ตอนที่แล้วWS บทที่ 285 ด่านที่สอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 287 ทลายอุปสรรค

WS บทที่ 286 พลังปีศาจแพนโดร่า ผสานผืนพิภพ


“อืม เจ้าดูมั่นใจมาก แสดงว่าเจ้ามีวิธีที่จะผ่านด่านทดสอบที่สองอย่างนั้นสินะ?”

เปลวไฟสังเกตเห็นรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้าของเมอร์ลินที่พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ แต่ในสายตาของเปลวไฟ เมอร์ลินไม่มีความหวังที่จะผ่านด่านทดสองที่สองเลย

"มีวิธี? ใช่ ฉันมีวิธีที่จะผ่านด่าน!"

เมอร์ลินไม่พูดอะไรมาก แต่เขานั่งไขว่ห้างทันทีในห้องหิน เปลวไฟดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นมากเช่นกัน ตัวมันที่ไม่ได้ไปไหนเลยเลือกที่จะดูเมอร์ลินจากด้านข้าง

ดูเหมือนว่าเมอร์ลินจะไม่สนใจในขณะที่มือของเขาหมุนไปเล็กน้อย และก้อนดินสีแดงอ่อน ๆ ที่มีสีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

นี่คือดินลาวาที่เมอร์ลินได้รับจากการหลบหนีจากภูเขาไฟครั้งก่อน

ในการผ่านด่านทดสอบที่สอง เมอร์ลินไม่สามารถต้านทานแก่นแท้แห่งไฟที่มีพลังเทียบเท่าคาถาระดับห้าได้ การผ่านระดับนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเกือบทุกคน

เมอร์ลินต้องอดทนอยู่ในเปลวเพลิงเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทนไฟจากคาถาระดับห้าด้วยม่านธรณีเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาครอบครองความสามารถของพลังปีศาจแพนโดร่า ผสานผืนพิภพและรวมเข้ากับม่านธรณี สิ่งต่าง ๆ จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ในเวลานั้น พลังป้องกันของม่านธรณีจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ดังนั้นมันน่าจะต้านทานไฟอันรุนแรงเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงได้

“การฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่านั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องใช้เวลาพอสมควร”

สิ่งเดียวที่เมอร์ลินไม่ขาดตอนนี้คือเวลาและที่นี่ค่อนข้างปลอดภัยเช่นกัน แม้แต่จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของโบราณสถานแห่งนี้ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในขณะนี้

ดังนั้น เมอร์ลินจึงเริ่มฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่า ผสานผืนพิภพทันที เขาเริ่มแกะสลักรอยประทับสีแดงเพลิงอันลึกลับแล้วบังคับพลังจิตเข้าไปในรอยประทับสีแดงเพลิง

นี่เป็นก้าวแรกในการฝึกฝนพลังปีศาจแพนโดร่าและขั้นตอนต่อมาคือการเริ่มดูดซับดินลาวาอย่างช้า ๆ เข้าไปในรอยประทับซึ่งจะใช้เวลานาน

หนึ่งวัน สองวัน สิบวัน…ครึ่งเดือนต่อมา ร่างกายของเมอร์ลินสั่นสะท้าน เหลือดินลาวาเพียงเล็กน้อยในมือของเขาและรอยประทับสีแดงเพลิงบนร่างของเมอร์ลินก็เริ่มสลายไปอย่างช้า ๆ และในที่สุดก็หายไปอย่างสมบูรณ์

"สำเร็จ!"

เมอร์ลินลืมตาขึ้นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ผ่านร่างกายของเขา เขาสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพลังปีศาจแพนโดร่า ผสานผืนพิภพซึ่งบ่งบอกว่าเขาประสบความสำเร็จในการฝึกฝนมันแล้ว

“ม่านธรณี!”

เมอร์ลินร่ายคาถาป้องกันธาตุดินระดับสองทันที ทันใดนั้น ก็มีม่านสีกากีบาง ๆ ล้อมรอบตัวเขา

เมื่อเทียบกับม่านธรณีก่อนหน้านี้ เมอร์ลินสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังปีศาจแพนโดร่า ผสานผืนพิภพได้รวมเข้ากับม่านธรณีอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากมัน!

“ดัชนีเยือกแข็ง!” เมอร์ลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจร่ายดัชนีเยือกแข็งลงบนตัวเขาเอง ร่องรอยของความหนาวเย็นทำให้เมอร์ลินรู้สึกหนาวสั่นทันที

*แคร่ก!*

อย่างไรก็ตาม ความหนาวเย็นได้หยุดอยู่ตรงม่านแสงและไม่สามารถเข้ามาถึงร่างกายของเมอร์ลินได้

พลังของดัชนีเยือกแข็ง มันเทียบทึคาถาระดับสี่แต่ตอนนี้ มันไม่สามารถทำอะไรกับม่านธรณีได้ นี่แสดงให้เห็นว่าม่านธรณีของเมอร์ลินได้รับการเสริมพลังด้วยพลังปีศาจแพนโดร่า  ผสานผืนพิภพแล้ว ความแข็งแกร่งของพลังป้องกันสามารถเทียบได้กับคาถาระดับห้า

แม้การเสริมพลังโดยผสานผืนพิภพจะไม่แข็งแกร่งเท่าดวงใจแห่งความมืด แต่มันสามารถรวมกับคาถาระดับไหนก็ได้ตราบใดที่เป็นคาถาป้องกันธาตุดิน

ดังนั้นแม้ว่าเมอร์ลินจะปล่อยม่านธรณีแบบธรรมดาออกมาแต่หลังจากได้รับการเสริมพลังจากผสานผืนพิภพ มันจึงมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับคาถาระดับห้า

เมื่อรู้สึกถึงพลังของม่านแสงบนพื้นผิวร่างกายของเขา เมอร์ลินก็ดูเหมือนจะเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงบอกว่าในยุคอันรุ่งโรจน์ที่สุดของ เหล่านักเวทย์ พลังปีศาจแพนโดร่าที่มีพลังอย่างแท้จริงสามารถรวมเข้ากับคาถาได้

สำหรับนักเวทย์โบราณเหล่านั้น คาถาที่ปล่อยออกมาด้วยท่าทางที่เรียบง่ายที่สุดก็อาจมีพลังทำลายล้างที่น่ากลัว เวทมนตร์เหล่านี้กลับกลายเป็นว่าต้องอาศัยพลังปีศาจแพนโดร่าซึ่งสามารถรวมเข้ากับคาถาธรรมดาของพวกเขาได้

อันที่จริง นักเวทย์โบราณเหล่านั้นไม่ได้ศึกษาแต่คาถาแต่ได้ฝึกฝนคาถาและพลังปีศาจแพนโดร่าร่วมกัน ด้วยพลังทั้งสองอย่างที่ส่งเสริมกันและกัน แม้แต่นักเวทย์ระดับหนึ่งก็ถือว่าทรงพลัง

“หมายความว่ามีเพียง นักเวทย์ที่รวมพลังปีศาจแพนโดร่าเท่านั้นที่เป็นนักเวทย์ที่แท้จริงอย่างงั้นหรือ?”

จู่ ๆ ความคิดนี้ก็แวบเข้ามาในหัวของเมอร์ลิน ระบบนักเวทย์โบราณได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลานาน จนมาถึงยุคสมัยของจักรวรรดิมอลต้า เมื่อสามพันหกร้อยปีก่อนซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของนักเวทย์ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยุคนั้นถึงเป็นยุคทอง

อย่างไรก็ตาม ด้วยการล่มสลายอย่างกะทันหันของจักรวรรดิมอลต้า มรดกจำนวนมากดูเหมือนจะหายไปและพลังปีศาจแพนโดร่าได้กลายเป็นสมบัติที่หายาก การเล่นแร่แปรธาตุนับไม่ถ้วนและแม้แต่ความรู้ในการสร้างคาถา มันจึงทำให้เกิดช่องว่างกว้างในการสืบทอดองค์ความรู้เหล่านี้

ความจริงหลายอย่างจมลงไปในก้นบึ้งแห่งประวัติศาสตร์ ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของนักเวทย์ในปัจจุบันจากระดับที่หนึ่งถึงระดับที่เก้าดูเหมือนจะกว้างเกินไปเมื่อเทียบกับเหล่านักเวทย์โบราณ

นักเวทย์โบราณบางคน แม้ว่าจะเป็นเพียงระดับหนึ่ง ก็สามารถฆ่าสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังนับไม่ถ้วนเพียงลำพัง หรือแม้กระทั่งพิชิตมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้

อย่างไรก็ตาม ในหมู่เกาะเคิร์ดมันสลา เมื่อต้องเผชิญกับสัตว์ทะเลระดับต่ำ นักเวทย์จำนวนมากไม่สามารถรับมือกับพวกมันได้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนักเวทย์คาถาโบราณ

ด้วยการผสมผสานพลังปีศาจแพนโดร่าเข้ากับคาถา ความแข็งแกร่งของนักเวทย์จะแตกต่างกันอย่างมาก และพลังจะเพิ่มขึ้นสองสามเท่า

ดังนั้น เมอร์ลินจึงตั้งข้อสันนิษฐานนี้ขึ้นมา บางทีนักเวทย์โบราณได้ฝึกฝนคาถาร่วมกับพลังปีศาจแพนโดร่าและนั่นจะเรียกได้ว่าเป็นนักเวทย์ที่แท้จริง!

นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเมอร์ลิน การล่มสลายของจักรวรรดิมอลต้าในชั่วข้ามคืนเมื่อสามพันหกร้อยปีก่อนดูเหมือนจะได้ฝังความลับไว้นับไม่ถ้วน ในการไขความลับเหล่านี้ ก่อนอื่นเราต้องค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับจักรวรรดิมอลต้าในตอนนั้น

เมอร์ลินสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยืนขึ้น เขาผลักความคิดในใจออกไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ต้องผ่านด่านทดสอบที่สอง

“ฉันต้องการทดสอบด่านที่สองอีกครั้ง!” เมอร์ลินพูดกับเปลวไฟ

เปลวไฟลอยอยู่กลางอากาศ มันสังเกตเห็นว่าดวงตาของเมอร์ลินดูซับซ้อนเล็กน้อยและทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “โอ้ เจ้าช่างโชคดีจริง ๆ เจ้าได้สร้างพลังปีศาจแพนโดร่าอีกอันหนึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาใช่ไหม? อย่างไรก็ตาม ด่านทดสอบที่สองไม่ง่ายที่จะผ่านมัน เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องทดสอบ”

เมอร์ลินเพิกเฉยต่อเปลวไฟและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เริ่มกันเลย!”

เปลวไฟพยักหน้าแล้วปิดประตูห้องหิน โทเท็มเพลิงบนกำแพงรอบ ๆ ดูเหมือนจะกลับมา ‘มีชีวิต’ อีกครั้ง และเริ่มปล่อยพลังธาตุไฟออกมา

อุณหภูมิของห้องหินทั้งหมดสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเมอร์ลินก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาอาจจะมั่นใจในพลังของผสานผืนพิภพ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะทนได้ครึ่งชั่วโมงหรือไม่แต่อย่างไรเขาก็ต้องลองดู

“ม่านธรณี!”

เมอร์ลินยืนอยู่ในห้องหินและทันใดนั้น ม่านบางสีกากีก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของร่างกายของเขา

*ครืน…ครืน…ครืน…*

ไฟยังคงลุกไหม้และเมอร์ลินสามารถสัมผัสได้ถึงไฟที่โหมกระหน่ำได้กัดกินม่านธรณีของเขาอย่างต่อเนื่อง ชั้นของม่านแสงสีกากีก็ค่อย ๆ สลายไปด้วย จากนั้นม่านธรณีก็เริ่มสูญเสียความมั่นคง

เมอร์ลินรู้ว่าม่านธรณีของเขาสามารถรับมือคาถาระดับห้าได้และไฟในห้องหินก็มีพลังเวทย์ระดับห้าเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่ได้คาดหวังว่ามันจะสามารถอยู่ได้ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยม่านธรณีเพียงครั้งเดียว ดังนั้น เมื่อมองดูม่านแสงเริ่มสลายไปอย่างสมบูรณ์ เขาจึงร่ายม่านธรณีอีกครั้ง

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…

ในขณะนี้ เมอร์ลินได้ปล่อยม่านธรณีแบบเสริมพลังและความสามารถในการป้องกันก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น ก่อนที่มันจะเริ่มกระจายออกไปได้ขยายออกไป อย่างไรก็ตาม ไฟในห้องหินนั้นทรงพลังจริง ๆ ความเข้มข้นของมันเพียงอย่างเดียวทำให้เมอร์ลินรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

โชคดีที่มีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ไฟในห้องหินก็หายไปในทันที และอุณหภูมิก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

เปลวไฟเฝ้าดูเมอร์ลินมาตลอด หลังจากที่เห็นไฟหายไป เมอร์ลินก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม มีเพียงใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อยแต่ไม่มีความเสียหายใด ๆ กับเขาเลย

“เจ้าผ่านจริง ๆ ด้วย…”

เปลวไฟรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย นี่คือนักเวทย์คนที่สี่ที่ผ่านด่านทดสอบที่สองในรอบสามพันหกร้อยปี!

เมอร์ลินฟื้นพลังเวทย์มนตร์บางส่วนด้วยหินธาตุอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงหันไปมองเปลวไฟ เขายิ้มขณะถาม “นี่หมายความว่าฉันผ่านด่านที่สองแล้วใช่ไหม?”

“แน่นอน เจ้าผ่าน! เจ้าคือนักเวทย์คนที่สี่ที่ผ่านด่านทดสอบที่สองโดยที่คนสุดท้ายผ่านสามพันหกร้อยปีก่อน เจ้ามีศักยภาพมากจริง ๆ ตอนนี้เจ้ายังเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง ถ้าเจ้าสามารถฝึกฝนที่นี่เป็นเวลาหลายสิบปีในการฝึกฝนจนถึงระดับสี่ ระดับห้าหรือแม้แต่ระดับหก บางทีเจ้าอาจมีความหวังที่จะผ่านด่านทดสอบที่สามก็ได้”

มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในน้ำเสียงของเปลวไฟซึ่งเมอร์ลินสัมผัสได้ถึงความเฉียบคม ดูเหมือนว่าเปลวไฟมีความคาดหวังเล็กน้อยจากเมอร์ลิน

“ต้องใช้เวลาหลายสิบปี? และฉันต้องฝึกฝนจนกว่าจะเป็นนักเวทย์ระดับห้าหรือระดับหกด้วยงั้นเหรอ?”

ดวงตาของเมอร์ลินแข็งค้างเล็กน้อยขณะฟังเปลวไฟ ดูเหมือนว่าด่านทดสอบที่สามซึ่งเป็นด่านสุดท้ายไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา

‘ด่านทดสอบที่สาม มันยากจริง ๆ เหรอ?’

ราวกับว่าเปลวไฟมองผ่านความสงสัยของเมอร์ลินออกมา มันก็เยาะเย้ย “เฮ้ ๆ ด่านทดสอบที่สามที่นายท่านสร้างไว้จะง่ายสำหรับนักเวทย์ทั่วไปได้อย่างไร? ก่อนหน้าเจ้าก็มีนักเวทย์ที่ผ่านไปได้สามคนใช่มั้ย? อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถผ่านได้และศักยภาพของพวกเขาก็ไม่ต่ำกว่าของเจ้าด้วย

“มีคนนึงที่มีพลังปีศาจแพนโดร่าห้าธาตุซึ่งทั้งหมดนั้นสามารถรวมเข้ากับคาถาได้ ขนาดอัจฉริยะดังกล่าวก็ไม่สามารถผ่านด่านสุดท้ายได้ อันที่จริง ถ้าเขาสามารถทนต่อความเหงาและมุ่งมั่นในการฝึกฝนต่อไปอีกสักสองสามทศวรรษ บางทีเขาอาจจะมีโอกาสผ่านด่านก็ได้ แต่น่าเสียดายที่เขาใช้โอกาสทั้งสามจนหมดและถูกโยนเข้าไปในกรงเพลิง…”

ดูเหมือนจะมีความเสียใจในการแสดงออกของเปลวไฟ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด