ตอนที่แล้วบทที่ 46 บริษัทหมาป่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 48 ความลับของคนแซ่เจี่ย

บทที่ 47 อาชญากรแซ่เจี่ยหลบหนี!


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 47 อาชญากรแซ่เจี่ยหลบหนี!

พอพนักงานเริ่มทยอยเดินออกจากห้อง เฉินฉีและหลินถงซูก็หลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บของขนาดเล็กซึ่งอยู่ถัดจากห้องประชุมที่มีกล่องผลิตภัณฑ์วางซ้อนกันหลายชั้น

หลินถงซูกระซิบ “ทำไมเราไม่บุกเข้าไปเลยล่ะ?”

“เรายังไม่มีหลักฐาน อีกอย่างเราเองก็รบกวนพวกเขามาเยอะแล้ว ถ้ามีอีกครั้งคงถูกเขาเชิญออกไปนอกบริษัทแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเราจะสืบสวนอะไรได้ยากขึ้น เพราะในความเป็นจริงแล้วเรากำลังบุกรุกอย่างผิดกฎหมาย”

“อะไรนะ!?”

“ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมจะรับผิดชอบเอง นี่แหละประโยชน์ที่แท้จริงของการเป็นพลเรือน โอเค ตรงทางเดินไม่มีใครอยู่แล้ว ไปดูห้องประชุมกัน”

ทั้งสองแอบเข้าไปในห้องประชุมที่เพิ่งทำการประชุมตอนเช้าไปหมาด ๆ โครงสร้างของอาคารนี้มีลักษณะเหมือนกับโดนัทรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นที่การทำงานตั้งอยู่สองฝั่งทั้งด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ส่วนทิศใต้เป็นทางเข้าหลักของ บริษัท ซึ่งห้องประชุมนี้ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของปากทางเข้า

ขณะเดียวกันสวีเสี่ยวตงก็โทรมา เขาพูดโดยใช้เสียงเบาเหมือนกระซิบ “อีกนานไหม? ผมคงยื้อเวลาได้อีกไม่นานนะ”

“ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลยด้วยซ้ำ คุณพยายามอีกหน่อยสิ!” เฉินฉีกระตุ้น

“จะพยายามยังไงดีล่ะ ตอนนี้ผมถ่วงเวลาออกมาสูบบุหรี่ ใกล้จะหมดมวนแล้วด้วย!”

“งั้นคุณก็ขอให้เขาเปิดภาพกล้องวงจรปิดให้ดู หรือไม่ก็ขอยืมใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อที่รปภ.จะได้มองไม่เห็นพวกเราไง!”

“ไอเดียบรรเจิดมาก!” สวีเสี่ยวตงกดวางสาย

“พ่อหนุ่มน้อย นายยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” เฉินฉีถอนหายใจ

“แล้วคุณล่ะไปเรียนรู้ทักษะพวกนี้มาจากไหน?” หลินถงซูเอียงคอมองเขา

“จากประสบการณ์ชีวิต... มาเริ่มกันเลย!”

เฉินฉีเปิดกล่องออกแล้วหยิบโคมไฟดวงเล็กภายในออกมา หลังจากเสียบปลั๊กแล้วหลอดไฟซึ่งฉายรังสี UV ก็เริ่มทำงาน

หลินถงซูถือกล่องด้วยสองมือและซ่อนไปด้านหลัง ส่วนเฉินฉีเริ่มสำรวจพื้นที่ด้านหน้าด้วยโคมไฟ เมื่อพวกเขาเดินไปถึงที่แห่งหนึ่งเขาก็หยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน “เฮ้! ดูนี่สิ”

“เจอคราบเลือดเหรอ?” หลินถงซูพูดอย่างตื่นเต้น

“เปล่า ดูตรงพื้นสิว่ามันเหมือนมีร่องรอยบางอย่าง แล้วชุดโต๊ะเก้าอี้ที่นี่ก็มีลักษณะแบบเดียวกันกับวัตถุที่พวกเราสันนิษฐานกันว่าผู้ตายถูกมัดไว้!” เฉินฉีลุกขึ้นยืนและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พบว่าผนังด้านหนึ่งมีหน้าต่างหลายบานเรียงรายอยู่แต่พวกมันถูกล็อกปิดตายไว้และทาสีทับ “ดูจากโครงสร้างโดยรวมแล้ว ตอนแรกน่าจะถูกออกแบบมาให้เป็นโรงอาหาร ส่วนโกดังที่พวกเราเข้าไปเมื่อกี้ก็น่าจะเคยเป็นห้องครัว แต่ต่อมามีการปรับเปลี่ยนให้ใช้ห้องใหญ่เป็นห้องประชุม ส่วนห้องเล็กเปลี่ยนมาเป็นโกดังเก็บของ”

“บริษัทไร้มนุษยธรรมแบบนี้เนี่ยนะจะสร้างโรงอาหารเอาไว้ให้พนักงานได้พักผ่อนหย่อนใจ?” หลินถงซูพูดเยาะเย้ย

เฉินฉีหยิบขวดเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าก่อนหยิบสำลีชุบสารในขวดนั้นและจิ้มลงเก็บตัวอย่างจากพื้น จากนั้นจึงหยิบสำลีขึ้นอังใต้จมูกเพื่อดมกลิ่น “มีกลิ่นแอลกอฮอล์ คนในบริษัทกินอาหารกันที่นี่จริง อาจจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ก็ได้”

“คราบเลือด! ตรวจสอบคราบเลือดเร็วเถอะ!” หลินถงซูกระตุ้นเขาอย่างกระวนกระวายเนื่องจากเธอกลัวว่าพนักงานจะบังเอิญเดินผ่านมาและเจอพวกเขาเข้า เธอเป็นถึงตำรวจแต่ต้องมาตามสืบคดีด้วยวิธีการเหมือนโจร แบบนี้มันน่าอายเกินไปแล้ว

ทั้งสองช่วยกันตรวจสอบแทบทุกตารางนิ้วบนพื้นแต่กลับไม่พบอะไรเลย เฉินฉีพูดขึ้น “ไม่มีคราบเลือด”

“อย่าบอกนะว่าข้อสันนิษฐานของคุณผิดพลาด”

“ผู้ตายเสียชีวิตจากภาวะขาดอากาศหายใจ ตอนตายเธอยังไม่มีเลือดออกหรอก แต่คราบเลือดจะเกิดจากการที่เธอถูกเลื่อยเอาหัวออกไป เดี๋ยวเราไปดูที่บันไดสักหน่อย”

“ระวังนะ! มีคนประจำอยู่ที่แผนกต้อนรับ”

“โทษที ลืมไป”

พวกเขาซ่อนตัวอยู่หลังประตูเพื่อสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่ง ไม่นานนักพนักงานหญิงที่ประจำอยู่ตรงแผนกต้อนรับก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ทั้งสองจึงสบจังหวะเดินออกไป แต่เฉินฉีไม่ได้ออกจากบริษัทไปในทันที เขาหยิบกล้องไร้สายออกมาจากถุงกระดาษที่เขาได้มาจากชายหัวล้านก่อนวางไว้บนกระถางต้นไม้ในห้องประชุม จากนั้นจึงใช้เศษใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ตรงโคนต้นปกคลุมไว้ให้แนบเนียน

หลินถงซูอ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง ที่แท้ก็เป็นกล้องไร้สายนี่เอง!

ทั้งสองเดินขึ้นไปที่บันไดด้านหลังบริษัทและเริ่มกระบวนการตรวจหาคราบเลือดอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบคราบเลือดอีกตามเคย

เฉินฉียกมือขึ้นเกาศีรษะทันที “ดูท่าแล้วพวกเขาน่าจะย้ายศพออกไปทำการเลื่อยเอาหัวออกที่อื่น คราบเลือดอาจจะอยู่ในรถหรือไม่ก็ในป่า...”

“ถ้าเป็นอย่างหลังยิ่งแล้วใหญ่ เราไม่มีทางหาเจอง่าย ๆ แน่... เป็นไปได้ไหมว่าผู้ตายไม่ได้ถูกฆ่าที่นี่แต่แรก?”

“ไม่ว่าเธอจะถูกฆ่าที่นี่หรือเปล่า เราก็ต้องตัดความเป็นไปได้อื่น ๆ ออกก่อน งานวันนี้จบแล้วล่ะ” เฉินฉีกดโทรออกไปที่เบอร์ของสวีเสี่ยวตงเป็นสัญญาณบอกให้เขาหยุดภารกิจได้

“งานจบแล้วเหรอ? แต่เรายังไม่ได้ทำอะไรกับไอ้ผู้จัดการนั่นเลยนะ?”

“จะรีบจัดการกับเขาไปทำไม? ไว้วันพรุ่งนี้เราค่อยมาที่นี่อีกครั้งแล้วจับกุมเขาตามกระบวนการที่ควรจะเป็นดีกว่า”

“ทำไมต้องพรุ่งนี้?”

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย เมื่อกี้นี้ผมเพิ่งติดตั้งกล้องไว้ มันจะบันทึกวิดีโอการประชุมตอนเช้าของพวกเขา ซึ่งเราสามารถใช้เหตุการณ์นี้จับกุมผู้จัดการในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศได้ พอเป็นแบบนี้แล้วเราถึงจะเข้ามาทำการตรวจสอบอะไรต่าง ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น”

“ฮ่าๆๆ! จริงด้วย เรายังมีไม้ตายนี้อยู่นี่นา!” หลินถงซูตบมือด้วยความชอบใจ แต่แล้วเธอก็กังวลถึงปัญหาที่อาจตามมา “แต่วิธีการที่คุณใช้เก็บหลักฐานมันค่อนข้าง...”

“ไม่เป็นไร ผมจะส่งคลิปวิดีโอนี้ให้คุณแบบไม่ระบุตัวตน จากนั้นคุณก็แค่ดำเนินขั้นตอนอย่างเป็นทางการเพื่อยื่นขอออกหมายจับ บอกว่ามีพลเมืองดีคนหนึ่งเป็นผู้แจ้งเข้ามา”

“คุณนี่เจ้าแผนการเป็นบ้า!”

ทั้งสามคนเดินมาพบกันที่ชั้นล่างของบริษัท เฉินฉีขับรถพาทั้งสองกลับไปส่งที่สถานีตำรวจพร้อมกำชับ “วันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนพวกเราค่อยมาเจอกันอีกที ผมว่าจะออกไปวิ่งรับลูกค้าสักสองสามงาน สองวันมานี้ผมไม่มีรายได้เข้ามาเลย”

“พี่เฉิน แล้วพวกเราไม่มีภารกิจอะไรให้ทำแล้วเหรอ?” สวีเสี่ยวตงถาม

“ไปพักกันก่อนเถอะ เหนื่อยมาเยอะแล้ว”

หลินถงซูพูดขึ้นบ้าง “คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าเหยื่อต้องเสียชีวิตภายในบริษัท? เกิดมีอะไรผิดพลาดล่ะ? คุณลองตรวจสอบเบาะแสอื่น ๆ เพิ่มเติมหน่อยไหม?”

เฉินฉีโคลงศีรษะ “สาวน้อย การสืบสวนคดีอาจกล่าวได้ว่าไม่ต่างอะไรจากตาบอดคลำช้าง* แต่ละคนแค่รับผิดชอบงานในส่วนของตัวเองแค่ด้านใดด้านหนึ่งก็พอ ปริศนาชิ้นสุดท้ายที่ปรากฏออกมาถึงจะถือว่าเป็นความจริง คนเราทุกคนมีขีดจำกัด เพราะงั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนเดียวจะตั้งข้อสันนิษฐานได้ครอบคลุมทุกทาง ซึ่งนี่เป็นคุณสมบัติของพี่ชายคุณที่คุณต้องเก็บเอามาเรียนรู้ จับเงื่อนงำอะไรได้ก็มุ่งเน้นไปที่มันจนถึงที่สุด ความตั้งใจอันแรงกล้านี้สมควรถูกยกย่อง”

* ตาบอดคลำช้าง = สำนวนไทยที่คล้ายกับสำนวนจีนจากต้นฉบับ หมายถึงคนที่รู้อะไรแค่ด้านเดียวหรือนัยเดียวแล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น

“แต่น้ำเสียงของคุณดูไม่เหมือนยกย่องเขาจากใจจริงเลย”

“ฮ่าๆๆ! ผมก็พอรู้ตัวเองอยู่หรอก ไปก่อนนะ”

ทันทีที่หลินถงซูและสวีเสี่ยวตงลงจากรถ เฉินฉีก็ขับรถออกไป สวีเสี่ยวตงพูดขึ้น “ตอนนี้จะสิบเอ็ดโมงแล้วนะ เราไปหามื้อเที่ยงกินกันสักหน่อยดีไหม? เดี๋ยวฉันเลี้ยงเธอเอง!”

หลินถงซูกลอกตาใส่เขา “ที่บ้านคุณขุดเหมืองทองรึไง ถึงได้เสนอตัวจะเลี้ยงข้าวฉันตลอดเวลา?”

“แต่เธอไม่เคยตอบตกลงสักครั้งเลยนี่!”

“ขอโทษนะ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่หิว”

ขณะนั้นเองหลินชิวผูก็เดินออกมาจากประตูทางเข้าพร้อมเอกสารมากมายในมือ พอเขาเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ยิ้มแฉ่งและตรงเข้าไปทักทาย “เป็นไงบ้าง? ฝั่งของพวกคุณก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือเปล่า? ฝั่งของผมค่อนข้างก้าวหน้าเลยล่ะ ล่าสุดผลตรวจออกมาแล้วว่าคราบเลือดบนมีดของคนแซ่เจี่ยสอดคล้องกับกรุปเลือดของผู้เสียชีวิต”

หลินถงซูคร่ำครวญในใจและไม่วายคิดว่าครั้งนี้เธอคงแพ้หลินชิวผูแน่ ๆ เธอถามกลับ “แล้วผลดีเอ็นเอล่ะคะ?”

“ยังทำการทดสอบไม่เสร็จเลย แต่ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผลลัพธ์ต้องสอดคล้องกันแน่ 100% แล้วฝั่งของคุณหลินล่ะ? คงไม่มีอะไรปิดบังกันหรอกใช่ไหม?”

หลินถงซูเล่าการค้นพบเบาะแสรวมถึงการเข้าไปตรวจสอบที่บริษัทคังซิงอิเล็กทรอนิกส์อย่างละเอียด แต่หลินชิวผูกลับส่ายหน้าและจามออกมา “ผมคิดว่าเขาตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับคดีนี้ซับซ้อนเกินไปหน่อย ต่อให้บริษัทนั้นมีลับลมคมในอะไรบางอย่างแต่พวกเขาก็เป็นแค่องค์กรธรรมดา แล้วถ้าคนธรรมดาทำการก่ออาชญากรรมเป็นครั้งแรก พวกเขาจะทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้เสมอ แต่กรณีนี้พวกเขาเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านหมดจด เพราะแบบนี้ไงผมถึงคาดเดาว่าฆาตกรต้องเป็นอาชญากรที่มีประสบการณ์”

หลินถงซูฟังแล้วเถียงไม่ออก อีกใจหนึ่งกลัวเหลือเกินว่าทุกอย่างที่เธอพูดออกไปเมื่อกี้นี้จะถูกเอาไปนินทาในภายหลัง เวลานี้เธอเริ่มสั่นคลอนต่อเหตุผลของเฉินฉีแล้ว บางทีเทพเจ้าแห่งความโชคดีอาจไม่เข้าข้างเขาเสมอไป

หลินชิวผูกดรับสายที่มีคนโทรเข้ามา แต่แล้วทั้งสีหน้าและท่าทางของเขาเมื่อฟังจบแล้วกลับเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เขาออกคำสั่งทันที “แย่แล้ว! คนแซ่เจี่ยฟื้นแล้วและหนีออกไปจากโรงพยาบาล! พวกคุณรีบตามผมมา เราต้องตามล่าเขาเดี๋ยวนี้!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด