ตอนที่แล้วระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 36 สอบปากคำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไประบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 38 หลี่ม่าน

ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 37 ถูกสอบอีกครั้ง


ตอนที่ 37 ถูกสอบอีกครั้ง

วันอังคารต่อมา..

วันนี้เย่โม่ยังคงไม่มีอะไรทำเช่นเคย ส่วนลุงกับป้าสะใภ้ของเขาก็ไปทำงานตามปกติ เย่เจียเจียก็ไปโรงเรียน มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่ตามลำพังคนเดียว

วันนี้เย่โม่ตื่นสายกว่าทุกๆวัน เขาตื่นมาตอนสิบเอ็ดโมงเช้าพอดี ความจริงแล้วจะเรียกว่าหลับก็ไม่ถูกนัก เพราะร่างกายของเย่โม่หลังจากได้รับเซรุ่มกัปตันอเมริกันเข้าไปนั้น ทำให้ร่างกายของเขามีพละกำลังเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเขามีความสุขกับการนอนแช่อยู่บนเตียงน่าจะถูกต้องกว่า

ในขณะที่เย่โม่กำลังล้างหน้าแปรงฟันอยู่นั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาจึงรีบเดินไปดู และพบว่าที่หน้าปรากฏชื่อของหวังไห่เฟิงขึ้น

“ดูท่าน่าจะเป็นข่าวเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยจี่หนิงแน่!”

เย่โม่พึมพำกับตัวเองพร้อมกับกดรับสายทันที

“เสี่ยวเย่! เธอช่วยส่งเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน แล้วก็ทะเบียนบ้านมาให้ฉันทางโทรศัพท์ด้วยนะ อ่อ.. แล้วก็ชื่อโรงเรียนมัธยมปลายที่เธอกำลังเรียนอยู่ด้วยล่ะ!”

“ได้ครับ! แค่ส่งข้อมูลที่ต้องการพวกนี้ไปให้คุณ ผมก็สามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจี่หนิงได้แล้วใช่มั๊ยครับ?”

“ใช่แล้วล่ะ!”

“ครับ! ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะรีบส่งข้อมูลที่ต้องการไปให้คุณลุงเลยนะครับ! เอ่อ.. ลุงไห่เฟิงครับ ในเมื่อผมได้โควต้าเข้าเรียนที่นั่นแล้ว ผมยังจำเป็นต้องเข้าสอบเอนทรานซ์อยู่มั๊ยครับ?”

หลังจากได้ฟังคำถามของเย่โม่ หวังไห่เฟิงก็ได้แต่หัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “ก็แล้วแต่เธอ! เธออยากจะไปลองสอบดูก็ได้ไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่ติด ยังไงเธอก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจี่หนิงอยู่แล้ว!”

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ตั้งใจว่าอยากจะลองไปสอบดูครับ! อุตส่าห์ตั้งใจเรียนอย่างหนักมาตั้งสามปี อย่างน้อยก็ต้องไปลองสนามสอบดูซะหน่อย จะได้รู้ว่าข้อสอบเอนทรานซ์เป็นยังไงบ้าง?”

เย่โม่ตอบหวังไห่เฟิงกลับไป หลังจากที่คิดว่าตนเองสู้อุตส่าห์ตั้งใจเรียนอย่างหนักมาตั้งสามปีเต็มๆ คงจะน่าเสียดายแย่หากเขาไม่ลองไปสอบดู!

“ฮ่าๆๆ งั้นก็ลองไปดู อย่างน้อยนั่นก็เป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จของเธอ!”

หลังจากวางสายไปแล้ว เย่โม่ก็จัดการส่งข้อมูลที่หวังไห่เฟิงต้องการไปให้เขาทันที ส่วนเรื่องที่จะไปเป็นอาจารย์รับเชิญของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยจี่หนิงนั้น หวังไห่เฟิงบอกว่า ค่อยระบุไปในเอกสารโควต้าพิเศษอีกที

……..

ภายในบ้านจางเชาเมืองฉางเฟิงเวลานี้…

จางหลงกำลังร้องตะโกนใส่โทรศัพท์เสียงดัง ในขณะที่ปู้หลานซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเขานั้นก็มีสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“พวกแกมันล้วนแล้วแต่ไม่ต่างจากขยะไร้ประโยชน์กันหมด! ฉันเลี้ยงพวกแกไว้จะมีประโยชน์อะไร? ช่วยอะไรฉันไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว! แค่ให้ตามหาเชาเอ๋อคนเดียว พวกแกก็ยังไม่มีปัญญาตามหาให้เจอได้ เอาล่ะๆ ถ้าไม่เจอก็กลับมาได้แล้ว!”

จางหลงขว้างโทรศัพท์มือถือลงพื้นด้วยความเดือดดาล และทันทีที่โทรศัพท์กระทบกับพื้นอย่างรุนแรง มันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆทันที

ปู้หลานไม่สนใจว่าโทรศัพท์มือถือจะมีสภาพยังไง เธอได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับถามผู้เป็นสามีไปว่า

“จางหลง นี่คุณยังหาลูกของฉันไม่พบอีกเหรอคะ?”

“ลูกของฉัน? นี่คุณหมายความว่ายังไง? เจ้าเชามันก็เป็นลูกของผมเหมือนกัน! ผมก็เร่งตามหาตัวมันอยู่นี่ไง?”

จางหลงที่เฝ้าตามหาตัวลูกชายแทบพลิกแผ่นดิน เมื่อได้ยินภรรยาถามออกมาแบบนั้น เขาก็ถึงกับโมโหขึ้นมา และตวาดใส่เธอทันที

“คุณอย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ! ฉันมีความสุขมากรึไงที่เห็นลูกหายไปแบบนี้?”

เมื่อเห็นว่าจางหลงไม่สามารถหาลูกชายพบ ปู้หลานเองก็เริ่มระเบิดอารมณ์ใส่จางหลงผู้เป็นสามีเช่นกัน เวลานี้เธอเองก็โมโหไม่ต่างจากจางหลง และกำลังยืนจ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

จางหลงรู้ตัวว่า เวลานี้ตนเองกระวนกระวายใจจนเที่ยวฟาดงวงฟาดงาให้ภรรยา เขาจึงได้แต่สงบสติอารมณ์ ก่อนจะถอนหายใจออกมาสองสามเฮือกใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า

“เอาล่ะๆ ผมผิดเองที่ขึ้นเสียงกับคุณ! ดูท่าลูกชายของเราจะหายตัวไปจริงๆ!”

“คุณคะ ถ้าเราหากันเองไม่เจอ ก็ต้องแจ้งตำรวจแล้วล่ะค่ะ!”

“นี่คุณลืมไปแล้วเหรอว่า คุณโทรแจ้งตำรวจแล้ว! และตอนนี้ตำรวจก็กำลังช่วยตามหาตัวเขาให้อยู่!”

“แต่จนป่านนี้ตำรวจยังตามหาตัวลูกเราไม่พบเลยนะคะ เป็นไปได้มั๊ยว่าไอ้เด็กที่ชื่อเย่โม่เป็นคนเอาตัวลูกชายของเราไป!”

ความจริงแล้วปู้หลานมีความคิดที่น่ากลัวกว่านั้น แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกว่า มันฟังดูน่าตกใจมากจนเกินไป เธอจึงได้แต่ภาวนาให้มันไม่เป็นจริง และเลือกที่จะคิดว่า เย่โม่เพียงแค่ลักพาตัวลูกชายของตนเองไปเท่านั้น

“คุณมีหลักฐานรึเปล่าล่ะ?”

แม้ว่าเวลานี้จางหลงจะค่อนข้างโกรธแค้นอย่างมาก แต่เขาก็พยายามรักษาสภาพจิตใจของตนเองให้สงบนิ่ง และครุ่นคิดด้วยเหตุด้วยผลแทน

“หลักฐานอะไร? ฉันไม่มีหรอกค่ะ แต่อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่า ไอ้เด็กนั่นเป็นคนจับตัวลูกเราไปแล้วก็ทรมาน!”

แววตาของปู้หลานปรากฏร่องรอยของความโหดเหี้ยมร้ายกาจขึ้นมาวูบหนึ่ง ดังคำโบราณว่า ร้ายกว่างูพิษคืออิสตรี!

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของภรรยา จางหลงเองก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ ในที่สุด เขาเองก็เริ่มเชื่อว่าคนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือเย่โม่ และเขาเองก็มีเพื่อนอยู่ในสำนักงานรักษาความมั่นคงพอดี จึงได้ไปคิดที่จะไปขอให้เพื่อนคนนี้ช่วย

“เอาล่ะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!”

หลังจากนั้น จางหลงก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องขึ้นมาค้นเบอร์ของใครบางคน ก่อนจะกดโทรออกไปทันที

“สวัสดีครับ นั่นพี่หลงใช่มั๊ยครับ?”

“ใช่แล้ว ฉันเองจางหลง! ฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากแกหน่อย!”

“ว่ามาเลยพี่!”

ในระหว่างที่สามีกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้น ปู้หลานก็ได้แต่พึมพำกับตัวเอง แววตาทั้งคู่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตโหดเหี้ยม และความโกรธแค้นภายในใจ

“เย่โม่! ฉันจะให้แกได้ตายอย่างทรมานเชียวล่ะ!”

……..

เวลานี้ เย่โม่ที่มาเดินเล่นในสวนสาธารณะจนพอใจแล้ว ก็ได้เดินฮัมเพลงเบาๆในระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถึงบ้าน ในระหว่างที่เดินอยู่ในเขตบ้านพักอาศัยนั้น จู่ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจโชว์บัตรให้เย่โม่ดูพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เย่โม่! ไปกับเราเดี๋ยวนี้ เธอถูกสงสัยว่าลักพาตัวจางเชาไป!”

ลักพาตัวจางเชางั้นเหรอ?

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เย่โม่ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวจึงได้แต่ร้องถามออกไปว่า “แต่เมื่อวานผมเพิ่งไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจมาเรียบร้องแล้วนะครับ แล้วผมก็ไม่ได้เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยด้วย แต่ทำไมตอนนี้คุณถึงได้บอกว่าผมกลายเป็นผู้ต้องสงสัยลักพาตัวจางเชาไปล่ะครับ?”

“เรื่องนั้นไม่ต้องถาม เธอมีหน้าที่ตามพวกเราไปก็พอ แล้วถ้าเธอบริสุทธิ์ พวกเราก็จะปล่อยเธอกลับมาเอง!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนร้องบอกด้วยเสียงที่ห้วน

ในระหว่างที่ร้องบอกเย่โม่นั้น เขาก็พยายามที่จะใส่กุญแจมือเย่โม่ด้วย และเมื่อเย่โม่ดิ้นรนขัดขืน นายตำรวจหน้ายาวเหมือนม้าคนนั้นก็ได้ร้องตะโกนบอกว่า

“นี่! คิดจะขัดขืนการจับกุมรึไง?”

แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่โม่ก็ได้แต่นิ่ง และคิดว่าหากตำรวจหาหลักฐานไม่พบ เขาก็ย่อมต้องเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ดี ในที่สุดเย่โม่ก็เปลี่ยนใจที่จะไม่ขัดขืน เขายื่นมือให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ผมได้จะขัดขืน แต่กำลังจะยื่นมือให้ต่างหากล่ะ!”

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จัดการใส่กุญแจมือเย่โม่ ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดใจของผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น จากนั้นจึงได้นำตัวเขาไปขึ้นรถทันที

ภายในสำนักงานรักษาความมั่นคงเมืองฉางเฟิง

เย่โม่นั่งอยู่ในห้องสอบสวนที่มีเพียงโคมไฟที่ไม่ได้เปิดตั้งอยู่บนโต๊ะ ภายในห้องสอบสวนนั้นมืดมาก เย่โม่จึงไม่สามารถมองเห็นหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคน ที่กำลังสอบสวนตัวเองได้

“ชื่ออะไร?”

“เย่โม่!”

“อายุเท่าไหร่?”

“สิบแปดปี!”

“เพศ?”

"…"

เย่โม่ได้แต่นิ่งอึ้ง

“ฉันถามว่าเพศอะไร?”

“ผมเพิ่งกลับมาจากประเทศไทย ไม่ลองเดาดูล่ะว่าผมเพศอะไร?”

เย่โม่ยิ้มกว้างพร้อมกตอบกลับไปกวนๆ และนั่นทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับต้องร้องตะโกนตอบกลับมาด้วยความโมโห

“นี่! ฉันขอเตือนว่าให้ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา อย่าได้มาทำเป็นล้อเล่นกับฉัน!”

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจึงได้เริ่มทำการสอบสวนเย่โม่ต่อ

“บอกมา! ทำไมถึงต้องลักพาตัวจางเชาไป?”

“นี่คุณตำรวจครับ ทำไมถึงได้มากล่าวหากันแบบนี้ล่ะครับ? ถ้าคิดว่าผมลักพาตัวจางเชาไปจริงๆ ไหนล่ะครับหลักฐาน?”

“นี่แกยังกล้าเถียงอีกเหรอ? มีพยานหลายคนเห็นว่าเธอทะเลาะกับจางเชา! ถ้าไม่ใช่ฝีมือของเธอ แล้วจะเป็นใครไปได้?”

หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เย่โม่ถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “อะไรกันครับ? แค่เห็นผมทะเลาะกับจางเชา ก็กล่าวหาว่าผมลักพาตัวเขาไปแล้วเหรอครับเนี่ย? แล้วรู้มั๊ยครับว่าจางเชามีเรื่องกับคนอีกตั้งเท่าไหร่?”

“นี่! แต่คนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือเธอ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนตวาดสวนขึ้นมาเสียงดัง

เย่โม่ได้แต่เอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมตอบโต้กลับไปว่า “สิ่งที่คุณถาม ผมก็ตอบไปหมดแล้ว และที่สำคัญ ผมไม่ได้ลักพาตัวจางเชาไป คุณจับผิดคนแล้วล่ะครับคุณตำรวจ!”

--------------------------

ติดตามนิยายแปลสนุกๆอีกหลายเรื่องได้ที่เพจ  : แปลสนุก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด