ตอนที่แล้วWMR ตอนที่ 2 สูตรโกงที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWMR ตอนที่ 4 เปิดมิติแห่งจิตสำนึก

WMR ตอนที่ 3 คาถาวอเทอร์บอล


กำลังโหลดไฟล์

“มิเชล เมื่อเรื่องนี้จบลง เราออกจากที่นี่และไปเฟเรลเดนกันเถอะ”

หลังจากแสดงความรักระหว่างพี่น้องสิ้นสุดลง พวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในทีมกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสื่อสารกันบ่อยมากขึ้นเช่นเดียวกับพี่น้องทางสายเลือด ความเย็นชาและน่าอึดอัดก่อนหน้านี้จางหายไปไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว

“แน่นอน ข้าอยากออกจากที่นี่นานแล้ว” มิเชลตอบเสียงเบา

แน่นอนว่าความอบอุ่นนี้ไม่ได้มีกู้เป่ยรวมอยู่ด้วย

เขายังคงได้รับการปฏิบัติเหมือนเมื่อก่อน --- เชือกถูกผูกแน่นจนมือชา ขาสั่นจากการเดินอันยาวนาน และไม่มีสิทธิ์พูด หากเขาเปิดปาก แอนนี่ที่ดูยิ้มแย้มจะเฆี่ยนเขาด้วยแส้สองสามครั้ง

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือดูเหมือนเขาจะสามารถโต้ตอบกับระบบได้เท่านั้น

"นี่ ลองบะหมี่ผัดแครอทสูตรโฮมเมดของฉันดูสิ"

“บะหมี่นี่มันหวานเกินไปจนทำให้ฉันปวดฟัน...”

กู้เป่ยขัดจังหวะ “นายคิดจะหาทางให้เราหนีบ้างไหม?

ระบบเงียบราวกับไม่เคยมีตัวตน

แน่นอน กู้เป่ยรู้ว่าเขาไม่สามารถพึ่งพาระบบที่ดูไม่ค่อยหน้าเชื่อถืออันนี้ได้ เขาถามคำถามกับระบบเพื่อให้มันเงียบก็เท่านั้น

เขาพูดกับตัวเองต่อไป:

“เราต้องคิดหาทางบอกทหารที่ตามมาโดยไม่ให้มิเชลสังเกตเห็น และฉันต้องแน่ใจด้วยว่าเธอจะไม่มีเวลามาฆ่าฉัน....”

ระบบหยุดชะงัก: "อัตราความสำเร็จต่ำเกินไป ทำไมท่านไม่ลองเกลี้ยกล่อมมิเชลดู อย่างน้อยอัตราความสำเร็จก็อยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์"

“...”

กู้เป่ยคิดเกี่ยวกับข้อเสนอนี้อย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็พูดกับระบบว่า: "ไปให้พ้น"

ทั้งสามยังคงเดินหน้าต่อไป ขณะติดตามมิเชลกู้เป่ยแสร้งทำราวกับจะตายตลอดเวลาเพื่อให้แอนนี่ย่ามใจ แต่จริง ๆ แล้วเขารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่และแอบคิดหาวิธีหลบหนี

ทันใดนั้นเมื่อเขามองไปที่มิเชล ประกายแห่งแรงบันดาลใจก็จุดขึ้นในใจของเขา ไม่นานความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว

“ฉันต้องทำเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นโอกาสคงไม่มีอีกแล้ว”

แอนนี่รีบเร่งให้เขาเดินต่อไป แน่นอนว่าเขาทำตามอย่างเชื่อฟัง แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดเคลื่อนไหว แสร้งทำเป็นสลบและล้มลงกับพื้น

เขาหลับตาและไม่มีทีท่าว่าจะขยับ

มิเชลหยุดเดินแล้วหันกลับมา ขณะที่แอนนี่สังเกตกู้เป่ยอย่างใกล้ชิดครู่หนึ่งและส่ายหัว:

"เขาเป็นลม"

มิเชลไม่ได้พูดอะไร แต่ก้มหน้าครุ่นคิด ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

“พวกขุนนางไร้ประโยชน์จริง ๆ”

แอนนี่ไม่พอใจและเตะกู้เป่ยอย่างแรง

กู้เป่ยอดทนต่อความเจ็บปวดและพยายามไม่สะดุ้ง

ขณะเดียวกัน เขาก็ได้เขียนคำว่า ----"คลังสมบัติ" ลงบนพื้นด้วยมือที่อยู่ด้านหลังของเขา

นี่คือสิ่งที่กู้เป่ยคิด: เขาจะแกล้งเป็นลมเพื่อทิ้งเบาะแสไว้ให้ทหารที่ตามมารู้ว่าจุดประสงค์ของมิเชลคืออะไร ด้วยเหตุนี้พวกเขาอาจไปดักรอซุ่มโจมตีอยู่ที่คลัง

เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเขาถูกปกปิดไว้ดีพอ แอนนี่และมิเชลล์จึงไม่ได้สังเกตว่าเขาทิ้งรอยไว้บนพื้น

“ท่านคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยได้จริง? แม้ทหารจะสังเกตเห็นเบาะแสนี้และไล่ตามมาทัน มิเชลก็ยังมีเวลามากพอจะฆ่าท่านอยู่ดี”

ระบบกล่าวในหัวของเขา

“ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” กู้เป่ยคิดในใจ

อันที่จริง หากทหารสามารถซุ่มโจมตีและฆ่ามิเชลล์ที่กำลังตกใจได้สำเร็จ โอกาสรอดของเขาก็จะมีสูง ความพยายามจะเสียดสีของระบบไม่เป็นผล เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่ามิเชลเคร่งเครียดกับเรื่องนี้มากแค่ไหน ตระกูลลิเธอร์ควรมีความสามารถอยู่บ้าง

ดังนั้นเขาจึงหวังกับแผนนี้ไว้สูง

ทันทีที่กู้เป่ยทิ้งรอยไว้บนพื้น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินคำพูดแปลก ๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินหรือเข้าใจมาก่อนดังขึ้นมา

เป็นแอนนี่ที่กำลังร่ายคาถาบางอย่าง น้ำเสียงของเธอแตกต่างจากเสียงที่เธอพูดปกติอย่างสิ้นเชิง เสียงทุ่มต่ำแลดูลึกลับเหล่านี้ดังกังวานไปทั่วป่าราวกับมีมนต์แฝง มันทำให้กู้เป่ยอยู่ในภวังค์

เขาสัมผัสได้ว่าแม้แต่วิญญาณของเขาก็สั่นสะท้าน!

ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง ทันใดนั้นบอลน้ำก็ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าทำให้เขาเปียกโชกทันทีส่งผลให้เขาไม่สามารถแกล้งสลบต่อไปได้

หลังจากที่ร่างกายสั่น ไม่นานเขาก็ "ตื่น" ขึ้น

“เปลืองพลังเวทย์ของข้าจริง ๆ” แอนนี่พูด ตอนนี้เสียงของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว

กู้เป่ยยังคงตกตะลึง

เมื่อกี้มันอะไรกัน? คำสาป? เวทมนต์?

แม้จากการสนทนาก่อนหน้ากู้เป่ยจะเข้าใจถึงการตั้งค่าของโลกนี้ และได้เรียนรู้ว่าทั้งมิเชลและแอนนี่เป็นผู้วิเศษ แต่อย่างไรก็ตามเขายังไม่เคยเห็นเวทย์มนตร์ของผู้วิเศษด้วยตาเขาเอง

ขณะที่ร่ายคาถา มันให้รู้สึกราวกับโลกทั้งใบพลิกกลับ

เวลาชะงักงัน ดินและต้นไม้ในระยะเอื้อมถึงพร่ามัวและดูห่างไกลออกไป ความกลัวและความตื่นเต้นในวิญญาณผสานเข้าด้วยกัน ทุกสิ่งรอบตัวเหมือน... เหมือน...

กู้เป่ยไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี

“เหมือนเป็นธรรมชาติมากขึ้น” จู่ ๆ ระบบก็พูดขึ้นในหัว

ใช่ เหมือนเป็นธรรมชาติมากขึ้น!

กู้เป่ยรู้สึกตื่นเต้น ขณะที่คาถาปรากฏขึ้นมันให้ความรู้สึกราวกับเขาเพิ่งได้คุยกับตัวตนที่แท้จริงของเขา

ความรู้สึกนั้นวิเศษพอๆ กับครั้งแรกของเขา แต่กลับลึกซึ้งและน่าจดจำยิ่งกว่าครั้งแรก เสมือนการผจญภัยที่น่าตกตะลึง แต่มันก็เหมือนความเจ็บปวดจากก้นบึ้งที่ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน มันสร้างความรู้สึกที่เขามิอาจสั่นคลอนได้

ร่างกายของเขาหยุดสั่นไม่ได้

“นี่คือ.... เวทมนต์?”

กู้เป่ยอดพูดออกมาไม่ได้

เขาต้องการมากกว่านี้

ขณะเดียวกันเขาก็ยังจำเสียงที่เกิดขึ้นจากคาถาได้

“ใช่ มันคือเวทมนต์”

น่าแปลกที่แอนนี่ตอบสนองต่อเสียงพึมพำของกู้เป่ย

ราวกับคำพูดของเขาไปจี้จุด เธอเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง:

“จะแปลกใจอะไรนักหนา? เจ้ากับพวกของเจ้าอยากตอกมันไว้ในโลงและฝังมันลงดินก่อนที่พวกเจ้าจะรู้เรื่องเวทย์มนตร์ด้วยซ้ำ! ดังนั้นเจ้าจะเข้าใจมันได้อย่างไร?”

กู้เป่ยกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและมองไปที่แอนนี่ด้วยความสงสัย

ดูเหมือนมีบางอย่างทำให้แอนนี่อารมณ์เสียเนื่องจากเธอพ่นคำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังออกมาทีละคำ:

“พวกเจ้ามันขี้ขลาด พวกเจ้านั้นกลัวสิ่งที่แตกต่างไปจากตนเอง เฉพาะเมื่อทุกคนกลายเป็นคนธรรมดาและไร้ประโยชน์เช่นเจ้าเท่านั้นพวกเจ้าถึงจะพอใจ แต่เจ้ากลับไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย เจ้าสวมหมวกที่เรียกว่าอัจฉริยะครอบความชั่วร้ายของเจ้าเอาไว้ และใช้สิ่งที่เรียกว่าคนปกติเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับทำบาป!”

ยิ่งพูดแอนนี่ก็ยิ่งดูเกรี้ยวกราด

“พอได้แล้วแอนนี่!”

มิเชลขัดจังหวะเธอ: "เจ้าจะพูดให้เขาฟังไปเพื่ออะไร?"

แอนนี่ตกใจและหยุดสิ่งที่เธอพูด เธอตระหนักว่าเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอจึงมองมิเชลด้วยความกังวล:

“ขอโทษ ข้าอารมณ์เสียไปหน่อย”

มิเชลพยักหน้าและดูไม่สนใจ

"เราเสียเวลามามากพอแล้ว อย่าลืมว่าตอนนี้เราเป็นอาชญากรที่ศาสนจักรต้องการตัว" เธอเหลือบมองกู้เป่ยแล้วกล่าวอย่างเร่งรีบ: "ไปกันเถอะ"

แอนนี่พยักหน้าเห็นด้วย เธอหันกลับมาเตะกู้เป่ย และกระตุ้นให้เขาลุกขึ้นยืน

“รีบลุกขึ้นได้แล้วเจ้าตัวไร้ค่า!”

กู้เป่ยไม่ได้โกรธ  เขากระทั่งไม่ตอบสนองต่อคำด่าของแอนนี่เลยด้วยซ้ำ ราวกับร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าก่อนหน้าเล็กน้อยและติดตามมิเชลอย่างเชื่อฟัง

แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาในตอนนี้มีความสุขมากแค่ไหน

“อีกครั้ง! อีกครั้ง!”

เขาตะโกนใส่ระบบในหัวของเขา

ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเสียงกลไกอันเย็นเยียบจะทำให้เขาตื่นเต้นได้ขนาดนี้ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีวันที่เขาไม่สั่งให้มันหุบปาก แต่ต้องการให้มันพูดมากยิ่งกว่านี้

ระบบที่ปกติช่างพูดดูเหมือนจะมีความเขินอายมาแทนที่ หลังจากครึ่งค่อนวันมันถูกบังคับให้พูดเพียงประโยคเดียว

ประโยคเดียวที่กู้เป่ยไม่เข้าใจเลยสักนิด

แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะนี่คือคาถาวอเทอร์บอล(บอลน้ำ)ของแอนนี่

ระบบได้บันทึกและจำลองทุกคำตามที่แอนนี่พูด

กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาสามารถฟังคาถานี้ซ้ำ ๆ ได้ตลอดเวลา!

เมื่อคาถานี้ถูกเล่นโดยระบบ ความรู้สึกลึกลับและมหัศจรรย์อย่างที่เคยมีมาไม่มีอยู่อีกต่อไปราวกับมันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระของคนบ้าเท่านั้น แต่กู้เป่ยไม่สนใจ เขารู้ว่ามันต้องการบางอย่างเพื่อเปลี่ยนสิ่งนี้ให้กลายเป็นคาถาที่แท้จริงและมอบพลังพิเศษให้แก่เขา

เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะค้นหาตัวเร่งปฏิกิริยานั้นให้พบ

ใช่แล้ว นับตั้งแต่วินาทีที่เขาได้ยินคาถา กู้เป่ยก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นนักเวทย์

ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการอำนาจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการได้เป็นตำนานอีกด้วย

ตั้งแต่ตอนที่เขาถูกย้ายมาที่นี่จนถึงตอนนี้ เขามักคิดอยู่เสมอว่าทำไมต้องเป็นเขา? ทำไมเขาถึงถูกพามาที่นี่? บางทีทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่เรื่องบังเอิญหมายถึงสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

และตอนนี้ เขาคิดว่าเขาได้พบคำตอบแล้ว

เขารู้สึกได้เลยว่าเวทมนตร์มันกำลังเรียกหาเขาอยู่

เขาได้หลุดพ้นจากชีวิตแสนธรรมดาที่เขามี เดินทางผ่านช่วงเวลาและมิติมายังพื้นที่ที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่ว่านั่นดีกว่าจมอยู่ในฟันเฟืองของโรงงานที่เรียกว่าสังคมและเป็นเพียงคนธรรมดาหรอกเหรอ?

เช่นเดียวกับผีเสื้อที่กระพือปีกครั้งแรก กู้เป่ยในเวลานี้ราวกับเพิ่งออกจากรังไหมและพบจุดหมายของชีวิต

ตอนนี้ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือจดจ่ออยู่กับคาถานี้

“นายสามารถพูดประโยคนี้ซ้ำได้ทั้งวัน ฉันจะไม่ขอให้นายหุบปากอีก”

กู้เป่ยเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่เขาพูดสิ่งนี้

"...ท่านครับ ข้าสงสัยว่าท่านกำลังเป็นโรคสตอกโฮล์มซินโดรม1"

เสียงกลไกที่เย็นเยียบฟังดูราวกับหมดหนทาง

เช่นเดียวกับกู้เป่ยที่พยายามฟังคาถาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปลายอีกด้านหนึ่งก็มีคนกำลังเดือดอยู่ไม่แพ้กัน

ณ เมืองชั้นในของเฮเวนไรท์ ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบและเคร่งขรึม

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์

ระหว่างเสาหินอ่อนสีขาว เสียงฝีเท้าที่แลดูเร่งรีบดังขึ้นก่อนมาหยุดอยู่ตรงโถงทางเดินของวิหาร วิหารในตอนกลางคืนว่างเปล่า แต่ให้ภาพลวงว่าเต็มไปด้วยผู้คน

“ท่านบิชอป มีบางอย่างเกิดขึ้นกับ 'มัน'!”

นักบวชหนุ่มหยุดและพูดด้วยความกังวล

“หลายปีผ่านไป ไม่มีปีไหนที่ ‘มัน’ ไม่สร้างปัญหา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกไป”

บิชอปตอบกลับอย่างเป็นกันเองและแลดูจะไม่ใส่ใจเรื่องที่รายงานเท่าไหร่นัก

เขายืนอยู่บนแท่นโดยหันหลังให้ทางเข้าหลักขณะก้มหน้าและพลิกอ่านหนังสือ เสื้อคลุมสีแดงขนาดใหญ่ของเขาถูกรีดอย่างประณีต

ซ้ายชวาของเขาเป็นที่นั่งสีดำล้วน ประกอบกับผนังสีขาวครีมทำให้มีความสมมาตรอย่างพิถีพิถัน และเมื่อรวมเข้ากับสีแดงเลือดที่อยู่ตรงกลาง มันก็ก่อทำให้เกิดภาพราวงานศิลปะที่มีชีวิตชีวา

แสงจันทร์ส่องผ่านบนกระจกสีลากเส้นหนาทึบบนหน้าต่างกระจกสีทีละเส้น

“ท่านบิชอป ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม!” นักบวชหนุ่มไม่สามารถสงบสติได้อีกต่อไป: “ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ ‘มัน’ เท่านั้น แต่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ก็ยังผิดปกติ ยิ่งกว่านั้นเรายังได้รับคำพยากรณ์ด้วย!”

หยาดเหงื่อไหลผ่านหน้าผากของเขา

ในที่สุดบิชอปก็หันกลับมา เขามีจมูกงุ้มแหลมและจ้องเขม็งมาจากเบ้าตาลึกของเขา:

“การเปิดเผยได้รับการแปลแล้วหรือรึไม่?”

นักบวชหนุ่มพยักหน้า นอกเหนือจากความวิตกกังวลแล้ว ยังมีร่องรอยของความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งอยู่ในดวงตาของเขาอีกด้วย:

“แปลเสร็จแล้วครับ”

น้ำเสียงของบิชอปยังคงสงบดังเดิม “ไหนบอกข้าสิว่าได้ความอย่างไร?”

นักบวชกลืนน้ำลาย แอปเปิลของอดัม2ขยับขึ้นลง

เขาอ้าปากและพยายามสงบสติ แต่เสียงที่ออกมากลับทำให้เขาตกใจ  เสียงของเขาแหบแห้งอย่างน่า ใจหายราวกับคนนอกศาสนาที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มน้ำในศูนย์ฟื้นฟูมาได้สามวัน

นี่คือคำที่เขาพูดทวน:

“พระองค์ตรัสว่า วันที่เจ็ด ระฆังสิ้นเสียง”

………….

โรคสตอกโฮล์มซินโดรม1  เป็นอาการของคนที่ตกเป็นเชลยหรือตัวประกันเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนคนร้ายหลังจากต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง และอาจจะลงเอยด้วยการแสดงอาการปกป้องคนร้ายหรือยอมเป็นพวกเดียวกัน

แอปเปิลของอดัม2  ลูกกระเดือก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด