ตอนที่แล้วบทที่ 40 ความคิดเห็นที่แตกต่าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 42 ผ่าชันสูตรศพ

บทที่ 41 เปิดคดีอย่างเป็นทางการ


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 41 เปิดคดีอย่างเป็นทางการ

วันรุ่งขึ้นเฉินฉีส่งรถสุดที่รักของตัวเองที่ถูกชนยับเยินทั้งคันเข้าอู่โฟร์เอสเพื่อซ่อมแซมตามระเบียบ ก่อนขึ้นรถบัสเพื่อเข้าร่วมประชุมที่สถานีตำรวจ

วันที่ 7 ตุลาคม คดีศพหญิงสาวไร้หัวถูกเปิดแฟ้มอย่างเป็นทางการ ช่วงเช้าของวันเดียวกันหลินชิวผูได้เปิดประชุมเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับคดี ซึ่งเขายังคงยึดมั่นในความเชื่อของเขา ที่ว่าหลักฐานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และหลักฐานของคดีทั้งหมดชี้ไปที่อาชญากรมีหมายจับซึ่งได้รับบาดเจ็บจนหมดสติอยู่ในขณะนี้ ขั้นตอนการสืบสวนทั้งหมดจึงมุ่งเป้าไปที่คนรอบตัวของชายแซ่เจี่ย

นอกจากนี้เขาได้ทำการแจกแจงงานให้กับหลินถงซูและสวีเสี่ยวตง ทั้งสองมีหน้าที่ช่วยเหลือเฉินฉีในการสืบคดีเป็นกรณีพิเศษ ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นทั้งคู่ต่างตื่นเต้นดีใจไม่น้อย ฝั่งหนึ่งรู้สึกยินดีเพราะในที่สุดหลินชิวผูก็ยอมเปลี่ยนทัศนคติของเขาและยินดีให้ความร่วมมือกับเฉินฉี ส่วนอีกฝั่งแค่ตื่นเต้นเพียงเพราะได้เป็นคู่หูของหลินถงซูอีกครั้ง

เมื่อเฉินฉีมาถึงด้านหน้าสถานีตำรวจ ทั้งสองจึงเดินออกมาต้อนรับเขาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะสวีเสี่ยวตงที่ต้อนรับเขาอย่างเกินหน้าเกินตา “พี่เฉินทานอาหารเช้ามาหรือยังครับ? ให้ผมจัดเตรียมให้พี่ดีไหม?”

“วันนี้คุณดูดีดเป็นพิเศษนะ” เฉินฉีแซวกลับด้วยรอยยิ้ม

“จะไม่ให้ผมดีดกว่าทุกวันได้ยังไง ผมได้ทำงานกับคนฉลาดอย่างพี่เฉินเชียวนะ นานทีจะได้มีอิสระจากทีมสอบสวนหลัก แถมยังได้...” ว่าแล้วก็เหลือบมองหลินถงซูด้วยสายตาแฝงนัยอะไรบางอย่าง

“อย่าภูมิใจเกินเบอร์ไปหน่อยเลย จะสืบคดีร่วมกับผมได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”

“เข้าใจแล้วครับ ไปกันเถอะ วันนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวพี่เอง”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เราต้องใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่าที่สุด วันนี้เราต้องตรวจสอบตัวตนของผู้เสียชีวิตให้ได้ หัวหน้าเผิงกลับมาปฏิบัติหน้าที่แล้วหรือยัง?”

หลินถงซูรีบตอบ “เขากลับมาตั้งแต่เช้าแล้ว และเริ่มทำการผ่าชันสูตรไปแล้วด้วย!”

“เขาไม่รอให้ผมมาถึงก่อนเหรอเนี่ย?” เฉินฉีรีบวิ่งเข้าไปในสถานีทันที

ภายในห้องปฏิบัติการชันสูตร เผิงซื่อจวี๋และแพทย์นิติเวชอีกคนกำลังตั้งค่ากล้องอัดวิดีโอเพื่อบันทึกข้อมูลการผ่าศพของผู้ตาย เฉินฉีเข้ามาในห้องแล้วแต่ยังยืนอยู่ด้านหลังผ้าม่านที่ขึงปิดไว้ “หัวหน้าเผิง ขอผมเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหม?”

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน”

“ได้ อย่าเพิ่งลงมือผ่าล่ะ”

เฉินฉีเดินไปหยิบชุดป้องกันฆ่าเชื้อมาสวมใส่ สวีเสี่ยวตงยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ด้านนอกพลางพูดด้วยความรู้สึกพรั่นพรึง “ผมคิดว่าตัวผมไม่น่ามีส่วนร่วมกับการผ่าชันสูตรศพเท่าไหร่หรอกนะ”

หลินถงซูหยิบกระดาษทิชชูเปียกกลิ่นหอมแผ่นหนึ่งขึ้นมาปิดแนบจมูกเพื่อป้องกันกลิ่นก่อนสวมแมสก์ทับอีกชั้น “ทำแบบนี้ก็ได้แล้ว”

แต่สวีเสี่ยงตงยังยิ้มเจื่อน “ฉันทนมองไม่ไหวแน่ เดี๋ยวฉันออกไปรอข้างนอกแล้วกัน มีอะไรด่วนก็ติดต่อมาได้เลย”

“คุณช่วยโทรไปถามตามสถานีตำรวจในเขตต่าง ๆ ให้หน่อย ถามว่ามีรายงานแจ้งผู้สูญหายที่มีลักษณะตรงตามผู้ตายหรือเปล่า”

“โอเค!” สวีเสี่ยวตงรับคำสั่งอย่างแข็งขันและรีบเดินออกไปด้วยความโล่งอก

เฉินฉีหันไปถามหลินถงซู “คุณล่ะ ไม่กลัวเหรอ?”

หลินถงซูลังเลเล็กน้อย แต่ยังตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว “กลัวการผ่าศพน่ะเหรอ? ฉันจะประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยังไงถ้ามัวแต่กลัวเรื่องอะไรแบบนี้”

“เก่งมาก”

ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องชันสูตรศพ เผิวซื่อจวี๋บ่นอุบ “ช้ามาก!”

“ขอโทษด้วยครับ เสื้อผ้าพวกนี้กินเวลาการผลัดเปลี่ยนพอสมควรเลย ขอผมดูศพเพิ่มเติมให้ละเอียดหน่อย”

“เมื่อวานนี้คุณคาดการณ์เวลาตายของผู้เสียชีวิตว่าประมาณสี่สิบแปดชั่วโมง...”

“ผมเข้าใจผิดหรือเปล่าล่ะ?”

เผิงซื่อจวี๋เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ราบเรียบ “ผมเพิ่งวัดอุณหภูมิในตับของผู้ตาย ดังนั้นเวลาเสียชีวิตควรมากกว่าห้าสิบแปดชั่วโมงนับจากปัจจุบัน”

ตอนแรกเฉินฉีฟังแล้วนิ่งไป แต่พอทบทวนคำพูด ‘นับจากปัจจุบัน’ อีกที จึงรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเล่นมุกตลกหน้าตายนี่เอง เขายิ้มกว้างพร้อมตอบกลับ “ขอบคุณที่สนับสนุนการคาดเดาของผมครับ”

“อย่าภูมิใจไปหน่อยเลย การคาดการณ์เวลาเสียชีวิตเป็นแค่งานพื้นฐานของทีมแพทย์นิติเวช”

“ใช่ ใช่ ผมก็แค่อาศัยความช่างสังเกตเท่านั้นเอง กระบวนการอื่น ๆ ผมไม่สู้มืออาชีพอย่างพวกคุณอยู่แล้ว”

เฉินฉีตรวจสอบผิวหนังของศพโดยมุ่งเน้นไปที่ร่องรอยการผูกเชือกบนข้อมือ ชั้นวางด้านข้างมีเชือกมัดหนึ่งวางอยู่ หมอชันสูตรอีกคนอธิบายว่า “ทีมเก็บหลักฐานเมื่อวานนำมัดเชือกจากกล่องของคนร้ายกลับมาด้วย เราเปรียบเทียบลักษณะของเชือกทั้งคู่แล้วพบว่าเป็นแบบเดียวกัน”

เฉินฉีหยิบเชือกขึ้นมาเปรียบเทียบ “ตรงกันจริง ๆ ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นเชือกที่ใช้ในการฆาตกรรม เชือกประเภทนี้นิยมใช้กับการขนส่งทางไกล สามารถหาซื้อจากที่ไหนก็ได้... พวกคุณได้ตรวจสอบร่องรอยการมัดหรือยัง?”

“เราเพิ่งพูดคุยเรื่องนี้กันเมื่อกี้นี้เอง” หมอชันสูตรคนเดิมหยิบกระดานไวท์บอร์ดที่มีภาพร่างไว้ แสดงให้เห็นว่าผู้เสียชีวิตถูกมัดทั้งแขนและขาเข้าด้วยกันและโยงไปไว้ด้านหลัง

เฉินฉีมองภาพร่างนั้นพลางครุ่นคิด “ไม่สิ แล้วจะอธิบายรอยเชือกที่เห็นอยู่บริเวณซี่โครงด้านหลังของเธอยังไง?”

“บางทีเธออาจจะถูกมัดเชือกไว้ก่อนหน้านี้แล้วเปลี่ยนวิธีการมัดซะใหม่ในภายหลัง” เผิงซื่อจวี๋โพล่งขึ้น

เฉินฉีแตะรอยเชือกบนร่างกาย “ดูนี่สิ น้ำหนักการกดทับของเชือกไม่เท่ากัน บริเวณซี่โครงค่อนข้างหนัก แต่ผิวด้านหลังเป็นรอยกดที่เบากว่า เหมือนว่าการมัดเชือกจะถูกวัตถุบางอย่างขัดคั่นไว้”

“ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่” เผิงซื่อจวี๋เองก็พิจารณาเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

“มันจะเป็นอะไรได้ล่ะ? ต้องเป็นวัตถุเนื้อแข็งพอสมควร ไม่งั้นรอยเชือกคงไม่ขาดช่วงไปดื้อ ๆ แบบนี้” เฉินฉีกวาดสายตามองไปยังเตียงเหล็กที่ว่างเปล่าอีกเตียงหนึ่งก่อนโพล่งขึ้น “มีใครสักคนไหมที่ไม่เห็นแก่ตัวและทุ่มเทให้กับงานยิ่งชีพ? กรุณาขึ้นมานอนบนเตียงนี้ด้วย...”

เผิงซื่อจวี๋หันมองหลินถงซูทันที เธอรีบพูดด้วยความร้อนรน “ทำไมคุณมองฉันแบบนั้นล่ะ?!”

“เพราะคุณเป็นผู้หญิงไง”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะ?”

“เกี่ยวเพราะผู้ตายก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันกับคุณ”

หลินถงซูพ่ายแพ้ต่อตรรกะของเขาจำยอมเสียสละตัวเองเพื่อไขคดี ไม่คาดคิดว่าเฉินฉีจะพูดขัดขึ้นก่อน “ไม่ หัวหน้าเผิง คุณนั่นแหละมานี่เลย”

“ผมขอปฏิเสธ!”

“หลินถงซูเป็นผู้หญิง ผมเกรงว่าอาจเป็นการไม่เหมาะสมนัก แต่เราเป็นผู้ชายทั้งแท่งกันทั้งคู่ เพราะงั้นผมทำการทดลองกับคุณนั่นแหละดีแล้ว”

เผิงซื่อจวี๋นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงยอมปีนขึ้นมานอนบนเตียงเหล็กแต่โดยดี เฉินฉีผูกเชือกไว้รอบตัวเขาพร้อมพูดขึ้น “แบบนี้ มัดทั้งมือและเท้าทั้งสองข้างไว้ใต้โต๊ะแล้วพาดเชือกอีกเส้นมัดไว้บนตัว แต่อย่าลืมว่ารอยด้านหลังที่เราสำรวจจากตำแหน่งการมัดแสดงให้เห็นว่าวัตถุชิ้นนั้นจะต้องแคบกว่าร่างกาย ในเมื่อร่างกายของผู้เสียชีวิตไม่ได้อวบอ้วนขนาดนั้น แล้ววัตถุที่มีขนาดเล็กว่าควรจะเป็นอะไร?”

“ม้านั่งไง!” หลินถงซูโพล่งขึ้น

“แต่ม้านั่งที่คุณว่าปัจจุบันนี้ไม่ค่อยนิยมใช้กันแพร่พลาย เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่สมัยนี้คงไม่มีใครใช้กันแล้วมั้ง” แพทย์นิติเวชอีกคนออกความเห็น

เผิงซื่อจวี๋พูดบ้าง “หลังจากที่เราทำการตรวจสอบศพเป็นครั้งที่สอง พบว่าบริเวณมือและขาของผู้เสียชีวิตมีรอยเปื้อนสนิมเล็กน้อย ซึ่งเราทดสอบทางเคมีแล้วพบว่าเป็นสนิมที่เกิดจากเหล็ก”

เฉินฉีตอบสนองทันที “เหล็กทำปฏิกิริยากับน้ำและความชื้นทำให้ค่อย ๆ แปรสภาพกลายเป็นออกไซด์ และปรากฏร่องรอยของไฮเดรตเฟอริกออกไซด์* ดูเหมือนว่าวัตถุชิ้นนั้นต้องทำมาจากเหล็กและค่อนข้างเก่าพอสมควรจนเกิดสนิม ม้านั่งที่ส่วนขาทำมาจากเหล็กอย่างนั้นเหรอ?”

* ไฮเดรตเฟอริกออกไซด์ = สนิมเหล็กที่ทำให้เหล็กเกิดอาการผุกร่อน

หลินถงซูรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดค้นหาอยู่พักหนึ่งก่อนและอุทานออกมา “โอ้ นี่ไง ทำไมฉันคิดไม่ถึงมาก่อนนะ! เฮ้ ดูนี่สิคะ ถ้าเป็นเก้าอี้แบบนี้แล้วละก็ค่อยพบเห็นได้ทั่วไปหน่อย!”

เธอหันหน้าจอมือถือไปด้านหน้า เป็นรูปภาพของโต๊ะพับและเก้าอี้เข้าชุดกันที่พบเจอได้ทั่วไปในร้านอาหารส่วนใหญ่ ซึ่งพวกมันทำขึ้นจากเหล็กตรงตามการสันนิษฐานเป๊ะ

เผิงซื่อจวี๋ยกกรอบแว่นตาขึ้นพร้อมออกความเห็น “ครัวเรือนทั่วไปไม่มีทางซื้อโต๊ะอาหารและเก้าอี้แบบ all-in-one แบบนี้ไว้ในบ้านแน่ สถานที่เกิดเหตุน่าจะเกิดขึ้นที่ร้านอาหาร”

หลินถงซูเกิดความไฟแรงขึ้นมา “งั้นเราควรไปสืบถามจากที่ทำงานของผู้เสียชีวิตเพื่อแกะรอยกันตอนนี้เลย!”

“คุณรู้แล้วเหรอว่าเธอเป็นใคร?” เฉินฉีถามกลับ

เผิงซื่อจวี๋ตัดบท “ดำเนินการชันสูตรศพต่อไป!”

ทุกคนกลับไปยืนล้อมอยู่รอบร่างกายของศพ เผิงซื่อจวี๋ตรวจสอบบริเวณคอของผู้เสียชีวิต “มีร่องรอยขรุขระไม่เรียบเนียน คล้ายเธอถูกฆาตกรใช้ใบเลื่อยเหล็กเลื่อยตัดหัวออกไป”

“เมื่อวานผมบอกผู้กองหลินแบบเดียวกันนี้เลย” เฉินฉีพูดแทรก “ไม่มีการบาดเจ็บที่เห็นเด่นชัดภายนอกตามร่างกาย ผมคาดเดาว่าสาเหตุการเสียชีวิตของเธอเกิดจากภาวะขาดอากาศหายใจ...”

“คุณอย่าเอาแต่พูดขัดจังหวะผมตลอดเวลาได้ไหม?!” เผิงซื่อจวี๋จ้องเขม็ง “เสี่ยวหวาง ช่วยผมพลิกศพที”

เมื่อปรับตำแหน่งของศพเรียบร้อยแล้ว เผิงซื่อจวี๋จึงใช้นิ้วกดลงไปบนเนื้อศพด้านหลังพร้อมอธิบายตามสิ่งที่ได้พบ “ร่องรอยการสัมผัสศพกระจายอยู่ทั่วไป ศพถูกเคลื่อนย้ายหลังจากที่เธอตายไปแล้ว” จากนั้นเขาจึงสังเกตเห็นรอยไหม้เล็ก ๆ ใต้ซี่โครงด้านข้าง เฉินฉีก็มองเห็นมันเช่นเดียวกัน ชายสองคนจับจ้องไปที่แผลไฟไหม้จนศีรษะของพวกเขาเกือบชิดชนกัน เผิงซื่อจวี๋ที่เพิ่งรู้ตัวยืดตัวยืนหลังตรงทันที “คุณบังแสงซะมิดเลย!”

หลินถงซูยกมือขึ้นปิดปากพลางหัวเราะคิกคัก

“รอยไหม้นี้เกิดขึ้นในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนจะมีเขม่าติดอยู่เล็กน้อย” เผิงซื่อจวี๋พูดพลางคีบสำลีไปเก็บตัวอย่าง

เฉินฉียื่นมือไปลูบรอยผิวไหม้เล็ก ๆ นั้น “รอยไหม้นี้ไม่น่าเกิดขึ้นจากก้นบุหรี่ที่กดลงไปโดยตรง อาจจะเกิดจากการที่ใครบางคนเผลอทำขี้บุหรี่ที่ยังร้อนจัดร่วงลงไป”

หลังจากตรวจสอบร่างกายภายนอกครบแล้วพวกเขาจึงช่วยกันพลิกศพกลับขึ้นมานอนหงายอีกครั้ง เผิงซื่อจวี๋ใช้เครื่องมือแพทย์สอดเข้าไปในช่องคลอดเพื่อขยายช่องให้กว้างขึ้น ก่อนใช้ไฟฉายส่องเข้าไปสำรวจภายใน จากนั้นจึงกล่าวต่อไป “บริเวณผนังช่องคลอดมีรอยช้ำและรอยขีดข่วนขนาดใหญ่ซึ่งถูกกระทำในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ผู้ตายถูกบังคับขืนใจให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนตาย... บางทีอาจจะถูกกระทำโดยคนจำนวนมาก”

“รอยนั้นอยู่ตรงตำแหน่งไหน?” เฉินฉีถาม

หลินถงซูกลอกตาพลางบ่นพึมพำ “ทำไมคุณเอาแต่สนใจรายละเอียดพวกนี้อยู่เรื่อย”

เผิงซื่อจวี๋ตอบคำถามเขาอย่างใจเย็น “รอยช้ำส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณผนังด้านข้าง”

“ถ้าอย่างนั้นเมื่อตรวจสอบจากร่องรอยภายนอกทั้งหมด รวมถึงรอยเชือกมัดบนร่างกายผู้เสียชีวิต แสดงว่าเธอถูกรุมโทรมโดยกลุ่มคนจำนวนมากในขณะที่ถูกมัดไว้”

“แต่เธอไม่มีรอยแผลเป็นที่ชัดเจนตามร่างกายเลยนะ ผมทำการชันสูตรศพในคดีข่มขืนมาแล้วหลายเคส หากผู้ตายถูกข่มขืนจริงต้องมีการดิ้นรนขัดขืนจนเกิดความบาดเจ็บตามร่างกายไม่มากก็น้อย”

“ไม่แน่ว่าผู้ตายอาจถูกทำให้หมดสติไปก่อนหน้านั้นแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเธออาจดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอย่างหนัก?”

เผิงซื่อจวี๋ลูบคางขณะครุ่นคิดตามคำพูดของเฉินฉี จากนั้นจึงหันไปสั่งการกับผู้ช่วยทันที “เตรียมทำการผ่าศพ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด