ตอนที่แล้วระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 38 หลี่ม่าน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไประบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 40 ทำลาย

ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 39 หลักฐาน


ตอนที่ 39 หลักฐาน

จากนั้น เหอเผิงก็ได้สั่งให้คนมานำร่างของตำรวจสองนายที่นอนกองอยู่กับพื้นไปส่งโรงพยาบาล และดูเหมือนว่า จากนี้ไปตำรวจสองนายคงจะต้องลำบากอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เย่โม่จะต้องมาห่วงกังวลแต่อย่างใด

เหอเผิงพาเย่โม่ไปที่ห้องทำงานของตัวเอง และได้จัดการชงชากลิ่นหอมละมุนบริการให้กับเย่โม่ เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า

“นี่น้องเย่! ฉันไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จริงๆ ถ้าฉันรู้ว่าลูกน้องจะทำแบบนี้ ฉันคงจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”

“ลุงเหอครับ ผมรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลุง ผมได้โกรธอะไรคุณลุงจริงๆครับ!”

เย่โม่ตอบกลับยิ้มๆ และมั่นใจอย่างมากว่า ไม่ใช่เหอเผิงแน่ที่สั่งลูกน้องให้ทำเช่นนี้

“แต่ถึงยังไงฉันก็คงจะปัดความรับผิดชอบไปไม่ได้หรอก เพราะสองคนนั่นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน!”

เหอเผิงตอบกลับไปด้วยความรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างที่สุด

เย่โม่ยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นจิบ พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “ลุงเหอครับ ผมรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายนั้นน่าจะรับคำสั่งมาจากใครสักคนแน่ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่จงใจใช้อำนาจหน้าที่ไปอุ้มตัวผมมาที่สถานีตำรวจแบบนั้นแน่ มันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!”

“ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ฉันขอเวลาสักสองวันสืบสวนความจริงเรื่องนี้ก่อน แล้วจะรีบบอกให้เธอรู้!”

“ครับผม! ขอบคุณลุงเหอมากนะครับ แล้วผมก็ต้องขอโทษลุงเหอด้วยที่ต้องรบกวน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ นี่ที่บ้านคงจะใกล้เลิกงานกันหมดแล้ว!”

“ได้ๆหลานชาย ตามสบายๆ อยากให้ฉันขับรถไปส่งเธอที่บ้านมั๊ยล่ะ?”

“ผมไม่รบกวนลุงเหอดีกว่าครับ!”

ระหว่างที่เดินออกมาจากสถานีตำรวจนั้น เย่โม่ก็ได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปด้วย

‘หรือจะเป็นฝีมือของพ่อแม่จางเชา? เพราะทันทีที่เข้าไปในห้องสอบสวน ตำรวจสองคนนั่นก็เอาแต่ถามเรื่องของจางเชาอย่างเดียว มิหนำซ้ำยังดูเหมือนไม่ใช่การสอบปากคำ แต่คล้ายเป็นการซ้อมให้รับมากกว่า!’

‘พ่อแม่ของจางเชาล้วนเป็นคนมีหน้าที่การงานดี มีหน้ามีตาในสังคม คงจะไม่ยอมเปิดตัวออกมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองแน่ แต่ช่างเถอะ! จะยังไงก็คงต้องรอลุงเหอสืบสวนให้กระจ่างชัดก่อน’

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เย่เจี้ยนกัวและคนอื่นๆในบ้านก็ไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไร และเย่โม่ก็ไม่คิดที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนในครอบครัวฟังอยู่แล้ว เขาเกรงว่าจะเป็นการทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงโดยใช่เหตุ เขาจึงตั้งใจที่จะสะสางเรื่องนี้ด้วยตัวเองเงียบๆ

………..

วันต่อมา เย่โม่ยังคงอยู่บ้านเพียงลำพังเช่นเคย ส่วนคนอื่นๆก็ออกไปทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติ ในเมื่อไม่มีอะไรทำ เย่โม่จึงต้องการที่จะอยู่บ้านพักผ่อน และกำลังรอฟังผลการสอบสวนจากเหอเผิง

ในระหว่างนั้น โทรศัพท์มือถือของเย่โม่ก็ดังขึ้น และหน้าจอก็ปรากฏขึ้นเป็นชื่อของเหอเผิงจริงๆ

“เย่โม่! ฉันสอบสวนตำรวจทั้งสองนายแล้ว พวกเขาบอกว่าจางหลงเป็นคนขอให้พวกเขาช่วย!”

“โอ้โหลุงเหอ เร็วมากเลยนะครับเนี่ย ยังไม่ถึงสองวันเลย ว่าแต่.. จางหลงนี่เป็นใครเหรอครับ?”

“เขาเป็นพ่อของจางเชา!”

‘เป็นอย่างที่ฉันคาดเดาไม่ผิด!’

เย่โม่ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ และนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เพราะกำลังใคร่ครวญหาวิธีการรับมือกับจางหลง แต่ในช่วงระยเวลาสั้นๆเช่นนี้ เขาจึงยังไม่สามารถนึกหาแผนการดีๆได้ เลยได้แต่ถามเหอเผิงไปว่า

“ลุงเหอครับ ลุงพอจะรู้เบื้องลึกของจางหลงบ้างมั๊ยครับ?”

“รู้สิ!”

เหอเผิงตอบกลับยิ้มๆ เขารู้จักจางหลงและคนในครอบครัวของจางหลงเป็นอย่างดี

“ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนล่ะ? ออกมาพบฉันหน่อยจะได้มั๊ย?”

หลังจากวางสายไปแล้ว เย่โม่ก็อาบน้ำแต่งตัว เรียกรถแท็กซี่ไปที่สถานีตำรวจทันที

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เหอเผิงกับเย่โม่ก็กำลังนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา ในขณะที่เหอเผิงเล่าประวัติ และเบื้องลึกของสกุลจางให้กับเย่โม่ฟังนั้น เย่โม่ก็เพียงแค่นั่งฟังนิ่งๆพร้อมกับจิบชาไปด้วย

จางหลงดำรงตำแหน่งประธานธนาคารการเกษตรสาขาฉางเฟิง ภรรยาของเขาก็คือปู้หลาน มีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมสถาบันการเงินเมืองฉางเฟิง

หลังจากได้ยินสถานะตำแหน่งของคนทั้งคู่ เย่โม่ก็ได้แต่แสยะยิ้มเย้ยหยัน และไม่นึกแปลกใจที่จางหลงจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ นั่นเพราะเขามีอำนาจบารมีมากนั่นเอง หากเป็นเมืองอื่น จางหลงอาจจะไม่ได้ดูมีอำนาจอิทธิพลใหญ่โตอะไร แต่สำหรับเมืองฉางเฟิงนั้น เขานับว่าใหญ่โตไม่น้อยทีเดียว

“ลุงเหอครับ ลุงคิดว่าผมควรทำยังไงดีกับเรื่องนี้?”

“นี่หลานชาย! ขนาดคนเก่งๆเฉลียวฉลาดอย่างเธอ ยังคิดหาวิธีรับมือกับจางหลงไม่ได้เลยเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้ครับ เพียงแค่ผมไม่มีหลักฐานต่างหากล่ะครับ!”

“ไหนลองบอกแผนการของเธอให้ฉันฟังซิ!”

เย่โม่ยิ้มบางพร้อมกับจ้องมองเหอเผิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆว่า “ในความคิดเห็นของผม แม้พ่อแม่ของจางเชาจะดำรงตำแหน่งสำคัญ แต่ก็ไม่น่าจะมีรายได้อะไรที่สูงมากมาย จนสามารถทำให้จางเชาถึงกับกล้าทำตัวกร่าง ข่มเหงรังแกคนอื่นไปทั่วอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมายแบบนี้ได้แน่ ผมว่า.. มันน่าจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่น่าอายกำลังถูกปกปิดอยู่แน่! ไม่อย่างนั้น เพียงแค่ตำแหน่งอย่างเดียวคงจะไม่ทำให้สกุลจางมีอำนาจอิทธิพลขนาดนี้ได้แน่ ใช่มั๊ยครับลุงเหอ?”

หลังจากที่ได้ฟังคำวิเคราะห์ของเย่โม่ แววตาของเหอเผิงถึงกับเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาถึงกับอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ พร้อมกับเอ่ยชมว่า

“เย่โม่! เธอนี่เฉลียวฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้มากจริงๆ ไม่เลวๆ ฉันเองก็แอบสืบเรื่องสองสามีภรรยาคู่นี้อยู่เงียบๆเหมือนกัน แล้วก็มีหลักฐานบางอย่างแล้วด้วย!”

“ก็ในเมื่อมีหลักฐานแล้ว ทำไมลุงเหอถึงไม่ยื่นฟ้องพวกเขาล่ะครับ?”

เย่โม่ยังไม่เข้าใจขั้นตอน และกระบวนการที่ซับซ้อนของวงการราชการ จึงได้เอ่ยถามออกไปเช่นนั้น เหอเผงเองก็ไม่ได้ตอบคำถามของเขาไปตรงๆ แต่กลับพูดขึ้นว่า

“นี่เย่โม่ เอาเป็นว่าถ้าเธออยากจะจัดการกับสามีภรรยาคู่นี้ ฉันจะให้หลักฐานทั้งหมดกับเธอ แล้วฉันก็มั่นใจว่า หลังจากที่ได้หลักฐานชุดนี้ไป เธอจะมีวิธีจัดการกับสามีภรรยาคู่นี้ได้ดีกว่าฉัน ถือซะว่านี่เป็นของขวัญจากฉันก็แล้วกันนะ!”

เมื่อเห็นว่าเหอเผิงไม่ต้องการที่จะตอบคำถามของตัวเอง เย่โม่ก็ไม่คิดที่จะคะยั้นคะยอให้เขาตอบเช่นกัน เขาจึงได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปเพียงแค่สั้นๆ

“ขอบคุณครับลุงเหอ!”

ในเมื่ออีกฝ่ายรับปากจะส่งข้อมูลให้กับเขาหลังจากนี้อีกสองวัน เย่โม่ก็ต้องการอยู่ที่สถานีตำรวจรบกวนเหอเผิงอีก อีกอย่าง สถานที่แบบนี้อยู่ไกลๆไว้จะดีกว่า เขาจึงได้ขอตัวกลับบ้านทันที

และเมื่อกลับไปถึงบ้าน เย่โม่ก็ได้แต่มานั่งครุ่นคิดว่า เหตุใดเหอเผิงมีหลักฐานอยู่ในมือ แต่กลับไม่ยอมยื่นฟ้องสกุลหลง และยอมปล่อยไว้แบบนี้แทน

หลังจากนั่งคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด ในที่สุดเย่โม่ก็นึกถึงอีกสถานะหนึ่งของเหอเฟิง ซึ่งก็คือรองผู้ว่าการเมืองฉางเฟิง เมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่โม่ก็ถึงกับยิ้มออกมาทันที

ในเมื่อตอนนี้เหอเผิงดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการด้วย นั่นหมายความว่าอนาคตเขามีโอกาสที่จะได้ขึ้นเป็นผู้ว่าการได้ ถึงตอนนั้น เขาค่อยงัดหลักฐานที่มีนี้ออกมาใช้ข่มขู่สกุลจางไม่ดีกว่าหรือ?

ในฐานะประธานธนาคารการเกษตรสาขาฉางเฟิง และนายกสมาคมสถาบันการเงินของฉางเฟิง จะว่าไปก็ไม่อาจมองข้ามสองตำแหน่งนี้ไปได้ เพราะมีบารมีมากพอที่จะช่วยสนับสนุนเหอเผิงได้ไม่น้อย

เย่โม่ประจักษ์ชัดในใจว่า เหอเผิงไม่ได้ทำเพื่อช่วยเขาจริงๆ เพราะต่อให้สามารถกำจัดสามีภรรยาคู่นี้ไปได้ คนอื่นที่ขึ้นมาแทนก็คงจะทำเช่นเดียวกัน

จะว่าไป.. เย่โม่เองก็รู้สึกว่า เหอเผิงนั้นไม่ใช่คนมือขาวสะอาดเช่นกัน และคนอย่างเหอเผิงก็ไม่น่าจะยอมเป็นบัวใต้ตมไปตลอดชีวิต เพียงแต่เขาต้องรอเวลาที่จะมั่นใจได้ว่า โผล่จากตมแล้วจะไม่ได้รับอันตรายเท่านั้นเอง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่โม่ก็ค่อยรู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักที่ดูเหมือนต้องรับความช่วยเหลือจากเหอเผิง แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรอีกเลย

หลังจากนั้นอีกสองวัน ในที่สุดเย่โม่ก็ได้รับหลักฐานจากเหอเผิงจริงๆ และมันคือหลักฐานที่จางหลงและภรรยาคอรัปชั่น!

หลักฐานแรกเป็นเรื่องการรับเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ผ่านอนุมัติเงินกู้ของบริษัทแห่งหนึ่ง และแต่ละครั้งนั้น เงินใต้โต๊ะที่ได้รับก็เป็นจำนวนสูงถึงหลายหมื่นหยวนทีเดียว

ส่วนหลักฐานอีกชิ้นก็เป็นเรื่องที่ปู้หลานแอบยักยอกเงินจากโครงการติดตั้งเครือข่ายไฟฟ้า

การจะเล่นงานสามีภรรยาคู่น้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากเหอผิงพลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียว เขาอาจเป็นฝ่ายถูกถีบตกจากหลังม้าแทนก็ได้ และหากตกไปแล้วก็คงยากที่จะหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ได้แน่!

ว่าแต่.. เขาจะหาทางเผยแพร่หลักฐานพวกนี้ออกไปให้สาธารณชนล่วงรู้ได้อย่างไร?

หลังจากครุ่นคิดหาหนทางอยู่นาน ในที่สุดเย่โม่ก็หันไปเห็นโทรศัพท์บ้าน แล้วรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา…

--------------------------

ติดตามนิยายแปลสนุกๆอีกหลายเรื่องได้ที่เพจ  : แปลสนุก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด