ตอนที่แล้วตอนที่ 9 ฉันไม่ชอบกิน 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 เจียงเหว่ยผู้โชคร้าย

ตอนที่ 10 ผ่าตัดอาทิตย์หน้า


เท่าที่เรียนรู้มา เจ้าของร่างเดิมไม่เคยกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องผลการเรียนของตนเองเลย เธอรู้ดีว่าระดับการสอนของครูโรงเรียนมัธยมที่กำลังศึกษานี้อยู่ในระดับที่ดี

เป็นเพียงการเพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือในเรื่องการเรียนการสอนจึงทำให้การศึกษาไม่เกิดประสิทธิผล

ตราบใดที่คุณเรียนดีและไม่คบค้าสมาคมกับนักเรียนเหล่านั้นมากเกินไป คุณก็จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

แต่สิ่งที่เจ้าของร่างเดิมไม่คาดคิดคือ หลังจากเธอไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดแห่งนี้ เธอก็รู้ว่าปีศาจคืออะไร

ในฐานะนักเรียนที่มีผลการเรียนระดับแนวหน้าที่มักจะถูกคุณครูชื่นชมอยู่เสมอ จึงถูกเพื่อนร่วมชั้นไม่ชอบขี้หน้าและกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ

โต๊ะและเก้าอี้ถูกทาด้วยสียาทาเล็บ อีกทั้งยังมีเศษขยะมากมายถูกยัดเอาไว้ใต้โต๊ะเรียนของเธอ ซึ่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

แต่สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดสำหรับเจ้าของร่างเดิมคือ พวกเขาพูดจาล่วงเกิน และดูถูกดูแคลนบิดามารดาของเธอที่เป็นคนงานระดับล่าง มิหนำซ้ำยังแสดงความรังเกียจที่ครอบครัวของเธอนั้นยากจน

ในบรรยากาศเช่นนี้เจ้าของร่างเดิมจึงหมดความอดทนที่จะศึกษาต่อไปได้ และผลการสอบปลายภาคในปีแรกนั้น เธอเป็นหนึ่งในนักเรียนสามสิบห้าคนที่สอบตก ซึ่งทำให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนทั้งหลายหัวเราะอย่างไม่ลดละ

เจ้าของร่างเดิมเป็นเพียงนักเรียนที่มีอายุประมาณสิบห้าปีเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าเธอจะมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด แต่ก็ทนความกดดันเช่นนี้ไม่ได้

เธอสิ้นหวังและไม่ต้องการกลับบ้าน จากนั้นจึงกระโดดลงไปในแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะมากนัก

และหลินชิงหยินได้ฟื้นขึ้นมาในร่างของหญิงสาวเวลานั้นพอดี

อย่างไรก็ตามมีเหตุและผลระหว่างชิงหยินกับเจ้าของร่างเดิมอย่างแน่นอน

สิ่งที่หลินชิงหยินทำได้คือดูแลบิดามารดาของร่างเดิมและทำให้เธอสมหวังในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

เธอกลับไปที่ห้องและพลิกดูหนังสือเหล่านั้นดูด้วยความสนใจ แม้ว่าความรู้จะถูกเก็บไว้ในสมองของเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกแปลกแยกจากมันอย่างสิ้นเชิง

เธอรู้เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือ แต่จ้องมองไปที่มันราว กับว่า หนังสือเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่า

หลินชิงหยินนึกถึงระบบความรู้ที่อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเคยสอนร่างเดิม และพบหนังสือหลายวิชาในระดับมัธยมต้นมากมาย

อย่าคิดอะไรมาก!เพียงแค่การเรียนรู้เท่านั้น!

หลังจากนอนอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านเป็นเวลาสองวัน หลินชิงหยินจึงรู้สึกสดชื่นเมื่อเธอเดินออกจากบ้านในเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดี

อย่างไรก็ตาม เธอยังคงรักอาชีพหมอดูมากกว่าการเรียนอยู่ดี

หลินชิงหยินเดินทางมายังสวนสาธารณะ สถานที่ซึ่งเธอตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกในครั้งที่แล้ว และหยิบป้ายที่เต็มไปด้วยรอยพับของตนเองออกมาวางไว้ตรงหน้า

เพียงครู่เดียวเท่านั้นหลังจากนั่งลง เธอก็เห็นว่าหวังอ้วนเดินมาจากระยะไกลพร้อมกับบางสิ่งในมือของเขา

เมื่อเห็นหลินชิงหยิน ดวงตาของเขาจึงเป็นประกายสดใสและรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว

“ผมรู้อยู่แล้วว่า คุณจะต้องเอากระดาษแข็งแผ่นนี้มาด้วย แต่มันดูแล้วไม่เหมาะกับสไตล์ของอาจารย์เลย!”

หวังอ้วนกล่าวขณะที่คลี่กระดาษในมือออกและกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า:

"นี่คือการประดิษฐ์ตัวอักษรระดับปรมาจารย์ที่ผมเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง ถ้าได้อ่านอย่าว่าแต่หนึ่งพันเลย แม้ว่าจะเรียกห้าพันลูกค้าก็ยังยินดีจ่าย!"

หลินชิงหยินจ้องมองไปที่คำว่า

'หมอดู' และ 'หนึ่งพันเหรียญ' และ 'รับเงินสดเท่านั้น'"

ด้วยลักษณะของตัวอักษรเหล่านั้น เธอรู้สึกว่าตนเองสามารถเขียนได้ดีกว่าตัวอักษรเหล่านี้มากนัก!

แต่เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ไม่เข้าใจความคิดของตนเองของหวังอ้วน หลินชิงหยินจึงข่มอารมณ์ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบมา ซึ่งสิ่งที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนคือ ความมีน้ำใจของเขา

หลินชิงหยินนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้โบราณต้นเดิม ขณะที่หวังอ้วนไม่สามารถนั่งลงได้เพราะไขมันชั้นหนาที่พอกอยู่บริเวณพุงที่อ้วนพลุ้ยของเขา

จึงทำได้เเค่เพียงนั่งด้านข้างโดยเหยียดขาออกไป

หลินชิงหยินขยับก้อนกรวดเล็ก ๆ ในมือของตนเอง และหลังจากรู้สึกว่าอุณหภูมิเหมาะสมแล้วจึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองหวังอ้วนและกล่าวว่า

"คุณนำหนังสือเล่มนั้นติดตัวมาด้วยรึเปล่า"

"ผมเอามาด้วย"

หน้าของหวังอ้วนเป็นสีแดงเพราะความรู้สึกอับอาย ครั้งนี้เขาแสดงความพยายามมากกว่าตอนที่เรียนอยู่เสียอีก แต่หัวสมองของเขาตอนนี้นั้นมีแต่ขี้เรื่อย

และเขาใช้เวลาถึงสองวันในการท่องหนังสือเพียงครึ่งหน้า

หวังอ้วนเช็ดเงื่อบนใบหน้าของตนเอง ขณะที่ใช้นิ้วเคาะหนังสือเล่มนั้น และหลังจากกล่าวได้เพียงไม่กี่คำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคนดังขึ้น

"โอ้...!"

หวังอ้วนผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านข้างหญิงสาว มีความรู้สึกตกใจมาก และได้จัองมองไปด้านหน้าด้วยความรู้สึกสับสน พร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจ ที่ได้เห็นอาการของหญิงชราตรงหน้า!?

"สาวน้อยคนนี้ไง!"

ป้าหลี่ผู้กว้างขวางของชุมชนนี้รีบร้อนวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น:

"วันนั้นโชคดีมากที่หนูเตือนตำรวจหนุ่มคนนั้น!"

หม่าหมิงหยูไปโรงพยาบาลกับเพื่อนร่วมงานในวันนั้นและได้รับการตรวจระบบทางเดินอาหาร

หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการตรวจทั้งหมด แพทย์ได้ส่งรายงานผลการตรวจให้เขา และแจ้งว่าต้องนำตัวอย่างชิ้นเนื้อจากกระเพาะอาหารไปตรวจสอบอย่างละเอียด

จากนั้นทางโรงพยาบาลขอให้เขาชำระค่าใช้จ่ายในการตรวจชิ้นเนื้อ

เมื่อได้ยินเช่นนี้หม่าหมิงหยูจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าหลังจากรับผลการตรวจชิ้นเนื้อในอีกสองวันต่อมา เขาต้องเข้ารับการตรวจอีกหลายขั้นตอน

ในที่สุดแพทย์ได้แจ้งว่าเขาเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะเริ่มต้น

ป้าหลี่คิดถึงเรื่องนี้และไปที่สถานีตำรวจทุกเช้าเพื่อสอบถามเกี่ยวกับอาการของหม่าหมิงหยู

ทันทีที่ทราบว่า เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารเธอจึงกลับบ้าน และรีบปรุงซุปไก่เพื่อไปเยี่ยมชายหนุ่มที่โรงพยาบาล

วันนั้นป้าจางโกรธป้าหลี่มากจนรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะหญิงชราเห็นว่า ตำรวจหนุ่มผู้นั้นอายุยังน้อย และแข็งแรงมากแล้วเขาจะเป็นโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหารได้อย่างไร

เห็นได้ชัดว่า หมอดูสาวจะต้องหลอกลวงเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง

ตอนนี้ป้าหลี่โวยวายว่า ป้าจางเกือบจะทำให้ตำรวจหนุ่มคนนั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควรแล้ว ทำให้ทั้งสองคนกำลังจะเริ่มโต้เถียงกัน

เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ในสถานีตำรวจจึงถูกตามตัวมายังที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วน โดยผู้สังเกตการณ์ที่กระตือรือร้นเพื่อต้องการยุติข้อพิพาทนี้

โชคดีที่สถานีตำรวจคุ้นเคยกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาหลายปีแล้ว และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา พวกเขาก็ช่วยกันแยกทั้งสองออกจากกันด้วยความชำนาญ

ทันทีที่ป้าหลี่เห็นตำรวจนายหนึ่งที่มาจากสถานีตำรวจ เธอก็ลากตัวเขามาด้านหน้าและตะโกนใส่หน้าป้าจางว่า: "ถามเขาดูสิว่า ม้าหนุ่มคนนั้นนอนอยู่ที่โรงพยาบาลจริงหรือเปล่า"

“ม้าหนุ่ม?”

ตำรวจคนนั้นตัวแข็งไปชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวว่า

“หมายถึงหม่าหมิงหยูเหรอ! อ๊ะ!ไม่ต้องเป็นห่วง ครอบครัวของเขารีบมาดูแลแล้ว และจะผ่าตัดได้อาทิตย์หน้า

หมอบอกว่า โชคดีที่ตรวจพบโรคเร็วจะได้รีบผ่าตัด ซึ่งมันดีต่ออัตราการรักษาถึงเก้าสิบเปอร์เซนต์"

ป้าหลี่จ้องมองไปที่ฝูงชนซึ่งกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง และเงยคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจไปยังป้าจาง:

"รู้รึยังว่าฉันพูดถูก!

ทันใดนั้นป้าหลี่ก็ถูกผู้สูงอายุเหล่านั้นรายล้อมรอบตัวเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งชายชราเหล่านี้เชื่อเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย

แต่ตอนนี้มีนักต้มตุ๋นมากเกินไปและมีทักษะอย่างแท้จริงน้อยมากโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่ยอมเสียเงินอย่างง่าย ๆ

แต่ตอนนี้มีอาจารย์ที่มีญาณวิเศษปรากฎตัวขึ้น จึงต้องการสอบถามในกรณีที่เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวหรือญาติและเพื่อนในอนาคต

ดังนั้นจึงต้องการทราบว่าจะหาตัวหมอดูขั้นเทพผู้นั้นได้อย่างไร

เมื่อได้ยินคำถามที่คมคายของทุกคนเกี่ยวกับเรื่องหมอดูที่มีความแม่นยำระดับเซียน ป้าหลี่จึงชี้นิ้วไปที่ป้าจางด้วยความโกรธเคือง

ป้าจางยืนมองหญิงชราผู้นั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ และตำรวจได้ยินว่าป้าหลี่หัวเราะเยาะเย้ย พร้อมกับบอกว่า อย่ากล่าวว่าเรื่องไสยศาสตร์ที่ตกทอดมาแต่โบราณกาลเป็นเรื่องไร้สาระ

ป้าจางบ่นพึมพำเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แต่หลังจากผ่านประสบการณ์การต่อสู้กับป้าหลี่มาหลายปี จึงไม่อยากจะต่อล้อต่อเถึยงกับหญิงชราผู้นี้อีกต่อไป

ในตอนแรกป้าจางมีความคิดว่า จะจัดการกับหมอดูสาวคนนั้นเอง ในตอนที่ได้เจอกับเธอครั้งหน้าในสวนสาธารณะแห่งนี้ และจะไม่ให้หญิงสาวเข้ามาหากินในสถานที่แห่งนี้อีก!

ส่วนป้าหลี่คิดว่า ที่หมอดูสาวหายไปหลายวันนั้นเป็นเพราะกลัวป้าจางมาก และคงรอให้ป้าจางอารมณ์เย็นลงจึงกล้ามาที่นี่อีกครั้ง

โดยไม่คาดคิด หญิงชราเห็นทันทีที่เด็กสาวมาถึงสวนสาธารณะในวันนี้ เธอจึงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นด้วยเสียงที่ดังมากจนน่าตกใจ

จึงทำให้ผู้สูงอายุทั้งหลายที่กำลังรำมวยไทเก็ก และผู้คนที่มาวิ่งออกกำลังกายต่างก็ตกอกตกใจจนต้องรีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความตื่นตระหนก

หลินชิงหยินยกคางตนเองขึ้นอย่างภาคภูมิใจไปยังหวังอ้วนที่อยู่ในอาการตกตะลึง เอาเป็นว่า วันนี้เธอมีธุระที่นี่!