ตอนที่แล้วบทที่ 28 วีรบุรุษสวีเสี่ยวตง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 ความคืบหน้าของเฉินฉี

บทที่ 29 พยายามเท่าไหร่โชคชะตาก็ไม่เข้าข้าง


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 29 พยายามเท่าไหร่โชคชะตาก็ไม่เข้าข้าง

ผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวเริ่มเล่าว่าพวกเขาเพิ่งพบศพเสือใหญ่ถูกใครสักคนฆ่าตายในวันนี้ตอนกลับไปที่บริษัท ลักษณะการตายน่าสยดสยองมาก กะโหลกศีรษะถูกทุบอย่างรุนแรงจนเนื้อสมองไหล

ด้วยสายงานของพวกตนที่ค่อนข้างดำมืดแน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่จะศัตรูมากมาย อีกทั้งยังไม่สามารถโทรเรียกตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบได้ จึงปรึกษากันว่าควรติดต่อไปหาพี่ชายของเสือใหญ่ แต่พอลองมาคิดดูอีกทีก็นึกโลภอยากได้เงินจำนวนมหาศาลของเสือใหญ่ เมื่อตกลงแบ่งสันปันส่วนกันได้แล้วพวกเขาก็งัดตู้เซฟนำเงินจำนวนสิบล้านหยวนออกมา และวางแผนนำศพของเสือใหญ่ไปฝังไว้ในป่าลึก จัดฉากให้ดูเหมือนเสือใหญ่หอบเงินทั้งหมดหนีไปเอง ต่อให้พวกเบื้องบนเข้ามาตรวจสอบก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก อีกอย่างความเป็นจริงเสือใหญ่ก็ตายไปแล้ว ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมอะไรได้ เป็นแบบนี้พวกเขาจึงสามารถแบ่งเงินกันได้อย่างแนบเนียน เกิดวันหนึ่งศพของเสือใหญ่ถูกขุดพบเข้าจริง พวกเบื้องบนไม่มีทางสงสัยบรรดาลูกน้องตัวกระจ๊อกแน่ แต่พุ่งเป้าไปที่นักเลงแก๊งอื่นที่เป็นศัตรูกับเสือใหญ่แทน

เดิมทีแผนการแรกของพวกเขาคือแบกศพไปฝังเพื่อทำลายหลักฐานและหอบเงินหนีไปกบดานสักระยะ แต่ระหว่างทางก็อดหวาดระแวงไม่ได้เพราะรู้ดีว่าการหอบเงินจำนวนมากเหล่านี้ไปไหนมาไหนเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงพกปืนไว้กับตัว

สุดท้ายแล้วโชคชะตาก็ไม่เข้าข้างคนทำชั่ว พวกเขาถูกตำรวจจราจรโบกเรียกเพื่อตรวจค้น ไม่ว่าพยายามดิ้นรนยังไงเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นแต่ไม่อาจฝ่าฝืนกฎแห่งกรรม ช่วงจังหวะที่ทุกคนรู้สึกจวนตัวจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันหน้าเข้าสู้

ขณะที่ทำการรับสารภาพ ผู้ต้องสงสัยก็บ่นพึมพำออกมา “เฮ้อ ชีวิตเหมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องทำงานเลว ๆ นี้ไปจนตาย คนเฒ่าคนแก่ว่าไว้ไม่มีผิด ถ้าชะตาชีวิตกำหนดมาให้เดินได้แค่เจ็ดก้าว คนเราฝืนเดินต่อให้ถึงสิบก้าวไม่ได้หรอก”

หลินชิวผูมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นจึงเหยียดยิ้ม “แต่งเรื่องเก่งดีนี่ โกหกจบหรือยังล่ะ?!”

ผู้ต้องสงสัยหวาดกลัวจนตัวสั่น กุญแจมือกระทบกันเสียงดัง “คุณตำรวจ ผมสาบานกับพระเจ้าเลย ถ้ามีแม้แต่คำเดียวที่พูดโกหก ผมยอมให้คุณยิงตายตรงนี้ก็ได้! การเอาเงินสกปรกพวกนี้ออกมาจากวงการมืดที่จริงก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมจะไม่ขอลดหย่อนโทษอะไรทั้งนั้น ขอคุณแค่อย่างเดียว... อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เลย ไม่งั้นเราสี่คนจบเห่ของจริงแน่!”

ขณะเดียวกันเผิงซื่อจวี๋ก็เดินเข้ามาในแผนกสืบสวน “หัวหน้าหลินอยู่ในข้างในใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ!” หลินถงซูตอบ

เผิงซื่อจวี๋หยิบใช้โทรศัพท์นอกห้องสอบปากคำโทรเข้าไปด้านใน เสียงโทรศัพท์ภายในห้องสืบสวนดังขึ้น หลินชิวผูยกหูรับสายและได้ยินเผิงซื่อจวี๋รายงานสรุปผล “ผู้กองหลิน ทางเราตรวจสอบศพดูแล้ว สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการที่ศีรษะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงด้วยอาวุธไม่มีคม คาดการณ์ว่าเสียชีวิตตั้งแต่ประมาณสามวันก่อน พบรอยนิ้วมือของบุคคลอื่นอยู่บนเสื้อผ้าของผู้ตาย แต่รอยนั้นจางลงไปมากเนื่องจากถูกทิ้งไว้หลายวัน นอกจากนี้มือของผู้ตายแสดงให้เห็นความพยายามต่อสู้ขัดขืน ดังนั้นฆาตกรจะต้องมีรอยฟกช้ำอยู่ตามตัวแน่นอน”

หลินชิวผูเพียงพยักหน้าและวางสายไป “หัวหน้าของคุณตายตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่รู้ เมื่อเช้านี้พวกผมเข้าไปที่ออฟฟิศก็เห็นเขานอนสมองไหลอยู่บนพื้นแล้ว”

“วันเสาร์อาทิตย์บริษัทของคุณไม่ปิดทำการหรอกเหรอ?”

“ใช่แล้ว ปกติบริษัทเราเปิดทุกวันจันทร์ถึงอาทิตย์ แต่ที่บอกว่าพวกเราเพิ่งกลับมาก็เพราะออกไปตามเก็บหนี้ตั้งแต่สองวันก่อน”

“เก็บหนี้อะไรกันตั้งสองวัน?”

“ลูกหนี้รายนี้เป็นองค์กรที่อยู่ต่างเมือง ด้วยจำนวนเม็ดเงินที่ค่อนข้างเยอะ หัวหน้าเลยใจกว้างจะจ่ายค่านายหน้าให้สิบเปอร์เซ็นต์จากเงินต้นถ้าพวกเราทวงหนี้สำเร็จ พอเป็นแบบนี้ใครจะปฏิเสธได้ล่ะ? พอพากันไปเก็บหนี้มาเรียบร้อยแล้วก็โอนให้หัวหน้าผ่านบัญชี จากนั้นเราก็เอาเงินค่านายหน้าที่ได้ไปเที่ยวพักผ่อนแล้วค่อยกลับมาอีกทีวันจันทร์”

“หึ พวกคุณนี่ใช้ชีวิตกันอย่างราชาเชียวนะ!”

“คุณตำรวจ คุณเข้าใจผมผิดแล้ว บริษัทปล่อยเงินกู้ของพวกเราใช่ว่าจะดำเนินกิจการได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่ ลูกค้าบางประเภทก็รักเงินซะจนถึงขั้นยอมเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปเจียงซีแต่โดนลูกค้าที่เบี้ยวหนี้คว้ามีดแทงเข้าให้ เกือบไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ด้วยซ้ำ...”

“ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องพวกนั้นเลย ที่อยากรู้คือครั้งสุดท้ายที่คุณติดต่อกับเสือใหญ่คือเมื่อไหร่?”

“วันศุกร์ที่แล้วครับ…” ผู้ต้องสงสัยเงยหน้ามองเพดานและพยายามนึก “เวลาก็ประมาณหกโมงหรือทุ่มหนึ่งนี่แหละ หัวหน้าโทรมาถามว่าพวกเราจะกลับกันหรือยัง? ผมเลยบอกไปตามตรงว่าขอเที่ยวสักวันสองวันแล้วจะกลับไป เรื่องที่คุยกันก็มีแค่นี้”

“คุณคิดว่าใครเป็นคนฆ่าเสือใหญ่?”

“มีเยอะมากเลยล่ะครับ!” เขาพ่นรายชื่อศัตรูของหัวหน้าเก่าออกมาหลายชื่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่อีกคนก็จัดการบันทึกข้อมูลทั้งหมดไว้อย่างครบถ้วน

การสอบปากคำจบลงแล้ว หลินชิวผูสั่งให้คนเข้ามาพาตัวเขาออกไป ขณะที่เดินออกไปก็ไม่วายวิงวอน “อย่าให้ใครรู้นะครับ ขอร้องล่ะ!”

หลินชิวผูเดินออกมาจากห้องสืบสวนพลางยกมือนวดคอตัวเอง เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นของเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ และถามออกมา “พวกคุณคงได้ยินที่เขาเล่าทั้งหมดแล้ว คิดว่าที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริงไหม?”

ทุกคนต่างนิ่งคิดตาม เผิงซื่อจวี๋เป็นคนตอบคำถามคนแรก “เรื่องที่เขาพูดมาคงไม่จริงไปซะทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ฆ่าเสือใหญ่แน่ ๆ”

หลินชิวผูขมวดคิ้วทันที “คุมตัวพวกเขาไปที่ห้องขัง เราต้องตรวจสอบดูว่าเขาไม่อยู่ในตอนที่เสือใหญ่ถูกฆ่าจริงไหม” พูดจบแล้วเขาก็เดินจากไป ฝ่ายหลินถงซูไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าแผ่นหลังของพี่ชายแสดงออกชัดถึงความมืดแปดด้าน บางทีอาจเป็นเพราะเบาะแสสำคัญที่คาดหวังไว้ในตอนแรกถูกปัดตกไป

เบาะแสชิ้นใหญ่ที่สุดที่พวกเขาตามหาอยู่กลับมาตายอย่างกะทันหัน คดีสังหารหมู่ครอบครัวก็ยังไม่คลี่คลายเป็นชิ้นเป็นอันอีก นั่นหมายความว่าการสืบสวนคดีนี้จะต้องรื้อใหม่ตั้งแต่แรก

เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ยืนเงียบอยู่นาน จนใครบางคนพูดขึ้นว่า “แยกย้ายไปทำงานกันเถอะ”

หลินถงซูหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็กดูอีกครั้ง ปรากฏว่าเฉินก็ยังไม่ตอบกลับมาอีก ครั้งนี้เธอทนรอไม่ไหวอีกต่อไปจึงกดโทรออกหาเขา เสียงสัญญาณดังขึ้นประมาณสองสามครั้งก่อนที่เขาจะกดรับสาย เฉินฉีหาววอดก่อนกรอกเสียงไปตามสาย “โทษที ผมเผลอหลับในรถน่ะ”

เสียงการจราจรบนท้องถนนแทรกเข้าไปในสาย หลินถงซูตำหนิเขา “หมายความว่าคุณง่วงนอนระหว่างขับรถเหรอ?!”

“ดูคุณพูดเข้า สันนิษฐานอะไรโดยเอาอคติส่วนตัวเป็นใหญ่อีกแล้ว ผมจะเปลี่ยนจากสารถีมาเป็นผู้โดยสารบ้างไม่ได้รึไง?”

“คุณนั่งรถไปไหน? ทำไมถึงไม่อ่านไม่ตอบข้อความฉันบ้าง? ฉันนึกว่าคุณโดนเก็บไปแล้วซะอีก!”

เฉินฉีเปลี่ยนเรื่องทันที “คดีไปถึงไหนแล้ว? มีความคืบหน้าอื่นบ้างไหม?”

“ยังไม่มีเลย เบาะแสสำคัญของพี่ชายฉันก็ถูกปัดตกไปแล้ว”

“เป็นไปตามคาดไม่มีผิด โอ้ จริงด้วย คุณช่วยอะไรผมสักอย่างสิ ช่วยไปโน้มน้าวพี่ชายคุณให้หาข้อมูลบางอย่างให้ผมหน่อย”

“อะไรล่ะ?”

“ตรวจสอบบันทึกเส้นทางการออกจากเมืองของใครคนหนึ่งให้ผมที ผมไม่รู้ชื่อเขาหรอกนะ รู้แค่หน้าตาของเขาคล้ายกับชายเจ้าของห้องที่ตายไปแล้วมาก ๆ”

“เกี่ยวกันยังไงอีกล่ะทีนี้?”

“อย่าเพิ่งถาม ทำตามที่ผมบอกก็พอ โอเคไหม?”

หลินถงซูรับปากเขาก่อนวางสาย แต่แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ทำตัวลึกลับอีกแล้ว พูดอะไรก็ไม่เคลียร์สักอย่าง!”

เธอตรงไปที่ห้องทำงานของหลินชิวผูทันที ประตูห้องไม่ได้ถูกเจ้าตัวล็อกไว้ปิดไว้ เขากำลังนั่งขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิดอยู่บนเก้าอี้ สายตาเหม่อมองรูปถ่ายในกรอบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ “รุ่นพี่ ถ้าเป็นคุณ คุณจะเริ่มสืบจากตรงไหนก่อนนะ?”

หลินถงซูเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามา หลินชิวผูเด้งตัวลุกขึ้นแทบจะทันที จากนั้นจึงถามเธอด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดลงให้เป็นปกติ “มีอะไร?”

“เฉินฉีบอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากคุณ…”

หลังจากที่เธออธิบายแล้วหลินชิวผูก็เลิกคิ้วขึ้น “เห็นใครบางคนที่หน้าตาเหมือนผู้ตายงั้นเหรอ? แล้วไม่มีทั้งชื่อทั้งเลขบัตรประชาชน นี่มันงานหินเลยนะ! ไม่ได้หรอก พี่ไม่ลงทุนใช้ทรัพยากรสาธารณะแค่เพราะคำพูดของเขาแน่!”

“แต่ พี่คะ…”

“อย่าใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับพี่เชียว ถึงเบาะแสหลักจะหายไปแต่เราไม่จำเป็นต้องหว่านหาเบาะแสใหม่สุ่มสี่สุ่มห้า”

“ทำไมพี่ไม่ลองเชื่อเขาดูล่ะ?”

“พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงเชื่อใจเขานัก? ออร่าของมือสมัครเล่นที่อาศัยโชคช่วยน่าเชื่อถือมากกว่าสัญชาตญาณของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสถานีงั้นเหรอ?”

“พี่ก็แค่อิจฉาที่เขาเก่งกว่า!” หลินถงซูเดินหนีออกไปทันทีหลังพูดตำหนิเขาอย่างตรงไปตรงมา

“ถงซู!” หลินชิวผูรีบยื่นมือออกไปหวังคว้าน้องสาวแต่ไม่ทันแล้ว เขาหันกลับมานั่งลงตามเดิมด้วยใบหน้าที่หมดหวังพลางพูดพึมพำกับรูปภาพ “รุ่นพี่ ถ้าตอนนี้ที่นี่มีคุณอยู่คงดีมาก ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี! สมองผมมันตื้อตันไปหมด!”

หลินถงซูโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ได้แต่เตะเศษขยะตามทางเดินเพื่อระบายอารมณ์ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นเตรียมกดโทรหาเฉินฉีเพื่อบอกว่าตัวเองโน้มน้าวหลินชิวผูไม่สำเร็จ ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโทรสวนมา “ผมหิวไส้แทบขาดอยู่แล้ว คุณช่วยสั่งอาหารไว้ให้ผมสักกล่องได้ไหม? บอกคนขายใส่เนื้อให้ด้วย”

หลินถงซูที่กำลังโกรธหลุดหัวเราะออกมา “แล้วฉันต้องเอาไปส่งให้คุณที่ไหน?”

“ที่สถานีนั่นแหละ ผมใกล้จะถึงแล้ว!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด