ตอนที่แล้วบทที่ 41 เปิดคดีอย่างเป็นทางการ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 43 ประโยคคุ้น ๆ

บทที่ 42 ผ่าชันสูตรศพ


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 42 ผ่าชันสูตรศพ

ขั้นตอนต่อมาคือภาพที่น่าสยดสยองที่สุดสำหรับหลินถงซู เผิงซื่อจวี๋ใช้มีดหมอคมกริบผ่าตั้งแต่กลางกระดูกไหปลาร้าของผู้ตาย ฉีกเนื้อส่วนผิวหนังกลางลำตัวจนปริออกมาเป็นแนวยาว ทั้งซี่โครงและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเผยต่อสายตาทุกคนอย่างชัดเจน

เธอเบือนหน้าหันเหสายตาไปทางอื่นด้วยท่าทางพะอืดพะอม เฉินฉีกระซิบ “กลัวใช่ไหมล่ะ?”

“เปล่าซะหน่อย!”

จากนั้นผู้ช่วยของเผิงซื่อจวี๋ได้ใช้เลื่อยไฟฟ้าขนาดเล็กตัดซี่โครง แม้บริเวณช่องท้องของเธอจะเต็มไปด้วยเลือด แต่ในมุมมองทางการแพทย์แล้วสรุปได้ว่าผู้เสียชีวิตยังอายุน้อยมาก ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงโรคภัยร้ายแรง ดังนั้นอวัยวะภายในจึงค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว เผิงซื่อจวี๋เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “น่าเสียดายเหลือเกินที่เธอต้องมาตายตั้งแต่ยังเด็ก”

“ใช่ พ่อแม่เลี้ยงดูอุ้มชูลูกสาวมาอย่างดี แต่เธอกลับถูกย่ำยีและพรากชีวิตไปโดยพวกสัตว์เดรัจฉาน ไม่อยากคาดเดาเลยว่าถ้าครอบครัวของเธอรู้จะเสียใจขนาดไหน” เฉินฉีเห็นด้วย

เผิงซื่อจวี๋เริ่มทำการผ่าอวัยวะภายในจากบนลงล่าง เขาตัดหลอดลมออกก่อนโดยมีผู้ช่วยใช้อุปกรณ์เฉพาะเพื่อดูดเลือดที่ไหลล้นออกมา จากนั้นเขาจึงทำการผ่าปอดของผู้เสียชีวิต

“ภายในปอดไม่มีความผิดปกติ...” ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง ก่อนโน้มตัวลงเพื่อใช้แหนบเจาะรูก้อนถุงลมโป่งพอง “ถุงลมโป่งพองพวกนี้ดูบวมเล็กน้อยนะว่าไหม?”

“อาจเกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นก็ได้นะครับ” ผู้ช่วยออกความเห็น

“อย่าลืมเก็บตัวอย่างไปทำการวิจัยเพิ่มเติมด้านพยาธิวิทยา”

จากนั้นเขาจึงวิเคราะห์ท่อหัวใจและหลอดเลือดโดยสังเกตจากทิศทางการไหลเวียนของเลือดตามด้วยตับ เฉินฉีพูดขึ้น “เหมือนกลิ่นไวน์เลย”

เผิงซื่อจวี๋กลอกตาใส่เขา วิธีการระบุทางนิติเวชไม่จำเป็นต้องใช้จมูกสูดดมกลิ่นโดยตรงเสียหน่อย เขากล่าวว่า “ตับบวมเล็กน้อย แถมยังมีสีขาวซีด อาจเป็นเพราะเธอบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจนเกินขนาด” พูดจบแล้วเขาจึงเก็บตัวอย่างบางส่วนเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการทดสอบต่อไป หลังจากนั้นจึงย้ายไปตรวจสอบในกระเพาะอาหาร เพราะเศษอาหารที่พบในกระเพาะอาหารของผู้เสียชีวิตนับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อาจทำให้ระบุเวลาเสียชีวิตหรือแม้แต่ตัวตนของผู้เสียชีวิตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

เผิงซื่อจวี๋ผ่าเอาถุงกระเพาะอาหารทั้งหมดออกมาวางลงในถาดแล้วผ่ามันออก ของเหลวสารพัดอย่างในกระเพาะอาหารไหลทะลักออกมา กลิ่นเหม็นน่าขยะแขยงโชยหึ่งจนผู้คนไม่สามารถทนดมต่อไปได้ถึงขั้นต้องเบือนหน้าหนี แม้แต่หลินถงซูยังได้กลิ่นมันผ่านทะลุแมสก์จนต้องย่นคิ้ว

เผิงซื่อจวี๋ใช้แหนบคีบเอาสิ่งที่ยังไม่ถูกย่อยจนหมดเช่น ใบขึ้นฉ่าย เห็ดเข็มทอง และเต้าหู้ออกจากของเหลวชวนอี๋ที่มีสีขาวขุ่นทั้งยังเละเหมือนโจ๊ก นอกจากนั้นยังมีเนื้อสัตว์อีกประมาณสามชนิด

เฉินฉีใช้ตาเปล่าสังเกตพลางพูดว่า “เนื้อหมู ไก่ ปลา... เป็นอาหารมื้อใหญ่น่าดู”

“แถมเธอยังดื่มไวน์ด้วย” หลินถงซูเสริม

“เอาล่ะ มาถึงบททดสอบสำหรับคุณแล้ว คุณมองเห็นอะไรบ้างจากเศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ในกระเพาะอาหารของเธอ?”

“ครอบครัวของผู้ตายคงร่ำรวยพอสมควร”

“ฮ่าๆ มุมมองของคุณน่าสนใจทีเดียว แต่ก็ยังผิดอยู่ดี ผู้ตายควรเป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา เงินเดือนแล้วเงินเดือนที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อการยังชีพด้วยซ้ำ คุณจะเห็นว่าด้านนอกบริเวณลำไส้เล็กของเธอไม่มีไขมันติดอยู่มากนัก ซึ่งหมายถึงอาหารในแต่ละมื้อของเธอต้องธรรมดาสามัญเอามาก ๆ แล้วดูฝ่ามือของเธอสิ ตรงนิ้วก้อยมีรอยด้าน แสดงให้เห็นว่าเธอขี่จักรยานมาเป็นเวลานาน ส่วนในกระเพาะอาหารยังมีเศษไข่ขาวที่เกือบถูกย่อยไปจนหมดอีกด้วย พอนับจากช่วงเวลาของการถูกฆาตกรรมสามารถอนุมานว่าเธอกินไข่เจียวเป็นอาหารเช้า ดังนั้นผู้เสียชีวิตต้องมีฐานะยากจนมาก แต่มื้ออาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่พบในท้อง ผมเดาว่าอาจเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอที่จุนเจือให้ หรือไม่ก็อาจเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ทางบริษัทเป็นคนจัดขึ้น ดูจากปริมาณอาหารที่ไม่มากนักแต่มีหลากหลายประเภทอย่างละนิดละหน่อย คิดว่าคงเป็นอาหารมื้อใหญ่”

“เหตุผลยอดเยี่ยมเลย!” ผู้ช่วยปรบมือพร้อมกล่าวชมเชย

เผิงซื่อจวี๋หันขวับมองผู้ช่วยของตัวเองที่เยินยอเฉินฉีอย่างออกหน้าออกตาจนอีกฝ่ายต้องก้มหลบสายตา เขาพูดเหน็บแนมอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าอยากอวดภูมิความรู้ของตัวเองมากก็ออกไปสาธยายข้างนอกเถอะ ทำแบบนี้จะยิ่งรบกวนเวลาทำงานของผมให้ล่าช้าลง ผมมีหน้าที่รับผิดชอบแค่หาข้อเท็จจริง ส่วนการสันนิษฐานและหาเหตุผลประกอบเป็นหน้าที่ของคุณ”

“คุณนี่เป็นคนน่าเบื่อจริง ๆ ผ่าชันสูตรศพไปพลางวิเคราะห์หาเหตุผลไปพลางออกจะสนุก ไม่คิดงั้นเหรอ?” เฉินฉีบ่น

เผิงซื่อจวี๋หันขวับทันทีและจ้องสบตาเฉินฉีโดยตรง ทันใดนั้นเขากลับนึกถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่งขึ้นมาได้ เพื่อนคนนั้นกับผู้ชายตรงหน้าพูดประโยคทำนองเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน แถมยังมีนิสัยชอบแสวงหาเหตุผลเมื่อเข้ามาร่วมการผ่าชันสูตรศพในแต่ละครั้งเหมือนกันด้วย

มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าเนี่ย!

เขาครุ่นคิดฟุ้งซ่านเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนละสายตาจากเฉินฉีและหันไปจดจ่อกับงานต่อ

“ดูจากระดับการย่อยอาหารของกระเพาะอาหาร เวลาเสียชีวิตคือสามชั่วโมงหลังจากอาหารมื้อสุดท้าย เมื่อรวมกับอุณหภูมิตับด้วยแล้วระบุได้ชัดเจนว่าควรเป็นเวลาสามทุ่มของวันที่ 4 ตุลาคม” เผิงซื่อจวี๋กล่าว ผู้ช่วยจดบันทึกถ้อยคำเหล่านั้นไว้อย่างครบถ้วน

“เหมือนที่ผมคาดการณ์ไว้อีกแล้ว” เฉินฉีพยักหน้าโดยไม่สนใจสายตาหมั่นไส้ที่ส่งมาจากเผิงซื่อจวี๋

“ยังมีสิ่งนี้อีก” เผิงซื่อจวี๋หยิบอนุภาคสีขาวขนาดเล็กที่มีการสึกกร่อนอย่างรุนแรงโดยกรดในกระเพาะอาหารขึ้นมาจากถาดอย่างเบามือ ไม่นานเขาก็อนุมานได้ทันที “เป็นยานี่เอง” พูดจบแล้วจึงหยิบยาดังกล่าวใส่ลงในหลอดทดลองและทิ้งไว้เพื่อทำการทดสอบต่อไป

เฉินฉีกำชับเขา “เดี๋ยวก่อน ทุกอย่างที่อยู่ในกระเพาะอาหารของผู้เสียชีวิตจะต้องทำการตรวจสอบอย่างรอบคอบที่สุด ไม่ว่าอาหารที่เธอกินเข้าไป รวมถึงกรดในกระเพาะอาหารก็ต้องทำการทดสอบเช่นกัน ร้านอาหารบางแห่งจะใส่สารเติมแต่ง วัตถุดิบแช่แข็งบางชิ้นก็อาจมีสารกันบูดเจือปนอยู่ด้วย พอได้ข้อมูลแล้วจะได้นำไปเทียบกับข้อมูลจากหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยของวัตถุดิบ ไม่แน่ว่าอาจมีส่วนช่วยให้เราค้นหาร้านอาหารที่เธอไปร่วมกินเลี้ยงได้”

“เรื่องนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเตือนผมหรอก!”

“ผมไม่ได้บอกคุณ ผมบอกเธอต่างหาก” เฉินฉีหันไปทางหลินถงซู

หลังจากผ่าอวัยวะภายในที่เหลือทีละชิ้นครบแล้วการผ่าชันสูตรศพก็สิ้นสุดลง ทั้งสี่คนเดินออกจากห้องผ่าชันสูตร เฉินฉีพูดกับเผิงซื่อจวี๋ “หัวหน้าเผิง ผมขอแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับคุณหน่อยครับ ถ้าผลการทดสอบออกมาครบแล้วอย่าลืมแจ้งกลับให้เราทราบด้วย”

เผิงซื่อจวี๋หยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมถามกลับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “คราวนี้คุณเดิมพันเรื่องอะไรไว้กับผู้กองหลินอีกล่ะ?”

“เขาคิดว่าศพผู้หญิงคนนี้ถูกฆ่าโดยอาชญากรมีหมายจับที่เราตามไล่ล่าในวันจัดงานคอนเสิร์ต แต่ผมคิดว่าไม่ใช่เขาแน่ คุณล่ะคิดว่าไง?” เฉินฉีถามกลับยิ้ม ๆ

“ผมไม่ขอมีส่วนร่วมในการเดิมพันอันน่าเบื่อของพวกคุณ”

“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ อย่าลืมแจ้งผลการทดสอบให้ผมทราบด้วย”

หลังออกมาจากห้องแล็บชันสูตรได้ เฉินฉีที่ต้องคอยกลั้นหายใจเป็นเวลาเกือบครึ่งวันล้วงเอาบุหรี่ออกมาจุดสูบเพื่อขับไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์เหล่านั้น หลินถงซูถามเขา “จากนี้เราควรทำอะไรต่อดี?”

“รอไปก่อน” เฉินฉีตอบสั้น ๆ “ตราบใดที่ผลการทดสอบยังไม่แน่ชัด เราก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”

“ครั้งนี้คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินถงซูมองเขาด้วยความสงสัย

“ก่อนหน้านี้คุณก็ได้ยินนี่ว่าเธอถูกรุมโทรม เพราะงั้นทิศทางการคาดเดารูปคดีของพี่ชายคุณเลยผิดพลาดไป”

“นั่นก็ไม่แน่ ฆาตกรไม่ได้ทิ้งดีเอ็นเอไว้ บางทีอาจเป็นคนคนเดียวกันนี่แหละที่... เอ่อ... ลงมือข่มขืนเธอซ้ำ ๆ” วลีสุดท้ายทำเอาหลินถงซูกระดากอายจนใบหน้าแดงก่ำ ‘ฉันพูดคำว่าลงมือข่มขืนซ้ำ ๆ ออกไปได้ยังไงเนี่ย?!’

“ฮ่าๆๆ!” เฉินฉีระเบิดเสียงหัวเราะลั่น “ในที่สุดคุณก็เรียนรู้การตั้งสมมุติฐานไปในหลาย ๆ ทิศทางแล้ว! ถือเป็นความก้าวหน้าใหม่เลยนะเนี่ย!”

“ชิ! แล้วฉันเดาถูกไหมล่ะ?”

“อันที่จริงผมตรวจสอบคดีที่อาชญากรซึ่งเราตามจับกันเมื่อคืนเป็นคนก่อแล้ว โดยปกติพฤติกรรมของมนุษย์ค่อนข้างมั่นคงและจะกระทำแบบเดิมอย่างต่อเนื่อง เว้นเสียแต่นิสัยของบุคคลนั้นจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในช่วงเวลาไม่นานมานี้ เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเป็นฆาตกรคนเดียวกันทั้งสองคดี”

ทันใดนั้นสวีเสี่ยวตงรีบร้อนวิ่งตรงไปหาพวกเขาพร้อมกับเอกสารที่เพิ่งพิมพ์ออกมาจากแฟกซ์กองใหญ่ เขาพูดกระหืดกระหอบ “นี่คือแฟกซ์ข้อมูลผู้สูญหายล่าสุดที่ส่งมาจากสถานีตำรวจหลักและสถานีย่อยในเขตต่าง ๆ”

“โอ้ เยอะขนาดนี้เชียวเหรอนี่?” หลินถงซูถอนหายใจ

เฉินฉีหยิบขึ้นมาดูแค่สองสามแผ่นก่อนพูดว่า “ไม่เลวนี่ อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าควรคัดเอาผู้สูญหายเพศชายออก”

“แน่นอนครับ ผมรู้ว่าผู้ตายเป็นผู้หญิง!” สวีเสี่ยวตงยืดอกรับราวภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน

“แต่การรับแจ้งคนหายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผ่านไปแล้วสี่สิบแปดชั่วโมง ส่วนกรณีพิเศษสามารถแจ้งคนหายได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง คุณหาข้อมูลคนหายทั้งหมดตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่แล้วมาเพื่ออะไร? มันไม่จำเป็นด้วยซ้ำ! ผมขอแค่ข้อมูลหมายเลขแปดและหมายเลขเก้าก็พอ... ที่เหลือเอาคืนไป”

“เฮ้! แล้วคุณจะไปไหนน่ะ?” หลินถงซูโพล่งถามเมื่อเห็นว่าเฉินฉีเดินห่างออกไป

“ผมจะกลับบ้านไปนอนน่ะสิ! พักผ่อนกายใจเอาแรงซะหน่อย”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด