ตอนที่แล้วบทที่ 30 ความคืบหน้าของเฉินฉี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 คนจะมายังไงก็ต้องมา

บทที่ 31 ความจริงอันน่าตกตะลึง


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 31 ความจริงอันน่าตกตะลึง

เฉินฉีและหลินถงซูกลับมาที่สถานีตำรวจแล้วตรงไปที่แผนกชันสูตรทันที เฉินฉีร้องเรียกเผิงซื่อจวี๋ “หัวหน้าเผิง ช่วยผมทดสอบอะไรบางอย่างทีสิ”

เผิงซื่อจวี๋มองเขาอย่างเย็นชาก่อนจะถามกลับ “มีอะไร?”

“คุณยังจำเลือดที่อยู่บนอาวุธ…”

“ผมทดสอบมันไปแล้วนี่”

“ไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้จะทดสอบดีเอ็นเอ แต่อยากทดสอบโดยใช้ไขมันในเส้นเลือดแทน เพื่อจะเอาไปเปรียบเทียบกับของผู้ตาย”

เผิงซื่อจวี๋มองเฉินฉีตั้งแต่หัวจรดเท้าและตอบว่า “ทำไมผมต้องทำตามที่คุณบอกด้วยล่ะ? ผมมีงานต้องทำอีกเยอะแยะ คงไม่มีเวลาจัดการตามคำร้องขอของคุณทุกเรื่อง”

“ผู้กองหลินเริ่มการสืบสวนอีกครั้งแล้วเหรอคะ?” หลินถงซูถามเขา

“ใช่แล้ว เขาเพิ่งกลับมาจากสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมเสือใหญ่ แถมยังนำหลักฐานบางอย่างมาด้วย ตอนนี้ผมยุ่งมาก ๆ ดังนั้นพวกคุณออกไปเถอะ”

หลินถงซูดึงแขนเสื้อของเฉินฉี “เราออกไปกันก่อนเถอะ”

“หัวหน้าเผิง!” เฉินฉีขึ้นเสียงกะทันหัน “ปกติแล้วบุคลิกภายนอกที่ทำให้คนอื่นประทับใจในตัวคุณคือความสุขุมรอบคอบ มีเป้าหมาย และเป็นกลางเสมอ แต่เมื่อกี้นี้คุณเพิ่งพูดว่า ‘ทำไมผมต้องทำตามที่คุณบอกด้วยล่ะ?’ ผมคิดว่านี่ออกจะเลือกปฏิบัติไปหน่อยนะ ในฐานะที่ผมเองก็เกี่ยวข้องกับการไขคดีนี้ ทำไมจะขอความช่วยเหลือจากที่นี่ไม่ได้? หน้าที่ของคุณคือปฏิบัติงานตามที่คนอื่นร้องขอไม่ใช่เหรอ?”

เผิงซื่อจวี๋ผุดลุกขึ้นมาจ้องหน้าเฉินฉีทันที “ถึงนิสัยของผมจะเป็นยังไงก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์จากปากคุณ!”

หลินถงซูรู้สึกเสียขวัญมาก ตั้งแต่เธอเป็นตำรวจมา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคนกล้ายั่วโมโหหัวหน้าเผิง ตอนนี้เฉินฉีไม่ต่างอะไรกับคนที่ชอบแหย่รังแตนไปทั่วและกล้ามีเรื่องกับทุกคนตลอดเวลา

เธอพยายามกระตุกเสื้อของเฉินฉีเพื่อห้ามปราม แต่เขาไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย “โปรดทำตามคำขอของผมด้วย แน่นอนว่าผมไม่ได้ขอให้คุณช่วยฟรี ๆ หรอก…”

เฉินฉีหยิบซองลูกอมรสมิ้นต์ออกมาวางบนโต๊ะ “นี่ครับ ค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ”

เผิงซื่อจวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นมุมปากกลับกระตุกยิ้ม “คุณคิดว่าผมเป็นเด็กน้อยรึไง?”

“ผมหาซื้อของที่แพงกว่านี้ให้ไม่ทันนี่นา”

“ทดสอบไขมันในเลือดงั้นเหรอ? เพราะอะไรถึงต้องทดสอบล่ะ? อธิบายให้ผมฟังหน่อยสิ”

“คุณจะช่วยผมใช่ไหม?”

“ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่คุณพูดมีเหตุผลมากพอหรือเปล่า”

“ผมคิดว่าคุณควรทดสอบมันก่อน แล้วพอได้ข้อสรุปออกมาผมจะอธิบายให้คุณฟังจนเข้าใจเอง เรียงลำดับขั้นตอนแบบนี้ดีกว่า”

เผิงซื่อจวี๋เหม่อไปครู่หนึ่งและรีบตอบกลับ “คุณไม่ควรโกหกผม เพราะผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก ถ้าคุณคิดเล่นตุกติกขึ้นมา จากนี้ห้ามก้าวผ่านประตูบานนั้นเข้ามาเด็ดขาด!”

“ผมไม่กล้าโกหกแน่นอน!” เฉินฉียิ้มตอบ

เผิงซื่อจวี๋เดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบตัวอย่างเลือดมาทำการทดสอบบนโต๊ะทดลอง เขาแกะซองลูกอมรสมิ้นต์ที่เฉินฉีให้มาและหยิบเข้าปากระหว่างทดลอง บรรยากาศในห้องเงียบสงัด แม้แต่หลินถงซูก็ไม่กล้าหายใจแรงจนเกิดเสียงดัง

“ในเมื่อเป็นเลือดของคนคนเดียวกัน... งั้นจุดประสงค์ในการทดสอบคืออะไรล่ะ?”

“เลือดของคนคนเดียวกันงั้นเหรอ? สมองคุณยังไม่เปิดระบบทำงานอีกหรือไง? ผมว่าผมใบ้ให้คุณตั้งเยอะแล้วนะ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอเนี่ย?”

หลินถงซูอ้าปากพะงาบเหมือนจะตอบ “หรือว่า… มันคือ…”

“ไหนลองพูดซิ!” เฉินฉียิ้มและกระตุ้นให้เธอมั่นใจ

“หรือเป็นเลือดที่ถูกทิ้งไว้ก่อนหน้านี้?!”

เฉินฉีกลอกตาขึ้นฟ้าทันทีอย่างเอือมระอาเต็มทน “ในแต่ละวันที่ผ่านมาดูเหมือนสมองของคุณจะคิดอะไรได้น้อยลงจริง ๆ! ผมพูดไม่ออกเลย!”

“ไปตายซะ!” หลินถงซูยกขาเตะเขา

เผิงซื่อจวี๋ถือแท่งทดสอบในมือพร้อมเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ไขมันในเลือดจากตัวอย่างเลือดทั้งสองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! แต่ดีเอ็นเอกลับเหมือนกันทุกประการ! ผมเข้าใจแล้ว... พวกเขามีฝาแฝด!”

“ฝาแฝด!?” หลินถงซูรู้สึกช็อก

เฉินฉียิ้มจนดวงตาหรี่เล็กลง “นี่แหละ ความจริงที่ผมอยากรู้!”

“คุณรู้ได้ยังไงเนี่ย?” เผิงซื่อจวี๋ถามเขา

“ตอนแรกผมก็แค่ลองเดาส่งเดช เพราะสงสัยว่าในที่เกิดเหตุจะไม่มีรอยนิ้วมือ ดีเอ็นเอ หรือเอนไซม์ในน้ำลายของฆาตกรเลยได้ยังไง? แล้วทำไมฆาตกรต้องไว้ชีวิตเด็กชายด้วย? อีกอย่าง... ตอนผมพูดถึงพ่อกับแม่ของเด็กคนนั้นตอนไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เขาก็แสดงอาการหวาดผวาแบบผิดปกติ! ดังนั้นผมเลยไปที่บ้านเกิดของกงเหวินเพื่อตามหาพ่อแม่ของเขา นี่ถือเป็นการเสี่ยงดวงอย่างหนึ่ง ถ้ากงเหวินวางแผนกับพ่อแม่ของเขาไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นเราคงไม่ได้ข้อมูลอะไรมาเลยจากการสอบถาม ผมลองงัดทักษะทุกอย่างที่มีมาใช้จนเค้นข้อมูลจากพวกเขาได้สำเร็จ แม่ของกงเหวินคลอดลูกออกมาเป็นฝาแฝดชาย แต่ในตอนนั้นครอบครัวของเขายากจนเกินกว่าจะเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนไหว พวกเขาเลยตัดสินใจเลือกเลี้ยงแค่คนเดียว คือเก็บคนพี่ไว้และทิ้งคนน้องไป โดยที่วางทารกทิ้งไว้แถววัดในหมู่บ้านใกล้เคียง นับแต่นั้นมาก็ไม่เคยได้ยินข่าวของเด็กอีกเลย เงื่อนงำทั้งหมดจึงสามารถอธิบายสิ่งหนึ่งจากคดีนี้ได้ คือร่างของชายในที่เกิดเหตุไม่ใช่กงเหวิน แต่เป็นน้องชายฝาแฝดของเขา เพราะฉะนั้นกงเหวินนั่นแหละคือฆาตกร เด็กชายเห็นพ่อของตัวเองฆ่าทั้งแม่และยายต่อหน้าต่อตาเลยถึงขั้นเสียสติไป ไม่แน่ว่าตอนแรกกงเหวินก็ตั้งใจจะฆ่าลูกตัวเองด้วย แต่คำกล่าวที่ว่าเสือถึงร้ายก็ไม่มีวันกินลูกตัวเองเป็นเรื่องจริงเสมอ เขาจึงตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายว่าจะไม่ฆ่าเด็กชายทิ้ง!”

หลังฟังเรื่องราวจากเฉินฉีจบแล้ว ทั้งหลินถงซูและเผิงซื่อจวี๋รู้สึกช็อกจนพูดไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน เฉินฉียังอธิบายต่อไป “ฟังดูไร้สาระใช่ไหมล่ะ? โลกของความจริงบางครั้งพีคกว่าโลกในนิยายด้วยซ้ำ ที่จริงก่อนหน้านี้เคยมีคดีฆาตกรรมสลับตัวแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในรัฐเท็กซัส แฝดน้องฆ่าแฝดพี่และสวมรอยไปอาศัยอยู่กับพี่ชายบุญธรรมประมาณสองสามเดือน หลังจากนั้นพอเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นหลักฐานจึงปรากฏ ตำรวจพบร่าง ‘หล่อน’ นอนตายอยู่ภายในบ้าน และพวกเขาก็เริ่มสืบคดีกันหัวหมุนเหมือนที่พวกคุณกำลังทำอยู่ตอนนี้เปี๊ยบเลย หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าศพที่ตายนั้นไม่ใช่ตัวหล่อน แต่เป็นแฝดคนน้องที่สวมรอย”

“เพราะอย่างนี้คุณเลยขอให้พี่ชายฉันช่วยตามหาคนที่หน้าตาคล้ายกับกงเหวินใช่ไหม?” หลินถงซูถามต่อ “คุณคิดว่าป่านนี้เขาจะหลบหนีไปจากเมืองหลงอันแล้วหรือยัง?”

“คงไม่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะยังอยู่ในเมืองหลงอันนี้ ผมขอให้เพื่อนคนขับรถช่วยติดใบปลิวประกาศตามหากงเหวินโดยใช้คำว่า ‘ตามหาคนหาย’ ถึงอย่างนั้นก็ไม่เจอใครที่หน้าตาคล้ายกงเหวินเลย ซึ่งถ้าผมเป็นเขา ผมจะไปซ่อนที่ไหนน่ะเหรอ? ใช่แล้ว ผมคงสวมรอยใช้ชีวิตเป็นฝาแฝดน้องชายของตัวเองไปซะ แทนที่อีกคนอย่างแนบเนียน แถมเมืองหลงอันก็มีขนาดค่อนข้างกว้าง ตำรวจจะไม่มีทางคิดออกแน่ว่าจะมีเหตุการณ์ซับซ้อนแบบนี้เกิดขึ้น ต่อให้ระดมสมองกันจนหัวแทบระเบิดก็ตาม!”

หลินถงซูมองเฉินฉีด้วยสายตาประหลาดใจอีกครั้ง สองวันที่ผ่านมานี้เธอคิดอยู่ตลอดว่าเขาคงทำตัวขี้เกียจไปวัน ๆ เท่านั้น กลับกลายเป็นว่าเขาค้นพบความลับตั้งหลายอย่างและเกือบไขคดีได้ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เป็นคนคนเดียวที่เก่งกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสถานี! ถึงขั้นนี้แล้วเธออดสงสัยไม่ได้ ‘เฉินฉี แท้จริงแล้วคุณเป็นใครกันแน่?’

“ระหว่างที่ผมทำการชันสูตรศพผมเจอรอยแผลบนผิวหนังของเขาหลายแห่ง บริเวณเอวมีหมอนรองกระดูกยื่นออกมาเล็กน้อย เดาว่าเขาน่าจะทำงานเป็นกรรมกรใช้แรงงาน เอาล่ะ ผมจะแจ้งเบาะแสนี้ให้ผู้กองหลินทราบและให้เขาทำการสืบสวนจากจุดนี้ต่อไป!” เผิงซื่อจวี๋พูดแล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นกดโทรออกทันที

“ขอบคุณมากนะครับ หัวหน้าเผิง!” เฉินฉีหันหลังกลับและเดินออกจากห้องไป

ระหว่างที่เดินออกมาหน้าตาของหลินถงซูกลับไม่มีความสุขเอาซะเลย ซึ่งท่าทางเหล่านั้นไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาของเฉินฉี เขาถามเธอทันที “คุณเป็นอะไรไปน่ะ?”

“ปะ... เปล่าซะหน่อย”

“ให้ผมเดานะ ก่อนหน้านี้ผมรับปากคุณไว้ว่าจะช่วยคุณสร้างผลงานชิ้นใหม่ แต่ตอนนี้ความจริงกำลังจะถูกหัวหน้าเผิงถ่ายทอดให้พี่ชายของคุณรับรู้ เพราะแบบนี้คุณถึงไม่ค่อยโอเคใช่ไหมล่ะ?”

“เปล่านะ! ไม่ว่าคนที่ทำผลงานได้จะเป็นใคร แต่ถึงยังไงสุดท้ายคดีนี้ก็ต้องปิดแฟ้มได้อยู่ดี คุณเห็นฉันเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยรึไง?” หลินถงซูบุ้ยปาก

เฉินฉีหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความบางอย่างยาวเหยียด หลินถงซูที่กำลังรอให้คนปลอบเห็นเขาไม่สนใจแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ เฉินฉีพิมพ์ความเสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้น “การแบ่งปันข้อมูลเป็นพื้นฐานของความร่วมมือ ถ้าผมมัวปิดบังความจริงไว้จะยิ่งทำให้หน่วยงานของพวกคุณสูญเสียทั้งทรัพยากรและเวลาไปเปล่า ๆ มันเป็นเรื่องของหลักการและจิตสำนึกที่พึงมี พี่ชายคุณรู้เบาะแสแล้วถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เขาไม่มีทางตามล่าฆาตกรได้แน่ ผมมีวิธีที่เร็วกว่านั้นในการจับตัวกงเหวิน!”

“วิธีอะไรล่ะ!?” ดวงตาหลินถงซูเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง

“ตามผมไปที่องค์กรข่าวในสำนักพิมพ์สิ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด