ตอนที่แล้วบทที่ 8: ข้าวโพดที่ยาวและใหญ่มาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 10: ปลูกต้นสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร

บทที่ 9: สะบัดปากกา, ปลูกต้นคัมภีร์วรยุทธ


“ผู้ฝึกยุทธแบ่งออกเป็นเก้าระดับ  เราเรียกผู้ที่ฝึกฝนจนถึงระดับเจ็ดว่าปรมาจารย์ยุทธ  แต่ฉันไม่รู้เรื่องของผู้ที่อยู่ระดับเก้าขึ้นไปหรอกนะ” หวางซืออวี่กล่าว

เจียงเหอเจ็บจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย

ในฐานะผู้ฝึกยุทธ  เขายังคงเป็นแค่ 'กึ่ง ๆ' อยู่เลย  ซึ่งหมายความว่ายังไม่ถูกนับรวมในสารบบด้วยซ้ำ

เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงถามขึ้นว่า “แล้วใครแข็งแกร่งกว่ากันระหว่างพวกเหนือมนุษย์กับผู้ฝึกยุทธ?”

“มันก็พูดยาก  และยากจะเปรียบเทียบด้วย”

หวางซืออวี่คุ้นเคยกับคำถามนี้มากเพราะเธอเองก็ได้ถามไป๋เฟยเฟยด้วยเช่นกัน  เธอจึงสามารถตอบได้ทันทีว่า “พลังงานดั้งเดิมนี้พึ่งฟื้นคืนได้แค่ประมาณ 10 ปี  แต่เมื่อไม่นานมานี้  พลังงานดั้งเดิมก็เกิดปะทุขึ้นมาอีกครั้งจนส่งผลให้มีจำนวนผู้ปลุกพลังเพิ่มขึ้นมาบ้างอีกเล็กน้อย  อย่างน้อย ๆ ก็สามถึงห้าจากแสนคน  และการใช้งานพลังพิเศษนั้นยังอยู่ระหว่าการพัฒนาอีกด้วย”

“ยิ่งไปกว่านั้น  มีความสามารถต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น การรักษาหรือการอ่านใจของฉันที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้… จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันระหว่างผู้เหนือมนุษย์และผู้ฝึกยุทธ”

“ตัวอย่างเช่น   ผู้ฝึกยุทธระดับ 1 ที่มีประสบการณ์การต่อสู้สูงจะสามารถบดขยี้พวกเหนือมนุษย์ที่มีพลังที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้ได้สบาย ๆ”

“ในทำนองเดียวกัน  พวกเหนือมนุษย์ที่พิเศษบางคนมีความสามารถในการฆ่าผู้ฝึกยุทธปกติในทันทีก็มี”

***

การสนทนานี้ทำให้เจียงเหอมีความเข้าใจเกี่ยวกับพวกเหนือมนุษย์และผู้ฝึกยุทธเพิ่มมากขึ้น

ระหว่างนั้นข้าวโพดก็หมดลงอย่างรวดเร็ว

หวางซืออวี่ลูบท้องด้วยความเขินอายเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าวโพดนายอร่อยเกินไปแล้ว  ฉันอดใจไม่ไหวจนต้องกินให้หมด”

"ไม่มีปัญหา  ยังไงก็ปลูกเองอยู่แล้วไม่ได้ซื้อมา  เธอจะมากินด้วยกันเมื่อไหร่ก็ได้นะ” เจียงเหอตอบอย่างสุภาพ

"จริงเหรอ?"

หวางซืออวี่ตาเป็นประกายและกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “โอเค  วันหลังถ้าฉันมากินด้วยอีก  แล้วออกอาการตะกละล่ะก็นายห้ามผลักไสไล่ส่งฉันเด็ดขาดนะ…  อ้อใช่”

ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและพูดต่อ “เจียงเหอ  นายคงเดาออกสินะว่าหลังจากที่ฉันตื่นขึ้น  ฉันได้เข้าร่วมสำนักงานจัดการคดีพิเศษแห่งชาติ”

“องค์กรเรามีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้เหนือมนุษย์  ผู้ฝึกยุทธ  และรวมไปถึงสถานการพิเศษบางอย่างด้วย”

“ในฐานะตัวแทนขององค์กร  ฉันขอเชิญคุณเข้าร่วมกับเรา”

เธอใช้คำพูดอย่างเป็นทางการและยื่นมือเรียวยาวขาวผ่องออกมาอย่างจริงใจ

เจียงเหอก็คว้าหมับทันที  และสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม… หากมือนี้ช่วยเขาทำนั่นทำนี่ล่ะก็…

หวางซืออวี่หน้าแดงอีกครั้ง

เจียงเหอรู้สึกไม่พอใจและบ่นว่า "หวางซืออวี่  เธอหยุดอ่านความคิดของฉันสักที่ได้ไหม?  แค่ความคิดก็ขอให้มีความเป็นส่วนตัวสักหน่อยไม่ได้หรือไง?”

"นี่นาย!"

หวางซืออวี่โมโหจากนั้นก็กระทืบเท้าปึงปังด้วยความหงุดหงิด “เจียงเหอ  นายอย่าทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้สิ  ในหัวของนายมีแต่เรื่องสัปดนจริง ๆ เหรอ?”

หัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ไม่สามารถจะพูดคุยเจาะลึกหารายละเอียดได้

เจียงเหอจึงเปลี่ยนหัวข้อถามว่า “ถ้าฉันปฏิเสธที่จะเข้าร่วมองค์กรของเธอแล้วจะเป็นยังไง?”

“นายจะต้องลงนามในสัญญารักษาความลับ!”

หวางซืออวี่ตอบอย่างจริงจัง “ก่อนที่ประเทศจะประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับผู้ปลุกพลังเหนือมนุษย์  การกลายพันธุ์ของพวกสัตว์อสูร  และผู้ฝึกยุทธ  นายจะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”

“โอเคเลย  ฉันจะเซ็นต์สัญญารักษาความลับ”

เจียงเหอพยักหน้านิ่ง  แต่ว่าในจิตใจของเขากำลังเต้นระบำด้วยความปีติยินดี

ก่อนที่ประเทศจะประกาศ...

‘ตามที่หวางซืออวี่พูด  ตอนนี้พลังงานดั้งเดิมกำลังปะทุแรงขึ้นคงใกล้จะถึงจุดพีคแล้ว  ซึ่งหมายความว่าคดีพิเศษกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัว  และองค์กรคงแทบควบคุมปกปิดไม่ได้อีกต่อไป  แสดงว่าประเทศคงมีแผนที่จะเปิดเผยข้อมูลนี้ในเร็ว ๆ นี้สินะ’

ตู้ม!

เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วฟ้า  ตามมาด้วยการสั่นสะเทือนของแผ่นดินอย่างรุนแรง  บ้านของเจียงเหอก็สั่นไปด้วยเช่นกัน  จากนั้นได้มีฝุ่นทรายซัดกระหน่ำลงมาเต็มหลังคาบ้าน

“ไม่นะ  แผ่นดินไหว!”

เจียงเหอหน้าตึง  เขาคว้ามือหวางซืออวี่แล้ววิ่งออกจากบ้าน

เมื่อออกมาจากบ้านเขาพบว่าเอ้อเหลิงจื่อเห่าอย่างกระสับกระส่ายไปทางทิศตะวันออก  และเมื่อเจียงเหอมองตามไปที่นั่น  เขาก็เห็นแสงสีขาวที่ทำให้ตาพร่ามัวสาดไปทั่วท้องฟ้าทางทิศตะวันออกค่อย ๆ จางลง  โดยมีเมฆรูปเห็ดค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า

ชาวบ้านอีกหลายคนวิ่งออกจากบ้านของพวกเขาด้วยใบหน้าตกตะลึงแตกตื่น

'ระเบิดนิวเคลียร์!'

ความคิดนั้นก็แวบเข้ามาในหัวของเจียงเหอทันที!

หวางซืออวี่ก็หน้าหมองลงเช่นกัน  เธอพึมพำออกมาว่า “มีปัญหา… เกิดเรื่องใหญ่ที่ภูต้าตง…”

ยังพูดไม่ทันจบเธอก็รีบวิ่งไปยังทิศทางของการระเบิด

ในขณะเดียวกัน  เจียงเหอได้ปีนขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็วเพื่อดูเมฆเห็ดที่ยังไม่กระจายตัว  ในใจของเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก!

“ภูต้าตง? ห่างจากที่นี่เกือบสี่ร้อยลี้… แรงระเบิดจะรุนแรงขนาดที่ไกลเพียงนี้ยังสัมผัสได้แถมยังมองเห็นฉากพวกนี้หลังการระเบิดอีก  ดูท่าจะเป็นการยิงนิวเคลียร์จริง ๆ สินะ”

“แม้แต่นิวเคลียร์ยังต้องงัดออกมาใช้  แสดงว่าสถานการตอนนี้มันเข้าขั้นวิกฤตแล้วงั้นเหรอวะ?”

หลังจากจ้องมองอยู่นาน  เจียงเหอก็กระโดดลงจากหลังคาในที่สุด  และดุเอ้อเหลิงจื่อที่ยังคงเห่าอย่างไม่ลดละก่อนที่จะครุ่นคิดต่อไป

“ต้องยิงระเบิดนิวเคลียร์เพื่อถล่มสัตว์อสูร”

เฮ้อ!

เจียงเหอถอนหายใจอย่างแรง!

ต้องเป็นตัวแบบไหนวะถึงต้องทำขนาดนี้?

และคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ  สัตว์อสูรนั้นมันตายหรือเปล่านี่สิ  ถ้ามันตายก็ดีไป  แต่ถ้ามันรอด… สยองว่ะ

"แข็งแกร่งขึ้น! ตูต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด!”

“ตอนนี้ตูไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ—ถ้าต้องไปเจอไอ้พวกตัวแบบนั้นล่ะก็ตายแน่ ๆ ซี้แหงแก๋!”

เจียงเหอสะบัดมือควักเอาแตงกวาออกมา

เขาจ้องมองมันและเรอออกมาเพราะท้องมันอิ่มแล้ว

“เอ่อ… จะอ้วกว่ะ!”

'ก็กินข้าวโพดไปหมดหม้อแล้ว  ยังจะต้องยัดไอ้แตงกวายักษ์นี่ลงพุงอีกเหรอวะ?'

อย่างไรก็ตาม  เจียงเหอยังจำเป็นต้องฝึกฝนตัวเองเพื่อพัฒนาความสามารถ

เอ้อเหลิงจื่อครางหงิง ๆ เมื่อเห็นเจียงเหอหยิบแตงกวาออกมา  มันกลายเป็นภาพเบลอสีดำพุ่งเข้าหาเจียงเหอและหมอบอยู่ข้างหน้าเขา  กระดิกหางดิ๊ก ๆ และน้ำลายหยดแหมะเต็มพื้น

เจียงเหอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงพยายามยัดแตงกวาทั้งลูก  แต่ก็กินได้เพียงสองในสามส่วน  และโยนส่วนที่เหลือให้เอ้อเหลิงจื่อ

'ช่วยไม่ได้ว่ะ'

'จะกินให้หมดลูกมันก็ไม่ไหวจริง ๆ ต่อให้รู้สึกว่าร่างกายมันจะแข็งแกร่งขึ้นก็เถอะ  แต่มันไม่เกี่ยวกับกินไหวหรือไม่ไหวนี่หว่า!'

"ไม่ได้การ!  เพิ่มพลังแบบนี้ยากเกินไปและช้าเกินไป!  ถ้าต้องกินแบบนี้ทุกวันตูได้อ้วกแตกตายจริง ๆ แน่…”

“ตูอาจกินเหลียงป้านหวงกวา (แตงกวาเย็น) เป็นมื้อเย็นจนพัฒนาไปถึงขั้นผู้ฝึกยุทธจริง ๆ ก็ได้… แต่นั่นเป็นเพียงด้านร่างกายเท่านั้น  ตูไม่เคยฝึกฝนวิชาอะไรมาก่อน  ต่อให้มีพละกำลังสูงส่งแต่ไม่รู้วิธีเอามาใช้ก็ไร้บอย”

“ฝึกวิชา…”

“ฝึกวิชา…”

“ต้องทำไงถึงจะฝึกฝนวิชาได้ละ?”

“หวางซืออวี่บอกว่าศิลปะการต่อสู้มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ  ซึ่งหมายความว่าสำนักงานจัดการคดีพิเศษแห่งชาติจะต้องมีวิธีการฝึกฝนอย่างอย่างแน่นอน  แต่ตูดันเป็นพวกชอบอิสระเนี่ยสิ… เออเว้ยใช่แล้ว!”

เจียงเหอลุกพรวดขึ้นทันทีจนเอ้อเหลิงจื่อตกใจเกือบจะสำลักแตงกวา

มันกลอกตาใส่เจียงเหอ

"ไอ้หมานี่! ไปกินที่อื่นดิ๊!”

เจียงเหอเตะตูดเอ้อเหลิงจื่อก่อนที่จะวิ่งกลับเข้าไปในห้อง  ค้นหาปากกาและกระดาษและเปิดโทรศัพท์มือถือ  แล้วเสิร์ชเว็บไป่ตู้หาเคล็ดวิชา

“ถ้าจำไม่ผิด  มีเคล็ดวิชาสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร  คัมภีร์เก้าเอี้ยง  คัมภีร์เก้าอิม  และเจ็ดสิบสองกระบวนท่าเส้าหลินอยู่ในเน็ต  ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไร้สาระก็เถอะ…”

“แต่… ถ้าตูเอาเคล็ดวิชาพวกนี้มาปลูกได้จริง ๆ ล่ะมันจะเป็นยังไง?”

เจียงเหอเอากระดาษมาวางแล้วเริ่มเขียน :

มังกรผยองได้สำนึก  เคล็ดสำคัญของกระบวนท่านี้มิใช่อยู่ที่คำว่า "ผยอง" ซึ่งหมายถึงความแกร่งกร้าว  แต่อยู่ที่คำว่า "สำนึก" ท่านี้ตรงกับแผนภาพอี้จิงที่ระบุว่า "มังกรผยองได้สำนึก  เอ่อล้นพ้นไม่ยืนยาว"...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด