ตอนที่แล้วบทที่ 25 คุณลุงเพื่อนบ้าน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 27 ภารกิจฉุกเฉิน

บทที่ 26 ยักยอกเงินบริษัท


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 26 ยักยอกเงินบริษัท

คุณป้าถามกลับทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คดีเหรอ? คดีอะไรกัน?”

หลินถงซูโกรธมากที่สวี่เสี่ยวตงทำตัวเป็นคนสับปลับแบบนี้ นอกจากจะสืบหาอะไรไม่ได้สักอย่างแล้วยังปากพล่อยเรื่องคดีอีก

หลินถงซูพยายามหาทางบ่ายเบี่ยง “ฉันขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ เราไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนั้นได้”

คุณป้าไม่ยอมแพ้ “ไม่แฟร์กับฉันเลย กงเหวินเป็นลูกน้องในทีมฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นหัวหน้าก็ควรรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หลินถงซูพยายามคิดหาวิธีพูดเพื่อที่จะเลี่ยงคำถามอีกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าสวี่เสี่ยวตงจะซื่อถึงขนาดโพล่งคำตอบออกไปตามตรง “เขาถูกฆ่าครับ!”

“อะไรนะ!?” คุณป้าตกใจสุดขีดจนยกมือขึ้นป้องปากที่อ้ากว้าง

หลินถงซูแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีเพราะเพื่อนร่วมงานผู้โง่เง่า คุณป้าตั้งสติได้แล้วจึงถามต่อ “ใครฆ่าเขา?”

“ถ้าพวกเรารู้ว่าใครเป็นฆาตกรคงไม่มาถึงที่นี่หรอกครับ” สวี่เสี่ยวตงพูดกลั้วหัวเราะ

“เพราะงั้นพวกคุณเลยมาสืบคดีที่นี่? แสดงว่าคุณสงสัยว่าเป็นใครบางคนจากบริษัทเรางั้นเหรอ?”

“ไม่ครับ ไม่ใช่ แต่ตามขั้นตอนแล้วเราต้องตามสืบจากทุกอย่างเกี่ยวข้องกับเขา จริงด้วย คุณป้าอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับใครนะครับ เพราะตำรวจยังไม่ได้เผยแพร่เรื่องนี้ต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ”

“ได้สิคะ!”

หลินถงซูโกรธมาก ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อกันในวงเพื่อนร่วมงานแน่ ๆ หลังจากเลิกงาน อีกอย่างการที่สวีเสี่ยวตงพยายามกำชับว่า ‘อย่าบอกใครนะ’ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

สวี่เสี่ยวตงทำท่าทางราวกับว่าตัวเองเป็นคนไหวพริบดีมากต่อไป “คุณรู้หรือเปล่าครับว่ากงเหวินมีศัตรูที่ไหนบ้าง?”

“เท่าที่ฉันรู้ ไม่มีเลย ความสัมพันธ์ระหว่างกงเหวินกับทุกคนรอบข้างค่อนข้างดีทีเดียว ความจริงก็มีเพื่อนร่วมงานแค่คนสองคนที่ไม่ค่อยชอบหน้าเขา แต่ก็เป็นความขัดแย้งเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันด้วยซ้ำ”

หลินถงซูย้อนกลับไปถามเรื่องที่พูดคุยค้างไว้ก่อนหน้า “คุณบอกว่ากงเหวินทำประกันให้กับทั้งครอบครัวของตัวเอง เขามีเหตุผลพิเศษอะไรหรือเปล่าคะถึงได้ทำอย่างนั้น?”

“ประกันเหรอ? พวกเราทำงานอยู่ที่บริษัทประกัน ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำประกันให้กับตัวเอง บางเดือนเราทำยอดขายได้น้อยกว่าเกณฑ์บังคับจึงจำเป็นต้องทำประกันให้กับตัวเองและคนในครอบครัวเพื่อเพิ่มยอดขาย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรซะหน่อย อย่างตัวฉันเองก็ซื้อประกันให้ครอบครัวตัวเองทั้งหมดเลย”

หลินถงซูเหลือบมองสวีเสี่ยวตงที่ยืนนิ่งงัน “ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม? เป็นไงล่ะ ฉลาดมากนักไม่ใช่เหรอ?!”

หันไปแขวะเขาเสร็จเธอจึงกลับมาสอบถามต่อ “แต่เรายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการเลยนะคะว่าทำไมเขาถึงได้ติดหนี้มากมายขนาดนั้น”

“เอ่อ…” คุณป้าทำท่าคล้ายอยากพูดแต่กลับยั้งปากตัวเองไว้เสียก่อน

“ถ้าคุณไม่รู้ก็ไม่เป็นไรครับ เราค่อยไปสอบถามคนอื่นแทน” สวี่เสี่ยวตงลุกขึ้นยืน

“เขายักยอกเงินบริษัท!” ในที่สุดคุณป้าก็ยอมปริปาก

ทั้งคู่รีบทรุดตัวลงนั่งเหมือนเดิมทันที หลินถงซูถามด้วยความประหลาดใจ “อะไรกัน!? ทำไมคุณไม่พูดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกล่ะคะ?”

“ก็ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้นี่นา!” คุณป้ายิ้มแหยด้วยความกระอักกระอ่วน การแสดงออกของหล่อนไม่แนบเนียนถึงขั้นแม้แต่หลินถงซูยังมองออก ตอนแรกคุณป้าคนนี้ไม่รู้ว่ากงเหวินตายไปแล้วจึงเอาแต่กลัวและกังวลว่าอีกฝ่ายจะซัดทอดมาถึงตัวเองในสักวัน ทำให้ไม่ยอมเปิดปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ข้อสมมติฐานมั่ว ๆ ของสวี่เสี่ยวตงก็เริ่มมีความเป็นไปได้ขึ้นมา

“คุณช่วยเล่าถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้โดยละเอียดได้ไหมคะ?”

“เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่กงเหวินได้รับมอบหมายให้ฝึกอบรมพนักงานที่รับสมัครเข้ามาใหม่ ครึ่งปีแรกฝ่ายบัญชีของบริษัทเจอใบแจ้งหนี้จำนวนหลายสิบใบเป็นชื่อของพนักงานใหม่ตั้งร้อยกว่าคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง ตรวจสอบดีแล้วถึงได้รู้ว่ามีใครบางคนเล่นไม่ซื่อยักยอกเงินไปจำนวนมาก โดยอ้างว่านำไปใช้เพื่อจัดกิจกรรมฝึกอบรมพนักงานใหม่ จำนวนเงินทั้งหมดรวมกันแล้วเกือบสี่แสนหยวน”

“เยอะขนาดนี้เชียวหรือ!?” สวี่เสี่ยวตงอุทาน

“เมื่อเรื่องนี้ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน พยานหลักฐานทุกอย่างต่างชี้ไปที่กงเหวิน หมอนี่คิดว่าแผนการของตัวเองไร้ช่องโหว่ แต่พอถูกผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงตรวจสอบดูก็พบจนได้ ทันทีที่พวกเขาเจอตัวการที่ทำเรื่องทุจริต ในฐานะที่ฉันเป็นหัวหน้าทีมจึงเรียกเขามาคุยเป็นการส่วนตัว ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าตัวเองยักยอกเงินไปจริง เริ่มจากเงินจำนวนไม่มากนัก แต่พอทำบ่อยครั้งนานวันเข้าจำนวนมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมันทบรวมกันเป็นสี่แสนหยวน ด้วยความที่ฉันกับเขาต่างก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันมานานมากเลยไม่อยากให้เรื่องใหญ่โตถึงขั้นต้องขึ้นศาล ฉันเลยสั่งให้เขาจ่ายเงินคืนมาให้ครบแล้วจะถือว่าหายกัน หลังจากนั้นเขาก็หาเงินมาคืนจนครบภายในเวลาไม่นานนัก จากนั้นฉันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก”

“เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณเดือนไหนคะ?” หลินถงซูสอบถาม

“ฉันจำได้แม่นว่าเรื่องทั้งหมดจบลงในเดือนเมษายนปีนี้”

“โอ้ ขอบคุณมากนะคะสำหรับความร่วมมือในครั้งนี้”

ขณะเดินออกมาจากตัวบริษัท หลินถงซูก็พยายามรวบรวมเบาะแสทั้งหมดที่รับรู้มาเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงเริ่มต้นวิเคราะห์ “กงเหวินน่าจะเริ่มทำการยักยอกเงินบริษัทตั้งแต่พ่อตาของเขาเริ่มล้มป่วย แล้วก็นำเงินที่ได้มานั้นไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่แล้วกลับถูกบริษัทจับได้เสียก่อน เขาจึงจำเป็นต้องไปกู้ยืมเงินจากบริษัทปล่อยกู้นอกระบบที่อนุมัติวงเงินให้สูงมาชดใช้คืน”

สวี่เสี่ยวตงครุ่นคิดตามก่อนเสนอความเห็น “จากที่เราได้ข้อมูลมาในวันนี้ ผู้ที่ต้องสงสัยมากที่สุดคงไม่พ้นบริษัทปล่อยเงินกู้”

“คุณคิดจริง ๆ เหรอว่าบริษัทปล่อยเงินกู้จะทวงหนี้โหดถึงขั้นฆ่าคน?”

“บริษัทพวกนี้มีพวกมาเฟียทรงอิทธิพลอยู่เบื้องหลังถมเถไป คุณรู้ไหม? ลูกน้องบางรายก็เป็นพวกสมาชิกแก๊ง คุณยังไม่เคยเจอไอ้พวกนี้มาก่อนคงไม่รู้ว่ามันโหดเหี้ยมขนาดไหน!” สวี่เสี่ยวตงพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

หลินถงซูลองคิดตาม ถ้าเฉินฉีไม่เคยชี้แนะแนวทางการตั้งข้อสันนิษฐานอื่น บางทีเธออาจจะคิดว่าเป็นอย่างที่สวีเสี่ยวตงพูดก็ได้ เธอยังคงเชื่อหลักการคาดเดาของเฉินฉีว่าฆาตกรไม่ใช่บริษัทปล่อยเงินกู้แน่ ๆ

“ใกล้มืดแล้ว ผมอาสาไปส่งคุณที่บ้านแล้วกัน!” สวีเสี่ยวตงเสนอพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจะเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ เจอกันที่สถานีพรุ่งนี้นะ” พูดจบแล้วหลินถงซูก็เดินเลาะไปตามริมถนนก่อนโบกเรียกแท็กซี่โดยไม่รอให้เขาทักท้วง

ภายในคืนเดียวกันเธอส่งข้อความให้เฉินฉีเพื่อบอกเล่าความคืบหน้า แต่ครั้งนี้เฉินฉีไม่ได้ตอบกลับมาในทันที บางทีตอนนี้เขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ คิดแล้วหลินถงซูอดบ่นพึมพำไม่ได้ ทำไมหมอนี่เอาแต่ทำตัวชิลในช่วงเวลาคับขันอยู่เรื่อย

รุ่งเช้าวันต่อมา หลินถงซูมาถึงสถานีตำรวจแต่เช้าตรู่และตรงไปที่แผนกนิติเวชทันที บริเวณสำนักงานว่างเปล่าเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้างาน มีเพียงหัวหน้าหน่วยชันสูตรเผิงซื่อจวี๋ที่กำลังเพ่งอ่านข้อมูลบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์ บนโต๊ะมีขวดเครื่องดื่มชูกำลังเปิดฝาวางทิ้งไว้ แสดงว่าเขาต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำแน่ ๆ

“คุณมาพอดี” เผิงซื่อจวี๋ทักทายก่อน “ผลตรวจดีเอ็นเอวางอยู่บนโต๊ะ ลองอ่านดูเองเถอะ”

หลินถงซูหยิบผลตรวจดีเอ็นเอขึ้นอ่าน จากตัวอย่างเลือดของเด็กชายกับดีเอ็นเอที่ปรากฏบนด้ามมีดมีความเข้ากันได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์! เธอเกือบหลุดอุทานออกมาเสียงดัง เฉินฉีคาดการณ์ได้ตรงเผงอีกแล้ว เด็กชายและฆาตกรเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ!

“ตกใจออกนอกหน้าเชียวนะคุณ” คำพูดของเผิงซื่อจวี๋เหมือนเป็นน้ำเย็นที่ราดรดลงบนศีรษะของหลินถงซู “พลิกไปอ่านหน้าสามก่อนสิ”

หลินถงซูพลิกเปิดอ่านหน้าที่สามด้วยความสงสัย หลังจากอ่านผลลัพธ์แล้วเธอจึงพูดด้วยความเหลือเชื่อ “ตัวอย่างเลือดหยดนี้คือ...”

เผิงซื่อจวี๋หมุนเก้าอี้มาทางเธอ ในมือบรรจงแกะห่อลูกอมรสมินต์ “เลือดนั่นได้มาจากชายเจ้าของห้อง ไม่ใช่จากฆาตกร”

“เป็นไปได้ยังไงกัน? ด้ามมีดมีรอยแตกนะ เห็นได้ชัดว่านิ้วของฆาตกรต้องถูกรอยแตกนั้นหนีบจนเลือดสาด แล้วทำไมถึงเป็นเลือดของชายเจ้าของห้องไปได้?”

“ข้อสงสัยนั้นเป็นหน้าที่ของคุณต่อจากนี้แล้ว ผมมีหน้าที่แค่ทดสอบผลลัพธ์”

“โอเค ขอบคุณมากนะคะ”

“เดี๋ยวก่อน ผู้ชายที่มากับคุณเมื่อวานเป็นใครกัน?”

“เขาเป็นคนขับรถธรรมดาที่มีความสามารถอยู่สักหน่อยเองค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” หลินถงซูถามกลับ

“ผมถามคุณ แต่คุณไม่จำเป็นต้องถามผมกลับ! ออกไปได้แล้ว! อย่ารบกวนการทำงานของผม” เผิงซื่อจวี๋รีบไล่เธอออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ฮึ่ม เขารู้ตัวเองบ้างไหมว่าไม่ควรทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้นใส่คนอื่น?!” หลินถงซูบ่นในใจขณะที่เดินออกมาจากห้องแผนกนิติเวช แต่เมื่ออารมณ์หงุดหงิดลดลงและลองทบทวนอีกครั้ง ก็ตระหนักว่าเผิงซื่อจวี๋เองก็ช่วยเธอในเรื่องคดีนี้ไว้มากเหมือนกัน ดังนั้นเธอควรยกเครดิตให้เขาและปล่อยวางเรื่องนิสัยส่วนตัวไปซะ

เพื่อนร่วมงานในแผนกสืบสวนยังมากันไม่ครบ หลินถงซูจึงใช้จังหวะนี้ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อชุดเซตอาหารเช้าและกลับเข้าไปที่แผนกชันสูตรอีกครั้ง เธอเดินไปหาเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าเผิง ขอบคุณที่อุตส่าห์เป็นธุระพิสูจน์ดีเอ็นเอให้ ฉันซื้อชุดอาหารเช้ามาฝากคุณค่ะ รีบกินตอนที่ยังร้อน ๆ นะคะ!”

“ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ผมไม่กินอาหารที่ไม่ได้ซื้อเอง คุณเก็บไว้กินเองเถอะ!” เผิงซื่อจวี๋ปฏิเสธขณะตายังจ้องจอคอมพิวเตอร์

ถ้าหลินถงซูไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นคนไร้มารยาทแบบนี้ เธอคงจะปาถุงอาหารเช้าในมืออัดหน้าเขาไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงยังยืนกรานด้วยน้ำเสียงสุภาพ “งั้นฉันวางไว้บนโต๊ะให้แล้วกันนะคะ!”

“เดี๋ยว ผมบอกให้คุณเอากลับไปไง!”

เมื่อเผิงซื่อจวี๋หันมาหลินถงซูก็เดินหนีหายไปแล้ว เขาจึงทำได้แค่ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจก่อนลุกเดินไปปิดประตู จากนั้นจึงแกะถุงอาหารเช้านำถ้วยบรรจุร้อน ๆ ออกมาพร้อมตอกไข่ลวกลงไป ทันทีที่ตักเข้าปากหนึ่งคำก็ไม่วายตำหนิ “รสชาติแย่ชะมัด!”

ไม่นานนักเผิงซื่อจวี๋ก็กินอาหารเช้ารสชาติแย่ที่ว่าจนหมดเกลี้ยงภายในพริบตา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด