ตอนที่แล้วตอนที่3 โชคชะตา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5 โอหยางสือ

ตอนที่ 4 ก้าวแรกของการฝึกตน


ราตรีเคลื่อนผ่าน ยามเช้าเวียนมาถึง วันและเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว บริเวณสันเขาเล็กๆตั้งอยู่ในป่านรกดำถูกเรียกแทนชื่อว่าเทือกเขาหมื่นบุปผา

ณ.เทือกเขาหมื่นบุปผาปรากฏร่างของเด็กน้อยผู้หนึ่งอายุอานามราวๆห้าปี กำลังนั่งขัดสมาธิ เด็กน้อยใช้ดวงตาเพ่งมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ทอดไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา

แม้เวลาจะผ่านไปถึง5ปีแล้วก็ตาม ในใจของหนิงเทียนยังนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนหน้าผาบรรจบเมฆได้เป็นอย่างดี ราวกับเป็นภาพฉายซ้ำที่เกิดขึ้นในมโนจิต จากนั้นเด็กน้อยค่อยๆหลับตาและกล่าวออกไปด้วยเสียงราบเรียบ “ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดยังไม่ออกมาอีกละ??”

ได้ยินดังนั้นชายชราหลังค่อมผมขาวทั้งหัวบังเกิดความตกตะลึงอยู่ในใจ แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจซ้อนเร้นอำพรางตัวตน แต่การที่ถูกเด็กห้าขวบจับสัมผัสได้ มันช่างเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ “ขออภัยนายน้อยที่ข้ามารบกวนเวลาฝึกฝนของท่าน”

“พ่อบ้านมู่ ท่านมีเรื่องใดถึงมาหาข้า??” หนิงเทียนกล่าวถาม

ชายชราหลังค่อมผู้นี้ คือ พ่อบ้านแห่งแดนภูตเร้นลับ นามมู่เฉิง ในดินแดนภูตเร้นลับ นอกจากบิดามารดาทั้งห้าคนแล้วก็ยังมีพ่อบ้านมู่ผู้นี้ ที่คอยทำหน้าที่จัดการความเรียบร้อยและปัญหาน้อยใหญ่ทั้งภายในและภายนอก

มู่เฉิงอยู่รับใช้แดนภูตเร้นลับมานานหลายร้อยปี ในอดีตมันเป็นเด็กถือกระบี่ให้แก่ซุนเอิน และเมื่อครั้งที่เทพกระบี่เร้นกาย มันเองก็ได้ติดตามมาอาศัยในแดนภูตด้วยพ่อบ้านมู่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้เห็นหนิงเทียนมาตั้งแต่แบเบาะ มันเฝ้าดูการเติบโตและเป็นเพื่อนเล่นให้หนิงเทียนมาตลอด

“นายหญิงให้ข้าน้อยมาตามท่านกลับไป เป็นเวลากว่าเจ็ดวันแล้วที่ท่านออกมาจากตำหนักภูตเหมันต์และไม่ยอมกลับไป”

หนิงเทียนทอดสายตามองดวงตะวัน “ผ่านมาเจ็ดวันแล้วงั้นรึ ไปเถอะท่านแม่คงเป็นห่วงข้าแย่”  เด็กหนุ่มลุกขึ้นหันกลับและเดินเข้าไปในส่วนลึกสุดของป่านรกดำอย่างช้าๆ พ่อบ้านมู่ได้แต่มองตามแผ่นหลังบางๆจนกระทั้งเลือนลับหายไปจากสายตา

“ดินแดนมนุษย์ขั้น9 ด้วยวัยห้าขวบ พรสวรรค์ของนายน้อยช่างเกินกว่าจะจินตนาการได้ ข้ามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีไม่เคยเห็นผู้เยาว์คนไหนน่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย!!!”

พ่อบ้านมู่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้เห็นพัฒนาการของหนิงเทียนอย่างต่อเนื่อง เมื่อหนิงเทียนอายุ1ปีสามารถเรียนรู้และพูดได้ อายุ2ปีสามารถเขียนอ่านตัวอักษรได้ทุกแขนง

ตอนอายุ3ปีเดินเหินคล่องแคล้วว่องไว อายุ4ปีเริ่มต้นฝึกฝนลมปราณและอายุ5ปีสามารถข้ามผ่านแดนมนุษย์ทั้ง9ได้สำเร็จ

ตั้งแต่ที่หนิงเทียนเกิดมาในโลกนี้ เขามีเรื่องราวสองสามประการที่ทำเป็นกิจวัตร ประการที่หนึ่ง เขารับการฝึกสอนจากบิดามารดาทั้งห้าอย่างเคร่งครัด ทำให้มีพื้นฐานความเข้าใจใน ท่าเท้า พลังหมัด และเพลงกระบี่ ประการที่สองก็คือการจดจำและเรียนรู้ เมื่ออายุได้2ปี เขาก็สามารถอ่านตำราและวิชาต่างๆมากมายในตำหนักภูตสังหารที่ทูตมรณะใช้เวลารวบรวมมาทั้งชีวิตจนหมดเกลี้ยง อีกทั้งยังศึกษาตำราพิษที่ราชันหมื่นพิษทิ้งไว้ให้จนเชี่ยวชาญ และประการสุดท้าย หนิงเทียนมักจะเข้าไปในเขตของสัตว์ป่าและทำการต่อสู้สั่งสมประสบกาณ์อยู่เป็นประจำ

หนิงเทียนรู้ดีว่า ไม่ว่าจะโลกไหนความจริงข้อเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ ผู้แข็งแกร่งยอมมีสิทธิ์ขีดชะตาชีวิตให้แก่ผู้อ่อนแอ

แต่ถึงอย่างนั้น นอกจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งที่หนิงเทียนชอบรองลงมาคือการฟังเรื่องราวภายนอกจากมารดาห้า เขารับรู้จากคำบอกเล่ามากมายอาทิเช่น เมื่อพันปีก่อน บิดามารดาทั้งห้าได้สาบานเป็นพี่น้องกัน พวกเขาทั้งห้าเบื่อหน่ายกับการต่อสู้และชีวิตที่มีแต่การเก่งแย่งชิงดี จึงได้สร้างแดนภูตเร้นลับขึ้นมาและเร้นกายหลบหนีจากเรื่องราวต่างๆในพื้นที่ราบภาคกลาง

เมื่อหนิงเทียนกลับมาถึงตำหนักภูตเหมันต์ เขามุ่งหน้าตรงไปยังห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว

ภายในห้องสตรีผู้มีรูปโฉมประดุจนางเซียนบนสวรรค์ สวมเสื้อคลุมสีครามกำลังนั่งรออยู่ก่อน สตรีผู้นี้คือมารดาบุญธรรมของเขาในชีวิตปัจจุบัน

หนิงเทียนเคยได้ยินคำบอกเล่าจากปากของบิดาสาม ในอดีตชื่อของนาง คือ ‘เทียนไห่ชางเยว่’ ฉายาสั่นสะเทือนปฐพีว่า“ธิดาโลหิต” ถึงชื่อเสียงของนางจะมากล้นด้วยความอำมหิต แต่ทว่าตลอดเวลา5ปีที่มันได้รับการเลี้ยงดูมา หนิงเทียนสัมผัสได้แต่ความอบอุ่นที่ออกมาจากน้ำเสียง แววตาและอ้อมกอด ตั้งแต่หนิงเทียนได้มีชีวิตใหม่ แม่ห้าจะเป็นคนที่ตามใจเขามากที่สุด

มารดาห้ามองไปที่หนิงเทียนและใช้สองมือโอบอุ้มมันมาวางไว้ที่ตัก “ลูกแม่ไปซุกซนทีไหนมา??” ระหว่างกล่าวหญิงสาวใช้มือปัดไปที่ใบหน้าเช็ดคราบเหงื่อไคลให้หนิงเทียนด้วยความอ่อนโยน

“ลูกขออภัยที่ทำให้ท่านแม่เป็นห่วง ลูกเพียงเดินเล่นอยู่ในป่านรกดำเท่านั้น” หนิงเทียนก้มศีรษะลงมันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด

หญิงสาวมองไปยังบุตรชายอย่างอ่อนโยน “อย่าห่วงไปเลยแม่ไม่ได้จะกล่าวตำหนิเจ้า เพียงแต่การที่แม่เรียกเจ้ามาที่นี่ ก็เพราะว่า วันพรุ่งนี้เจ้าจะอายุครบหกปี พ่อใหญ่ของเจ้าได้เรียกพวกเราให้ไปรวมตัวกันที่ตำหนักภูตกระบี่เพื่อหารือเรื่องสำคัญ”

“เรื่องสำคัญ?? อันใดหรือท่านแม่?” หนิงเทียนถามด้วยความสงสัย

“พรุ่งนี้เป็นวันนัดหมายในการคัดเลือกทักษะบ่มเพาะให้เจ้าให้ได้”

“ทักษะบ่มเพาะ?” หนิงเทียนทวนคำพูดอีกครั้ง

“เมื่อตอนที่เทียนเอ๋อน้อยของแม่ยังเป็นทารก พ่อใหญ่ได้รอเวลาที่เจ้าเข้าสู่ดินแดนมนุษย์ขั้น9 ก็จะถ่ายทอดสุดยอดวิชาประจำตัวของพวกเราทั้งห้าให้เจ้าได้สืบสานต่อไป”

“แดนมนุษย์ขั้นที่9?? สุดยอดวิชาประจำตัว??” หว่างคิ้วของหนิงเทียนขยับเข้าหากัน มันไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ห้ากล่าวออกมาเท่าไรนัก เนื่องด้วยความรู้เหล่านี้เป็นความรู้พื้นฐานของผู้คนในพื้นที่ราบภาคกลาง ส่วนความรู้ในตำหนักภูตสังหารที่มันซึมซับผ่านการอ่านมิได้บันทึกเรื่องราวเล็กๆน้อยๆพวกนี้เอาไว้

ถึงแม้หนิงเทียนจะรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง แค่ได้ยินคำว่าบ่มเพาะ หัวใจของมันก็พ่องโตมากแล้ว ‘ข้าจะได้เรียนรู้ทักษะวิชาวิเศษพิสดารของโลกใบนี้แล้ว’

จากประสบการณ์ในชีวิตก่อน หนิงเทียนบอกได้ทันทีว่า ทักษะวิชาที่มันกำลังจะได้เรียนรู้จะต้องเป็นสุดยอดวิชาของโลกใบนี้อย่างแน่นอนยิ่งคิดมากเท่าไรจิตใจของหนิงเทียนยิ่งว้าวุ่น เขาพยายามสงบความตื่นเต้นและคงรอยยิ้มไว้ภายใน

ชางเยว่มองไปที่บุตรชายด้วยความรัก นางยิ้มเล็กๆออกมา เสมือนรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่ในใจ “กำลังสงสัยในพลังบ่มเพาะของตัวเองอยู่สินะ”

“ท่านแม่ ดินแดนมนุษย์ขั้น9? คือความแข็งแกร่งของลูกในตอนนี้หรือขอรับ” หนิงเทียนถามด้วยความสงสัย

“ไม่ผิด ในโลกของการฝึกตนได้แบ่งระดับความแข็งแกร่งของแต่ละดินแดนเอาไว้เก้าขั้น ยิ่งระดับฝึกตนสูงเท่าไรยิ่งทำให้อายุขัยยืนยาวและที่สำคัญยิ่งทำให้เจ้าไร้คู่ต่อกรอีกด้วย”

“ท่านแม่ ลูกอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกแห่งการต่อสู้ท่านแม่โปรดสอนสั่ง”

เทียนไห่ชางเยว่ยิ้มออกอย่างอ่อนโยนหากผู้ใดมาเห็น ต้องหลงใหลไปกับรอยยิ้มที่งดงามดุจนางฟ้านางสวรรค์อย่างแน่นอน “ต้องโทษพ่อสี่ของเจ้า เขาคงไม่เก็บหนังสือหรือตำราที่เขียนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเอาไว้เลยสินะ แต่เอาเถอะแม่จะค่อยๆอธิบายให้เจ้าฟังเอง พื้นฐานแรกของการฝึกตนคือระดับการบ่มเพาะ

ดินแดนของการฝึกตนแบ่งออกเป็น 9ลำดับขั้น เมื่อฝึกฝนตนถึงขั้นที่9 จะสามารถทะลวงไปสู่ดินแดนถัดไปได้ ดินแดนแรกเริ่มคือดินแดนมนุษย์ เมื่อเจ้าฝึกถึงขั้นที่9แล้วเจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะบ่มเพาะลมปราณ จึงจะสามารถทะลวงไปสู่ดินแดนต่อไปได้

มีผู้คนมากมายกว่าครึ่งในพื้นที่ราบภาคกลางติดอยู่ในขั้นที่9ของแดนมนุษย์ เพียงเพราะพวกมันไม่มีโชคชะตาได้เรียนรู้ทักษะบ่มเพาะลมปราณ

ส่วนดินแดนที่สองและสามมีชื่อว่า ดินแดนนักรบ และดินแดนองค์รักษ์ ดินแดนที่สี่ คือดินแดนแห่งปราชญ์ ดินแดนที่สี่จะมีความพิเศษอยู่เล็กน้อยผู้ที่ทะลวงเข้าสู่ดินแดนนี้ จะสามารถหลอมรวมธาตุ จากธรรมชาติหรือจากสมบัติวิเศษเข้าสู่ร่างกายตนเองได้”

“ท่านแม่ กฎแห่งธาตุอยู่มากมาย หากข้าสนใจละก็ จะสามารถหลอมรวม5ธาตุเข้าด้วยกันได้หรือไม่??” หนิงเทียนกล่าวด้วยความสงสัย

“ในดินแดนผู้ฝึกตน จำนวนธาตุที่ผู้ฝึกตนสามารถหล่อหลอมเข้าสู่ร่างกายได้ จะขึ้นอยู่กับทักษะบ่มเพาะที่ใช้และการฝึกฝนร่างกายแต่กำเนิด ตัวของแม่มีร่างกายแต่กำเนิดเป็นหยินบริสุทธิ์ส่งผลให้สามารถใช้ออกในธาตุเหมันต์น้ำแข็งได้รุนแรงที่สุด หากใช้ธาตุอื่นๆออกมา ความร้ายกาจอาจไม่เทียบเท่ากับธาตุเหมันต์น้ำแข็ง

แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ ผู้ที่มีร่างกายแต่กำเนิดหรือฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก จะได้เปรียบผู้อื่น เพราะเมื่อเข้าสู่แดนแห่งปราชญ์ จะสามารถเลือกหลอมรวมธาตุได้มากกว่าหนึ่ง เฉกเช่นพลังของแม่ ที่มีเหมันต์น้ำแข็งแต่กำเนิดและเมื่อเข้าสู่แดนปราชญ์ได้ซึมซับพลังธาตุน้ำ พลังทั้งสองเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทวีความรุนแรงให้แก่ปราณเหมันต์มากยิ่งขึ้น

ทว่าก็ยังมีบางธาตุที่เป็นคุณสมบัติของเผ่าพันธุ์เหมือนเช่นบิดาสี่ของเจ้าที่เป็นเผ่าวิญญาณ ตัวเขาเลยมีพลังธาตุมืดแต่กำเนิด ลมปราณที่ใช้ออกมาผสานกับธาตุที่หลอมรวม กลายเป็นปราณแห่งความมืด บิดาสามเองก็เช่นกัน กายาเทพอสูรผสานเข้ากับเพลิงอสูร ทำให้บิดาสามของเจ้าสามารถใช้พลังธาตุหยางได้อย่างไร้ขีดจำกัด

ทางตอนใต้ของพื้นที่ราบภาคกลาง มีทักษะบ่มเพาะที่ชื่อว่า ‘คัมภีร์เบญจธาตุ’ ผู้ฝึกทักษะนี้จะสามารถหลอมรวมธาตุทั้งห้าเข้าสู่ร่างกายอย่างไร้อุปสรรคผู้ฝึก‘คัมภีร์เบญจธาตุ’ จะสามารถใช้' ไฟ ไม้ ดิน น้ำ ทอง' ได้ดั่งใจนึก แต่ถึงกระนั้นพลังแห่งธาตุก็จะกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ประจำตัว เมื่อผู้ฝึกตนสามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนได้”

“คัมภีร์เบญจธาตุ สมควรเป็นสุดยอดวิชาในแดนใต้??” หนิงเทียนได้ฟังถึงความพิสดารมากมาย สีหน้าแสดงถึงอาการตื่นเต้น

เทียนไห่ชางเยว่หัวเราะเบาๆ “หึหึ!! มันก็แค่วิชาของเป็ดเท่านั้น*(เป็ดเป็นสัตว์ที่ทำอะไรได้หลายอย่างแต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง) แท้จริงแล้วทักษะบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนใต้คือวิญญาณทมิฬที่บิดาสี่ของเจ้าฝึกฝนอยู่ต่างหาก”

นางยังคงกล่าวอธิบายต่อ“ถัดจากแดนปราชญ์คือ ‘แดนวีรชน’ ‘ดินแดนทรราชย์’และ ‘ดินแดนราชันทรราชย์’ ตามลำดับ ระดับที่นอกเหนือจากนี้ ลูกยังไม่จำเป็นต้องสนใจ”

หนิงเทียนพยักหน้าตอบรับและถามต่อ “ท่านแม่ แล้วพวกสัตว์ป่า สามารถบ่มเพาะพลังได้เหมือนมนุษย์เราไหม?”

ในตอนนี้เทียนไห่ชางเยว่ตอบทุกความสงสัยของบุตรชาย “สัตว์อสูรถือเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งในหลายสิบเผ่าพันธุ์ของดินแดนสวรรค์ สัตว์อสูรไม่ได้มีการบ่มเพาะตามลำดับขั้นเหมือนมนุษย์เรา พวกมันจะแบ่งตามชนชั้นของความแข็งแกร่ง จัดได้เป็นสี่ชนชั้น แบ่งเป็นสัตว์ป่า สัตว์อสูร อสูรปีศาจและอสูรสวรรค์

อสูรปีศาจจะสามารถเรียนรู้ภาษามนุษย์ได้ และมีเพียงอสูรสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถบ่มเพาะพลังในลำดับขั้นของมนุษย์ได้ อีกทั้งพวกมันยังสามารถจำแลงกายให้อยู่ในรูปลักษณ์เดียวกับมนุษย์ได้จนยากที่จะแยกได้ออก ลูกจะต้องจำไว้ให้ดี หากเกิดพบอสูรปีศาจและอสูรสวรรค์ที่ใด รีบหนีห่างให้ไกลที่สุด”

“อสูรปีศาจและอสูรสวรรค์ช่างน่ากลัว!!!” หนิงเทียนตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มเคยคิดว่าพวกสัตว์ป่าที่มันออกไปต่อยตีด้วยนั้น มีความแข็งแกร่งมากแล้ว ทว่ากลับเป็นเพียงชนชั้นล่างสุดของสายพันธุ์อสูร

เทียนไห่ชางเยว่ส่ายหน้าและยิ้มออก ราวกับรู้ในความคิดของบุตรชาย “สัตว์ป่าที่เจ้าไปต่อยตีด้วย เป็นเพียงแค่สัตว์ป่าระดับ1เท่านั้น สัตว์ป่าระดับหนึ่งมีพลังเทียบเท่าขั้นที่9ของผู้ฝึกตนในดินแดนมนุษย์”

กล่าวมาถึงตอนนี้ น้ำเสียงของนางเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที “เทียนเอ๋อ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของลูกอยู่ที่ขั้น9สามารถสู้ได้แค่สัตว์ป่าระดับ1เท่านั้น ทว่าในป่านรกดำแห่งนี้ยังมีสัตว์ระดับสูงอีกมากมาย ถึงแม้มันจะไม่กล้าเข้ามาใกล้ตำหนักภูต แต่หากเข้าไปอยู่ในเขตแดนของพวกมัน ด้วยสัญชาตญาณเดรัจฉานจะเข้าโจมตีเจ้าทันที”

“ลูกทราบดีขอรับ ลูกจะไม่ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วง” หนิงเทียนยิ้มรับคำ

ชางเยว่ยังกล่าวต่อ “ในโลกของการฝึกตนนี้ การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนที่มีพลังทัดเทียมกัน ทักษะวิชาต่างๆเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ การที่มนุษย์เราอยู่เหนือกว่าพวกสัตว์อสูรก็เพราะมนุษย์มีสติปัญญาในการเรียนรู้ทักษะต่อสู้หลากหลายแขนง ต่างจากพวกอสูรที่ใช้เพียงร่างกายอันแข็งแกร่งเข้าสู้

เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ลูกจะต้องเลือกทักษะวิชาบ่มเพาะให้ดี เคล็ดวิชาแบ่งเป็นสี่ประเภทหลัก ‘ทักษะการต่อสู้ วิชาท่าเท้า เคล็ดกายา และคัมภีร์บ่มเพาะ’ ผู้คนในดินแดนภาคกลาง แบ่งมันออกเป็นสี่ระดับ มนุษย์ ปราชญ์ เทพสงครามและผู้วิเศษ ในแต่ละระดับยังแยกย่อยเป็น ต่ำ กลาง สูง ผู้ฝึกตนสามารถฝึกทักษะการต่อสู้และวิชาท่าเท่ากี่เคล็ดวิชาก็ย่อมได้ตราบเท่าที่วิชาเหล่านั้นมิได้ขัดแย้งกันเอง แต่สำหรับ 'เคล็ดกายาและทักษะบ่มเพาะ' ผู้ฝึกตนสามารถเลือกฝึกได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หากต้องการเปลี่ยนจะต้องทำลายทักษะเก่าทิ้งก่อนถึงจะสามารถเริ่มฝึกฝนทักษะใหม่ได้

โดยส่วนมากแล้วผู้ฝึกตนจะฝึกทักษะบ่มเพาะเป็นหลัก ทักษะรองจะเลือกฝึกระหว่างทักษะกายา ทักษะท่าร่างหรือทักษะต่อสู้ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะการที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้งสามให้ไปพร้อมกันได้ จะต้องใช้พรสวรรค์และความอดทนเป็นอย่างสูง จำไว้ให้ดีทักษะต่อสู้ระดับต่ำถ้าฝึกถึงขั้นหลอมรวม จะสามารถแสดงอานุภาพได้สูงกว่าทักษะระดับกลางที่ฝึกได้เพียงพื้นฐาน ฉะนั้นห้ามเกียจคร้านเป็นอันขาด”

นางยังกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อน “เทียนเอ๋อระดับวิชาของพวกเรานั้นเรียกว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง จึงมีความล้ำลึกในการเรียนรู้อย่างแสนสาหัส เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนให้มาก”

“ท่านแม่ ลูกเข้าใจแล้ว ลูกจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังเป็นอันขาด” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม

“นี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้าไปอาบน้ำและเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้เราจะต้องไปตำหนักภูตกระบี่กันแต่เช้า”

วันพรุ่งนี้ไม่ใช่วันสำคัญของหนิงเทียนเพียงแค่คนเดียว แต่มันเป็นวันที่สำคัญสำหรับอู่โม่กุ้ยทั้งห้าคนอีกด้วย มีเพียงหนึ่งทักษะบ่มเพาะและหนึ่งทักษะกายาเท่านั้นที่จะได้รับการสืบทอดต่อไป

หนิงเทียนเดินไปด้านหลังของตำหนักภูตเหมันต์ เบื้องหน้าปรากฎม่านพลังสีฟ้าอ่อน ภายในแผ่ไอเย็นจางๆออกมา ราวกับว่า ม่านพลังสีฟ้านี้มีหน้าที่สะกดความหนาวเย็นไม่ให้รั่วไหลออกมา

เมื่อหนิงเทียนก้าวผ่านม่านพลัง ทุกสิ่งรอบตัวเขาได้เปลี่ยนไป ควันสีขาวค่อยๆจางลงเผยให้เห็นผิวน้ำสงบนิ่ง และสายลมเย็นอ่อนๆ

เด็กหนุ่มจุ่มเท้าผ่านชั้นน้ำแข็งสีขาว ความหนาวเย็นรุนแรงกระจายอบอวลไปทั่ว ด้วยความเย็นที่หนิงเทียนกำลังแช่อยู่นี้ สามารถแช่แข็งผู้ฝึกตนในดินแดนนักรบให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งได้ภายในเสี้ยวลมหายใจ

บริเวณกึ่งกลางของผิวน้ำที่แผ่กลิ่นอายความเย็นออกมาเป็นวงกระเพื่อม ปรากฏไข่มุกสีขาวขนาดเท่าปลายก้อย ลอยเหนืออยู่เหนือผิวน้ำ เป็นเพราะไข่มุกเหมันต์หมื่นปีเม็ดนี้ ที่เป็นแหล่งกำเนิดของความหนาวเย็นทั้งหมด

ในพื้นที่ราบภาคกลางไข่มุกเหมันต์หมื่นปีถูกยกย่องให้เป็นสมบัติวิเศษหายาก การปรากฏตัวของไข่มุกเหมันต์สามารถจุดกระแสสงครามขนาดย่อมให้เกิดขึ้นได้ และด้วยความเย็นอันมหาศาลของมัน ทำให้ผู้ที่ครอบครองเพิ่มพูนการบ่มเพาะปราณหยินในร่างกายได้อย่างรวเร็ว

เด็กหนุ่มเป่าปากเบาๆร่างกายและสีหน้าของเขาเป็นปกติอย่างที่สุด “ฟู่ว เย็นสบายดีจัง เจ็ดวันแล้วที่ข้าไม่ได้มาแช่ในน้ำเย็นแบบนี้”

ครั้งแรกที่หนิงเทียนเริ่มแช่ตัวในไข่มุกเหมันต์หมื่นปี เทียนไห่ชางเยว่จะคอยอยู่ข้างๆเพื่อควบคุมความเย็นไม่ให้เป็นอันตราย แต่บัดนี้มันสามารถลงไปแช่ในไข่มุกเหมันต์หมื่นปีได้ราวกับว่าเป็นเพียงบ่อน้ำธรรมดา หากผู้ฝึกตนระดับนักรบคนใดมาเห็นภาพนี้ จะต้องไม่เชื่อในสายตาตนเองเป็นแน่...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด