบรรดาพวกมันห้าคนแล้ว หากเปรียบเป็น ‘ห้าที่สุด’ บุรุษชุดขาวก็คือตัวแทนของความรุนแรงที่สุด หวงหลงเป็นดั่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ชายชุดดำรวดเร็วที่สุดและเทียนไห่ชางเยว่โหดเหี้ยมที่สุด ส่วนเกาฉางกงผู้นี้คงได้รับ คำว่า ฉลาดที่สุดไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“ตามความเห็นของข้า ทักษะวิญญาณราชัน ทักษะเพลิงสุริยันและทักษะเหมันนิรันดร์ แม้สามทักษะบ่มเพาะนี้จะเป็นทักษะระดับสุดยอดในดินแดนสวรรค์ แต่ด้วยเหตุผลในการฝึกและพรสวรรค์แต่กำเนิดที่แตกต่างกันอย่างมากจึงไม่ใช่วิชาที่เหมาะสม

ถึงจะฝึกฝนได้ แต่ไม่เหมาะจะเป็นทักษะวิชาหลัก จะเหลือเพียงแต่วิชาอัตถะวิสุทธิ์และวิชาเทวะอุดร ที่เป็นเคล็ดบ่มเพาะสายกลางเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ว่าจะคู่ควรกับเทียนเอ๋อ”

แม้จะไม่ได้เน้นในคำพูด แต่คำว่า ‘ไม่แน่ว่าจะคู่ควร’ ที่กล่าวออกมา ก็ได้ยินกันไปอย่างทั่วถึง

“น้องรองเหตุใดเจ้าถึงกล่าวออกเช่นนั้นเล่า” โดยส่วนตัวของบุรุษชุดขาวคิดว่าทักษะบ่มเพาะของมันหรือทักษะของน้องรองเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

“ห้าสิบสี่จุด เก้าแก่นแท้พรสวรรค์แต่กำเนิด คู่ควรที่จะทำในสิ่งที่สวรรค์คาดไม่ถึง” เกาฉางกงยังกล่าวต่อ “พี่ใหญ่ ท่านจำเหตุการณ์ที่หลุมฝังศพของจักรพรรดิบรรพกาล หวงตี้ได้หรือไม่?”

เมื่อบุรุษชุดขาวได้ยินเช่นนั้น มันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ราวกับกำลังนึกทบทวนความทรงจำครั้งก่อนอยู่ภายในใจ

และเป็นหวงหลงที่ได้กล่าวแทรกขึ้นว่า “ใครจะไปลืมเหตุการณ์นั้นได้ ถ้าพี่ใหญ่ไม่รั้งท้ายให้พวกเราทั้งหมดหลบหนี คงได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นั้นกันหมดแน่ สุสานของผู้สร้างแผ่นดิน แค่คิดถึงมันก็ไม่อยากกลับไปอีกแล้ว”

“พี่รอง แล้วหลุมฝังศพจักรพรรดิบรรพกาลมาเกี่ยวอะไรกับทักษะบ่มเพาะที่เรากำลังหารือกันอยู่” น้องสี่ของมันถามออกด้วยความสงสัย

เป็นหญิงสาวที่ฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ก่อน ดวงตาอันสดใสของนางต้องเบิกกว้าง “พี่รองหรือว่า...ท่านคิดจะใช้ ม้วนภาพโบราณ!!!”

“ถูกต้องแล้ว ม้วนภาพโบราณหรืออีกชื่อหนึ่ง ‘ม้วนภาพเทพยุทธ์’ จำได้หรือไม่ คำกล่าวที่สลักไว้บนแผ่นศิลา หากผู้ใดสามารถมองเห็นภาพได้ ผู้นั้นจะกลายเป็นราชันแห่งจักรพรรดิปราบศึกสามแผ่นดิน”

ได้ยินถึงชื่อของ “ม้วนภาพเทพยุทธ์” ทำให้ทั้งห้าคนตกอยู่ในความเงียบ

แม้หนิงเทียนจะสงสัยในสิ่งที่บิดามารดากำลังคุยกัน แต่มันก็ไม่กล้าพอที่จะเปล่งเสียงออกมาทำลายความเงียบครั้งนี้

จูซ่งจมอยู่ในห้วงความคิด มันนึกย้อนกลับไปเมื่อพันปีก่อน ในเวลานั้นไม่ใช่พวกมันเพียงกลุ่มเดียวที่ได้เข้าไปสำรวจหลุมฝังศพของจักรพรรดิผู้สร้างแผ่นดินหวงตี้ ยังมีขุมอำนาจอื่นในระดับจักรพรรดิที่หมายปองต่อสมบัติที่อยู่ภายใน การต่อสู้ชุลมุนแย่งชิงเกิดขึ้นอย่างดุเดือด จักรพรรดิเกือบทั้งหมดเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ และสุดท้ายเป็นมันที่ได้หยิบฉวยม้วนภาพโบราณออกมา

พวกมันห้าคนยอมเป็นศัตรูกับคนทั่วทั้งพื้นที่ราบภาคกลางเพียงเพราะสมบัติชิ้นนี้ แต่สุดท้ายแล้วทั้งห้าก็ไม่สามารถที่จะไขความลับของม้วนภาพเทพยุทธ์ได้ กาลเวลาผ่านไปถึงพันปี ทักษะบ่มเพาะที่ไม่สามารถใช้การได้จึงกลายเป็นเพียงของไร้ค่าที่พวกมันไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป

จูซ่งเปล่งเสียงออกมาทำลายความเงียบ “ครั้งหนึ่ง ข้าเคยพยายามส่งจิตสัมผัสเข้าครอบครองม้วนภาพเทพยุทธ์แต่กลับถูกพลังลึกลับด้านต่อต้านเอาไว้”

พี่ใหญ่ของพวกมันกล่าวเสริม “ม้วนภาพเทพยุทธ์ถูกสลักด้วยอาคมโบราณ หากใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อจะเปิดมันออก ม้วนภาพจะสลายกลายเป็นฝุ่นผงทันที มีเพียงต้องทำให้มันยอมรับเท่านั้นจึงจะสามารถค้นหาความลับภายในได้”

“พวกเราไม่รู้เลยว่า ทักษะม้วนภาพเทพยุทธ์ มีความสามารถเช่นไร เรารู้จักมันแค่เพียงผ่านข้อความที่สลักเอาไว้บนป้ายหลุมศพเท่านั้น บางทีมันอาจเป็นเพียงวิชาทั่วๆไป หรืออาจจะพิเศษกว่าทักษะอื่นๆนิดหน่อย แต่ก็มิได้แข็งแกร่งไปกว่าทักษะบ่มเพาะของพวกเราห้าคน” หวงหลงกล่าว

“น้องสามกล่าวเช่นนั้นไม่ถูกเสียทีเดียว ทักษะวิชาที่มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเองและมีอาคมโบราณคอยปกป้อง ไม่อาจเห็นเป็นวิชาธรรมดาสามัญได้”

“ก็อย่างที่น้องรองกล่าวมา ตอนที่พี่ใหญ่ยังเยาว์วัย อาจารย์ปู่ได้เล่าให้ฟังว่าพื้นที่ราบภาคกลาง เดิมเป็นพื้นที่รกร้างทั้งหมดและเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมาย หาได้รวมเป็นแผ่นดินใหญ่เช่นทุกวันนี้ จนวันหนึ่งมีบุรุษที่สามารถขับไล่ปีศาจร้ายให้ออกไปจากแผ่นดินและกำราบทุกเผ่าพันธุ์ลงได้ มันผู้นั้นได้ตัดแผ่นดิน ยกแดนฟ้าและขีดเส้นกั้นมิให้เผ่าพันธุ์อื่นๆสามารถรุกรานเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยเหตุนี้ พื้นที่ราบภาคกลางจึงถูกเรียกแทนชื่อของจักรพรรดิผู้นั้นว่า แดนสวรรค์หวงตี้”

“หวังว่าทักษะบ่มเพาะของมันจะยิ่งใหญ่เหมือนกับเรื่องราวเล่าขาน ไม่เช่นนั้นแล้วบุตรชายของหวงหลงคงต้องพบกับความอาภัพที่ได้ฝึกฝนวิชาลึกลับไร้ประโยชน์”

เทียนไห่ชางเยว่มิได้สนใจในคำพูดของหวงหลง นางรีบดึงสติของคนอื่นๆกลับมาด้วยคำถาม “พี่รองหรือว่าท่านมีวิธีคลายอาคมผนึกโบราณ อย่าลืมสิว่า พวกเราใช้เวลาถึงพันปีก็ยังไม่สามารถคลี่คลายได้สำเร็จ??”

ตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อพันปีก่อน ทั้งห้าคนยังไม่สามารถไขความลับของม้วนภาพเทพยุทธ์ได้อยู่ดี

เกาฉางกงไม่ได้ตอบคำถามนี้ มันเพียงหยุดนิ่งด้วยแววตาครุ่นคิดเป็นอย่างหนักก่อนจะกล่าวออกมา “ทุกคนยังจำข้อความที่สลักไว้บนสุสานจักรพรรดิได้หรือไม่??”             จูซ่งตอบกลับ “หากผู้ใดสามารถมองเห็นภาพได้ ผู้นั้นจะกลายเป็นราชันแห่งจักรพรรดิปราบศึกสามแผ่นดิน”

บุรุษชุดเขียวส่ายหน้า “ไม่ใช่ ยังมีอีกหนึ่งประโยค”

ทั้งสี่ได้ยินเช่นนั้น แววตาของพวกมันทั้งหมดเปล่งประกายออกมาราวกับบรรลุถึงความรู้แจ้ง

“น้องรองหากเจ้าไม่พูดถึง พี่ใหญ่ก็เกือบจะลืมไปแล้ว!!!”

เกาฉางกงพยักหน้าพร้อมกับทวนคำพูดเหล่านั้นออกมาอีกครั้ง “วิชาของข้าไร้ผู้สืบทอด เบื้องบนไร้ตา ดับสิ้นสวรรค์เทวะ ม้วนภาพเทพยุทธ์สาบสูญชั่วนิรันดร์”

“เมื่อพิจารณาถึงข้อความที่จักรพรรดิหวงตี้ทิ้งเอาไว้ เหตุใดวิชาที่สุดยอดจึงไร้ผู้สืบทอดและคำว่าดับสิ้นสวรรค์เทวะในข้อความหมายถึงสิ่งใด?? ตอนที่ข้าได้พบกับเทียนเอ๋อ ข้าก็เริ่มที่จะสงสัย ร่างกายเทวะสวรรค์ที่มีเพียงแต่ในตำนานกับคำว่า ดับสิ้นสวรรค์เทวะที่สลักไว้บนสุสานจักรพรรดิหวงตี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่”

“พี่รองท่าน หมายถึงผู้ที่จะปลดผนึกอาคมโบราณได้ ต้องเป็นผู้ที่เปิดเส้นลมปราณทั้งหมดห้าสิบสี่จุดและมีพรสวรรค์เก้าแก่นแท้แต่กำเนิดงั้นรึ??” ประกายความหวังเกิดขึ้นในดวงตาของจูซ่ง

“ข้ามั่นใจเพียงแค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น ที่เหลือก็ต้องลองดู”

บุรุษชุดขาวกล่าวเสริม “เหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ นอกจากจะต้องมีร่างกายเทวะสวรรค์ในตำนานแล้ว ยังต้องเป็นผู้ฝึกตนในดินแดนมนุษย์ เนื่องจากอาคมผนึกโบราณไม่สามารถรับพลังที่เกินกว่าดินแดนมนุษย์ได้ ไม่เช่นนั้นม้วนภาพเทพยุทธ์ก็จะสลายหายไป”

หวงหลงกล่าวออกเสียงดัง “น่าขัน วิชาแปลกประหลาดเช่นนี้ใครจะไปฝึกฝนได้

ต่อให้ในหนึ่งแสนปีจะพบเจอร่างกายเทวะสวรรค์สักหนึ่งคน แต่ถ้ามันผู้นั้นบ่มเพาะลมปราณไปถึงดินแดนนักรบแล้ว ก็ไม่สามารถปลดผนึกม้วนภาพเทพยุทธ์ได้อยู่ดี ข้าคิดว่าหวงตี้อะไรนั้น คงจะงกวิชาไม่อยากให้ใครฝึกเสียมากกว่า ถึงได้สร้างข้อกำหนดสุดแปลกพิสดารเช่นนี้ขึ้นมา”

เกาฉางกงหันมองไปยังพี่ใหญ่ของมัน “เอาอย่างไรต่อไป ให้พี่ใหญ่เป็นคนตัดสินใจเถิด”

ได้ยินเช่นนั้นบุรุษชุดขาวพิจารณาอยู่ชั่วครู่ “น้องรองที่เจ้าพูดมามีความเป็นไปได้ไม่น้อย เช่นนั้นพวกเรามาลองดูกันสักตั้ง”

“พี่ใหญ่ ถ้าไม่ใช่อย่างที่พี่รองคาดเดา ข้าเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเทียนเอ๋อ” น้ำเสียงเป็นห่วงของชางเยว่ดังขึ้น

“น้องห้าเจ้าวางใจได้ มีพวกเราห้าคนอยู่ที่นี้จะต้องไม่มีปัญหา” บุรุษชุดขาวกล่าวตอบ

“ในสถานะการณ์ที่เลวร้ายที่สุดพวกเราก็แค่ทำลายม้วนภาพเทพยุทธ์ทิ้งไปอย่างไม่เสียดาย” จูซ่งกล่าวออกโดยมิแยแสใดๆ แม้จะเป็นของวิเศษที่เหนือกว่าของวิเศษ หากแต่มาทำร้ายบุตรชายเพียงคนเดียวละก็ มันจะทำลายของวิเศษนั้นทิ้งโดยไม่มีความลังเลใดๆ

“เป็นตามที่น้องสี่กล่าวมา หากเกิดเหตุร้ายขึ้น พวกเราจะทำลายม้วนภาพเทพยุทธ์ทันที” เกาฉางกงกล่าวต่อเพื่อคลายความกังวลใจให้แก่น้องห้า

“ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนเห็นตรงกัน เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ” พี่ใหญ่ของพวกมันกล่าวปิดท้าย

เพียงเวลาชั่วอึดใจ บุรุษชุดขาวหยิบก้อนศิลาสีทองออกมา มันมีขนาดประมาณก้อนมุกทั่วไป มีแสงทองสว่างออกมาจากก้อนศิลาราวกับว่า ถ้าทั้งโลกตกอยู่ในความมืดแสงทองนี้จะไม่มีวันจางหายไป

หนิงเทียนมองไปยังก้อนศิลาสีทองด้วยความฉงน ม้วนภาพโบราณเหตุใดถึงกลายเป็นศิลาสีทองไปได้ หากแต่เมื่อหนิงเทียนมองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้น มุมเหลี่ยมของก้อนศิลาสีทองคล้ายกับสลักลายเส้นบางอย่างเอาไว้ ‘ควรเรียกว่าก้อนหินสลักภาพจะดีกว่ามั้ง’

เสียงของบิดาใหญ่ปลุกมันจากภวังค์ความคิด “เทียนเอ๋อ ให้เจ้าหยดเลือดลงไปบนศิลาก้อนนี้”

“ขอรับท่านพ่อใหญ่” หนิงเทียนใช้ปลายเล็บ กรีดไปที่นิ้วชีของมัน พร้อมกับปล่อยให้โลหิตสีแดงสดไหลลงไปที่ศิลาสีทองอย่างช้าๆ

เมื่อหนิงเทียนหยดเลือดลงไปบนศิลาสีทองเรียบร้อย กลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาก่อเกิดใดๆทั้งสิ้น ทั้งห้าคนมองไปที่กันและกันด้วยความรู้สึกเสียดายระปนความโล่งใจ

“ครั้งนี้ พี่รองคงจะคิดผิดแล้ว” เทียนไห่ชางเยว่กล่าวออกด้วยความรู้สึกโล่งอก ไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับบุตรชายของนางก็ดีมากพอแล้ว

แต่แล้วยังไม่ทันสิ้นเสียงกล่าวดี พลันเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น แสงสีทองจากก้อนศิลา ค่อยๆหม่นลง และเพียงแค่สามลมหายใจเท่านั้น ศิลาเรืองแสงสว่างกลับกลายเป็นเพียงก้อนศิลาอับแสงเสมือนเช่นศิลาทั่วๆไป

“พี่ใหญ่เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?” หวงหลงกล่าวด้วยสีหน้างุนงง...ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากพี่ใหญ่ของมัน ความเงียบเข้ามาปกคลุมห้องโถงกลางอีกครั้งหนึ่ง

หนิงเทียนซึ่งปัจจุบันกำลังปิดเปลือกตาทำสมาธิ ไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของก้อนศิลาแม้แต่น้อย

แสงสว่างจากก้อนศิลาสีทองไม่ได้หายไป มันเพียงเปลี่ยนตำแหน่งในการเปล่งแสงเท่านั้น ไม่นานนัก หนิงเทียนรู้สึกได้ถึงจุดเล็กสีทอง ก่อนจะกลายเป็นประกายเรืองรอง ส่องสว่างอยู่ในจิตใจ จากนั้นแสงสีทองภายในใจของหนิงเทียนเกิดการสั่นไหวและค่อยๆเปลี่ยนแปลงกลายเป็นพื้นที่ว่างลึกลับ

หนิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก มันต้องการที่จะเปิดตาขึ้นแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ราวกับว่าจิตวิญญาณกับร่างกายถูกแยกออกจากกันไปชั่วขณะ

อากาศหนาวเย็นเกิดขึ้นภายใต้การรับรู้ทางจิต จากนั้นคัมภีร์สีทองได้ปรากฏขึ้นในดวงตา อักขระที่อยู่ภายในพร่ามัวไม่ชัดเจน ‘ดูเหมือนกำลังเกิดบางอย่างขึ้นกับข้า’

ด้วยความสงสัยหนิงเทียนมองไปที่คัมภีร์สีทอง จากนั้นเริ่มพลิกไปทีละหน้าด้วยความสงสัยปนความอยากรู้อยากเห็น และสิ่งที่เห็นทำให้หนิงเทียนเกิดอาการตกตะลึงเป็นที่สุด ดูเหมือนว่าทักษะบ่มเพาะมากมายหลายร้อยแขนงจะถูกเก็บเอาไว้ในคัมภีร์เล่มนี้

กระทั่งสุดยอดทักษะบ่มเพาะอย่าง อัตถะวิสุทธิ์ เหมันนิรันดร์ เทวะอุดร เพลิงสุริยันและวิญญาณราชัน ที่บิดามารดาพูดถึงยังมีปรากฏให้เห็นในคัมภีร์สีทองเล่มนี้

“ใครกันที่สามารถรวบรวมสุดยอดทักษะวิชาบ่มเพาะไว้มากมายขนาดนี้ได้”

ขณะเดียวกันแสงสีทองในจิตวิญญาณของหนิงเทียนเกิดสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง ลำแสงหมุนทวนอย่างบ้าคลั่ง เกิดเป็นภาพเลือนรางที่มาพร้อมกับความเจ็บปวด สติปั่นป่วน ดวงตากำลังมืดลงราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาได้ถูกกลืนกินจากคัมภีร์สีทอง

ภายใต้สถานการณ์แปลกประหลาด หนิงเทียนรู้สึกตกใจ มันพยาพยามที่ขยับร่างกายและเปิดตาขึ้น แต่ก็ตระหนักได้ว่าร่างกายไม่สามารถที่จะขยับได้ตามใจนึก เพราะสิ่งประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนี้ อยู่ภายในจิตวิญญาณของเขาเท่านั้น

ภายในห้องโถงใหญ่ตำหนักภูตกระบี่ ร่างกายของหนิงเทียนอยู่ในลักษณะนั่งสมาธิ ดวงตาปิดลง ไร้ซึ่งสัญญาณของการตอบสนองใดๆมีเพียงลมหายใจแผ่วเบาที่ยังบ่งบอกถึงชีวิต

“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับเทียนเอ๋อ!!!” เทียนไห่ชางเยว่ เผยให้เห็นสีหน้าเป็นกังวลนางรีบเร่งเร้าลมปราณออกมาหมายจะทำลายศิลาสีทองทิ้ง

“ช้าก่อนน้องห้า” พี่รองของนางกล่าวห้ามเอาไว้ ยังไม่ทันสิ้นเสียงกล่าวดี แสงสว่างสีทองได้ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหนิงเทียน

“นั้นคือ การรับรู้ที่แท้จริง มันคือการรับรู้ที่แท้จริง!!!” หวงหลงจ้องมองด้วยความประหลาดใจ ทั้งหมดต่างย้ายสายตาไปรวมกันอยู่ที่หนิงเทียนแต่เพียงผู้เดียว

“นี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ข้าจะกางอาคมดึงสวรรค์ เพื่อป้องกันการรั่วไหลของลมปราณและจิตวิญญาณ พวกเจ้าทั้งสี่รีบกลั่นลมปราณบริสุทธิ์ออกมา ช่วยรักษาสภาวะการรับรู้ของเทียนเอ๋อมิให้ขาดห้วง” สิ้นเสียงของบุรุษชุดขาว ลมปราณบริสุทธิ์ทั้งสี่สาย พวยพุ่งออกมาจากสองมือของคนทั้งสี่

ความเจ็บปวดของหนิงเทียนค่อยๆผ่อนคลายลง เด็กหนุ่มได้ลืมตาขึ้นมาในห้องที่สว่างไสวไปด้วยแสงเทียนสีทอง มองไปรอบๆห้อง มีเพียงเก้าอี้เก่าๆตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณมุมมืดของห้อง บนเก้าอี้ปรากกฎร่างของภูตผี แต่หากมองให้ชัดตาแล้ว จะเห็นเป็นชายวัยกลางคนอยู่ในชุดคลุมสีทอง สีหน้าของชายคนนั้นซีดขาวและเลือนราง แต่ถึงอย่างนั้นยังคงให้เห็นความเกลี้ยงเกลาบนใบหน้า ทำให้ผู้ที่มองไปบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นในใจ

ด้วยลมปราณบริสุทธิ์จำนวนมากจากภายนอก ช่วยให้ร่างกายที่คล้ายภาพขุ่นมัวเลือนรางเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ชายคนนั้นมองมาที่หนิงเทียนด้วยสีหน้าแปลกใจ “ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อย จะมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งอยู่สินะ”

“ท่านคือใคร?? และที่นี่คือที่ไหน??” คำถามของหนิงเทียนดังขึ้นพร้อมๆกับสัญชาตญาณที่สั่งให้มันถอยหลังออกห่าง

ชายในชุดคลุมสีทองยิ้มอ่อนพร้อมกับตอบคำถามของอีกฝ่าย “ข้าคือเจ้าของศิลาผนึกทอง ที่นี่คือแหล่งกำเนิดพลังของข้า ศิลาผนึกทอง” เขาตอบคำถามแรกและคำถามที่สองอย่างรวดเร็วอีกทั้งยังกล่าวต่อไป

ได้ยินเช่นนั้น หนิงเทียนพลันนึกถึงเรื่องราวที่บิดาของมันสนทนากัน “เจ้าของศิลาผนึกทอง?? จักรพรรดิบรรพกาลหวงตี้!! เป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิบรรพกาลผู้นั้นล่วงลับไปแล้ว??” เห็นได้ชัดว่าหนิงเทียนไม่เชื่อในคำกล่าวของชายลึกลับผู้นี้

“ไม่ผิด ร่างกายข้าดับสูญไปนานหลายหมื่นปีแล้ว” อีกฝ่ายตอบความสงสัย และกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อย ที่เจ้าเห็นเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของการรับรู้ที่ข้าได้เก็บรักษาไว้ในศิลาผนึกทองก่อนที่ข้าจะละสังขารจากโลกนี้ไปเท่านั้นเอง มิได้เอาชนะกาลเวลาได้อย่างที่เจ้ากำลังคิด”

จักรพรรดิบรรพกาลหวงตี้ยังกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของเขาดุจดั่งเทพเซียนผู้สร้างโลก “หากข้ายังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ละก็ คนที่ควรจะเป็นฝ่ายตกใจก็คงไม่ใช่เจ้า แต่เป็นข้าต่างหาก การที่เจ้าสามารถปลดอาคมป้องกันของศิลาผนึกทองได้นั้น แสดงว่าร่างกายเทวะสวรรค์ในตำนานมีอยู่จริงไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องโกหก”

“..........”

“เด็กน้อย จิตวิญญาณของข้าอยู่ล่วงพ้นวัฏจักรของเวลา เพียงเพื่อที่จะได้พบกับผู้สืบทอดอย่างเจ้า นับว่าสวรรค์ยังเห็นใจข้าอยู่บ้าง เจ้าเต็มใจที่จะสืบทอดพลังของข้าหรือไม่?”

แน่นอนว่านี้คือคำถาม ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เว้นช่องว่างให้หนิงเทียนได้ครุ่นคิดหรือตอบกลับ “ข้าก็ถามไปตามมารยาทเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่เต็มใจ ก็คงต้องรับการสืบทอดครั้งนี้ เพราะเศษเสี้ยวจิตวิญญาณอย่างข้าก็ไม่อาจทนรอคอยต่อไปได้อีกแล้ว ฮาฮ่าๆ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด