ตอนที่แล้วบทที่ 18: นิกายเทียนโหมว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20: ราชาสัตว์อสูร

บทที่ 19: ผลกระทบของข้าวโพด


ซูเจ๋อมองหลี่เฟยแล้วพูดว่า “อืม  ผมก็คิดว่าควรจับพวกมันเหมารวมเป็นพวกเดียวกันกับมนุษย์ต่างดาวด้วยเลย  เห็นผู้อาวุโสในสำนักเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือท้องฟ้าขึ้นไปอีก  พวกมันเรียกว่าอสูรฟ้า(เทียนโหมว) และพวกมันนี่แหล่ะที่อาจจะเป็นผู้สนับสนุนนิกายเทียนโหมว”

"โอ้?"

ดวงตาเจียงเหอเป็นประกาย

น่าสนใจ

‘ยังมีตัวอะไรอื่น ๆ อยู่นอกโลกจริงด้วยเหรอวะ?’

แบบนี้สถานการของโลกนี้มันก็อันตรายเกินกว่าที่เจียงเหอจะจินตนาการได้แล้ว

การฟื้นคืนพลังวิญญาณ  การอาละวาดของสัตว์อสูร  การก่อวินาศกรรมของพวกนิกายเทียนโหมวในโลกนี้  และปีศาจเหนือท้องฟ้าที่กำลังเฝ้าดูโลกนี้ราวกับเสือโคร่งที่รอจับเหยื่อ  แค่คิดถึงมันก็รู้สึกว่ากำลังโดนกดขี่อยู่อย่างบอกไม่ถูก

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว  สีหน้าของเจียงเหอก็เปลี่ยนไปในทันที

'การฝึกฝนของตูยังอ่อนเกินไป!  หลังจากที่ทำลายแผนการของพวกมันแล้ว  ไอ้นิกายเทียนโหมวเวรนี่จะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ แน่นอน'

'ถ้าผู้ปลุกพลังจากนิกายเทียนโหมวสามารถควบคุมสัตว์อสูรเลเวล 1 แปดตัว  และสัตว์อสูรเลเวล 2 ได้  พวกมันอาจจะฝึกสัตว์อสูรที่แข็งแก่งกว่านี้ไว้อีกเป็นจำนวนมากก็ได้ใครจะรู้?'

'ถ้ามันเข้าควบคุมสัตว์อสูรสักหลายสิบตัวหรือ  เอาแค่สัตว์อสูรระดับสูงเพียงไม่กี่ตัวให้มาขย้ำ  ตูก็ไม่รอดแล้วเว้ย  ต่อให้มีกายาวัชระคงกระพันปกป้องร่างกายยังไงก็ไม่รอด'

อันที่จริง  ตอนแรกเจียงเหอกะว่าจะกลับเข้าไปในภูเขา  ค้นหาไอ้สารเลวนั่นแล้วลากตัวมันออกมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต  แต่ตอนนี้เขาก็ต้องเลิกคิดและถอนหายใจ “ถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ  การเข้าไปโดยประมาทนั้นมันอันตรายเกินไป   ลืมมันไปเถอะ—ตูกลับไปยกระดับการฝึกฝนต่อดีกว่า  เพราะมันมีประโยชน์มากกว่าอยู่แล้ว”

เขาจึงหันไปหาซูเจ๋อและถามว่า “ภารกิจนี้จบลงแล้วเหรอ?”

ซูเจ๋อพยักหน้า “ขอบคุณที่ช่วยครับคุณเจียง  ผมจะกลับไปขอเครดิตที่สำนักและนำข้อมูลที่คุณต้องการมาให้โดยเร็วที่สุด”

หลังจากนั้นหมารองหลี่ก็พาเจียงเหอกลับบ้าน

หวางซืออวี่ติดตามเขามาด้วย

เธอไม่ได้กลับบ้านทันที  เธอตามมาที่บ้านเจียงเหอแทน  และกำลังยืนก้มหน้า

มือทั้งสองของเธอจับชายเสื้อตัวเองแน่น  พยายามพูดอะไรแบบตะกุกตะกัก  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอะไรดี

เจียงเหอเห็นแล้วก็หัวใจเต้นโครมคราม  พร้อมมีความคิดอันกล้าหาญชาญชัยปรากฏ

เขากระอมแล้วพูดว่า “อะแฮ่ม ๆ หวางซืออวี่ถึงฉันอาจจะคิดดีกับเธอ… แต่พวกเราไม่ใจเร็วด่วนได้ไปหน่อยเหรอ? แน่นอนฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วและแข็งแรงมาก ๆ ด้วย  ตราบใดที่เธอพร้อม  ฉันก็ยินดีที่จะช่วยจัดการเรื่องอย่างว่านี่ได้ทุกเมื่อ”

“หมายความว่าไง? เร็วเกินไป? ยินดีช่วยเรื่องอะไร?”

หวางซืออวี่กระพริบตาปริบ ๆ ก่อนที่จะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรและถุยน้ำลายใส่ “ถุย! ถุย! ถุย! นายกำลังคิดสัปดนอะไรอยู่ ฉัน… ฉันแค่มาถามว่ายังมีข้าวโพดแบบเมื่อวันก่อนเหลืออยู่อีกไหมต่างหาก!”

"อ๊อ~!"

เจียงเหออุทานเสียงสูงล้อเลียนออกมาพลางทำท่าเอามือทาบอกก่อนจะพูดว่า “แค่เรื่องข้าวโพดจะบอกก่อนหน้านี้ก็ได้  แต่เธอดันตามฉันกลับมาบ้านแถมทำท่าทางแบบนี้แล้วพูดติด ๆ อ่าง ๆ ไอ้ฉันก็นึกว่าเธอกำลังรวบรวมความกล้าที่จะจับฉันขึ้นเตียงเสียอีก”

“ทุเรศที่สุด!”

หวางซืออวี่ตะคอกกลับก่อนจะถามว่า “ขอถามได้ไหมว่านายได้ข้าวโพดนั้นมาจากไหน? มันทำให้วิวัฒนาการได้ด้วยเหรอ? ฉันหมายถึง… มันช่วยให้หน้าอกใหญ่ขึ้นด้วย”

สำหรับผู้หญิงสมัยใหม่ที่มีการศึกษาแล้ว  เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งน่าอายและสามารถพูดคุยกันได้  แต่เป็นเพราะเธอสามารถอ่านใจได้—และเมื่อเห็นว่าในหัวของเจียงเหอเต็มไปด้วยความคิดแต่เรื่องอย่างว่ากับเธอ  เธอจะไม่หน้าแดงได้อย่างไร

"หา?"

เจียงเหอจ้องไปที่หวางซืออวี่ด้วยความตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ “มันใหญ่ขึ้นจริง ๆ เหรอ  มิน่าล่ะฉันถึงหาไม่เจอว่ามันมีอะไรที่พิเศษต่างไปจากข้าวโพดเดิม ๆ...  กลับกลายเป็นว่ามันช่วยในแง่นี้นี่เอง”

ถ้าเขาค้นพบผลลัพธ์แบบนี้ได้เองก็ตลกแล้ว

‘ตูเป็นผู้ชายนาเว้ย  จะให้มีหน้าอกหน้าใจฟูฟ่องเป็นบักแตงโมมันก็ไม่ใช่ป่าววะ?’

เจียงเหอแสร้งทำเป็นว่าเข้าไปที่ห้อง  และแอบหยิบข้าวโพดสองฝักออกจากกระเป๋าเก็บของแล้วกลับมาหาเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันไปเจอข้าวโพดพวกนี้มาโดยบังเอิญ  ถ้าการคาดเดาของฉันถูกต้อง  พวกมันคงจะดูดซับพลังวิญญาณและกลายพันธุ์ไปแล้ว”

“ตอนนี้เอาสองฝักนี่ไปก่อนถือเป็นของตอบแทนสำหรับการทดลองที่ประสบความสำเร็จ  แต่มีเงื่อนไขคือ  เธอต้องวัดตัวก่อนและหลังกิน  ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการกำหนดราคา”

นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าเขายังเหลือข้าวโพดอีก 78 ฝัก

และถ้าสิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีจริง ๆ เขาจะขายมันทั้งหมดโดยด่วนอย่างแน่นอน  ถ้าขายฝักละสามสี่แสน  คงได้เงินมาหลายสิบล้านชัวร์ ๆ

“วัดตัวแล้วบันทึกเหรอ?”

หวางซืออวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า

‘เนื่องจากเจียงเหอเป็นคนที่เห็นขอมูลนี้คนเดียว  และของฉันก็ไม่เล็ก  แล้วจะมีอะไรที่ต้องอายล่ะ?’

เธอต้องการจ่ายเงินแต่เจียงเหอปฏิเสธ

“เธอคือผู้ทดสอบผลิตภัณฑ์ของฉันนะ  ข้าวโพดที่ยาวและใหญ่มากสองฝักนี้เป็นรางวัลที่เธอสมควรได้รับ”

หวางซืออวี่พูดไม่ออก

'ยาวและใหญ่มาก?'

'นี่ชื่อผลิตภัณฑ์เหรอ!'

'น่ารังเกียจมาก! คนดี ๆ ที่ไหนเขาเรียกข้าวโพดแบบนี้กัน!'

***

หลังจากที่ได้เห็นหวางซืออวี่เดินจากไปแล้ว  เจียงเหอก็ล็อกประตูบ้านและหยิบพลั่วไปที่ลานบ้าน

เขาโบกมือหนึ่งที  ศพของแมวดำที่มีขนาดเท่าลูกวัวก็ปรากฏขึ้นที่เท้า

“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”

เอ้อเหลิงจื่อที่งีบหลับอยู่ที่มุมสนามในทันทีเริ่มเห่าอย่างดุเดือดทันทีที่เห็นศพของแมวดำ

“หุบปาก หยุดเห่า! เอ็งพึ่งจะมาบ้าอะไรตอนนี้วะ!”

เจียงเหอดุออกมาแค่ทีเดียวเอ้อเหลิงจื่อก็หยุดเห่า

ถึงกระนั้นมันก็ยังวิ่งเข้ามาหาเขา  กระดิกหางดิ๊ก ๆ และส่งเสียงร้องงี้ด ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนบนขาหลัง  ชี้อุ้งเท้าหน้าไปที่ศพแมวดำ  แล้วจึงชี้ไปที่ปากของมันเอง  จากนั้นมันก็ใช้อุ้งเท้าทั้งสองลูบท้องตัวเอง  แล้วมันก็ทำท่าเหมือนอาเจียนแล้วส่ายหัวอย่างแรง

“…”

เจียงเหอเงียบไปครู่หนึ่ง  แล้วจึงเข้าใจว่าที่มันอยากจะสื่อสารนั้นหมายถึงอะไร

และแล้วเขาเตะเจ้าหมาไปทีหนึ่งพร้อมดุออกมา “ฝันไปเถอะไอ้หมาเวร  ศพนี้ไม่ได้เอามาให้เอ็งกิน”

ขณะที่เจียงเหอหยิบพลั่วและเริ่มขุดหลุม  ตาของเอ้อเหลิงจื่อเป็นประกายในทันที  และมันก็วิ่งมาหาเขาอีกครั้ง  ผลักเขาออกไปในขณะที่มันเริ่มตะกุยดินด้วยอุ้งเท้าทั้งสี่

เศษฝุ่นเศษดินฟุ้งขึ้นไปในอากาศทั่วทุกทิศทุกทาง  และในไม่ช้ามันก็ขุดหลุมเสร็จ

"โอ้?"

เจียงเหอพอใจมากแล้วลูบหัวเจ้าหมาที่กระดิกหางอยู่เบา ๆ แล้วหยิบแตงกวาออกมา

“ทำดีมาก” เขาพูดแล้วแล้วโยนแตงกวาให้มัน “นี่เป็นรางวัลสำหรับเอ็ง  รีบ ๆ กินแล้วรีบ ๆ เข้านอน  จะได้ไปให้ถึงเลเวล 2 เร็ว ๆ”

เอ้อเหลิงจื่อพยักหน้าและวิ่งออกไป  โดยคาบแตงกวาไว้ในปาก

ช่วงนี้มันไม่ค่อยได้แตงกวาที่เจียงเหอกินเหลือ  และพึ่งพัฒนาเป็นสัตว์อสูรเลเวล 1 อย่างเป็นทางการเมื่อสามวันก่อน

เจียงเหอมองตามเจ้าหมาพร้อมกับครุ่นคิด

“จมูกของสุนัขนั้นเฉียบคม  และของเอ้อเหลิงจื่อก็อาจจะเฉียบคมขึ้นหลังจากวิวัฒนาการ  บางทีวันหลังตูน่าจะพามันไปที่ฉางหลิวสุ่ย  เพื่อค้นหาผู้ควบคุมสัตว์อสูรนิกายเทียนโหมวที่แอบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”

“ยัง… ตอนนี้ควรจะลองปลูกศพของแมวอสูรดูซิว่าจะได้อะไรจากมันบ้างไหม”

เจียงเหอจึงเตะศพลงไปในหลุม

หากมันปลูกขึ้นได้จริง ๆ เขาอาจจะได้เบาะแสบางอย่างจากร่างกายของมัน

***

ในขณะเดียวกันทางทิศตะวันออกของจุดชมวิวฉางหลิวสุ่ย

แถวของเนินเขามีแม่น้ำไหลผ่านแต่ละเนิน  มีกังหันลมสร้างอยู่บนยอดเขาแต่ละแห่ง  ไม่ค่อยมีใครพบเห็นที่นี่  และห่างออกไปทางตะวันออกอีกเพียงห้าถึงสิบกิโลเมตรเท่านั้นที่มีสัญญาณชีวิตของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เหมืองแร่

ตอนนี้ เนินเขาห่างจากพื้นที่ทำเหมืองไปอีก 30 กิโลเมตร มีเต็นท์ที่มีแสงวูบวาบจากด้านใน

ได้มีสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่แบกชายวัยกลางคนที่สวมชุดดำกำลังวิ่งเข้ามาหาจากระยะไกล

“ภารกิจล้มเหลว  ท่านผู้พิทักษ์! มีผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังก็ปรากฏตัวขึ้นและทำลายแผนของเรา”

ร่างชุดดำรีบกระโดดลงจากสุนัขและคุกเข่าอยู่นอกเต็นท์

การตอบสนองของเงาใต้แสงเต็นท์มีการสั่นไหว  ขณะที่เสียงแหบห้าวก็สะท้อนออกมา “มีเพียงโทษตายสำหรับทุกคนที่ทำให้แผนของเราปั่นป่วน  การปรากฎตัวของราชาหมาป่าบนภูต้าตงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำให้ซีเป่ยตกลงสู่ความโกลาหล”

“มีเพียงช่วงเวลาที่โลกเกิดความสับสนอลหม่านเท่านั้น  นิกายของเราจึงจะผงาดขึ้นมาได้”

“สำหรับไอ้คนที่มาขัดขวางแผนการอันศักสิทธิ์นี้  จงสำเร็จโทษประหารมันซะ!”

ปล. ท่าทางที่เอ้อเหลิงจื่อแสดงออกมาน่าจะหมายความว่า  จะเอาแมวนี่มาให้มันกินเหรอ  ถ้ามันกินเข้าไปคงได้ปวดท้องแล้วอวกออกมาแน่ ๆ เพราะงั้นมันกินไม่ไหวหรอก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด