ตอนที่แล้วบทที่ 44: ศิลาเรืองแสงและข้อมูล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 46: สนามประลอง! จุดเริ่มต้นของการต่อสู้

บทที่ 45: การเจรจาต่อรอง


บทที่ 45: การเจรจาต่อรอง

กาก้านั้นฉลาดมากและเขาก็ได้พูดอย่างรวดเร็วไปว่า“ท่านเดงคิ หัวหน้าของเราได้บอกให้ท่านเข้ามาพบ”

ชายที่สวมเสื้อคลุมมองกาก้าและกาก้าก็ได้ก้มศีรษะด้วยความเคารพอย่างแรงกล้า จากนั้นเขาก็ได้ก้าวไปที่ด้านข้างของคนแคระเฒ่า

จากนั้นเสียงก้าวเท้าของเดงคิก็เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในไม่ช้า เป้าหมายแรกของ 'ยิงแสงสว่าง' ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แม้หลังจากช่วงเวลานั้นมา เดงคิก็ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บและเขาหมดอาลัยตายอยากเป็นอย่างมาก

ในตอนแรกเดงคิเสียงดังมาก แต่เมื่อเขาเห็นชายสวมเสื้อคลุม เขาก็ได้ลดเสียงในทันที ลิชข้างๆเดงคิก็ได้ก้าวไปข้างหน้าและถามด้วยความภาคภูมิใจ "เจ้าคงเป็นหัวหน้าของแก๊งค์เสื้อคลุมใช่หรือไม่?"

ชายเสื้อคลุมไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่เขายกมือขึ้นไปที่กำแพงด้านหนึ่งและส่งลูกบอลแสงสีขาวออกไปด้วยความเร็วสูง พื้นระหว่างทางได้แตกออกและกำแพงก็ได้กลายเป็นหลุมกลวงโบ๋ ซึ่งเสียงกำแพงที่เพิ่งพังลงไปยังคงอยู่และมันใช้เวลานานมากถึงจะหยุดลง

การโจมตีของเขาทำให้ทุกๆคนต่างตกใจเป็นอย่างมาก ลิชเองก็ตกใจไม่ต่างและความทระนงตัวที่มีอยู่ของมันก็แทบจะหายไปหมดสิ้น เดงคิที่อยู่ข้างๆได้นึกถึงฉากในคืนนั้นและเขาก็กลัวเป็นอย่างมาก ร่างกายที่แข็งแรงของเขาก็เริ่มสั่นเล็กน้อย นี้แหละคือพลัง! พลังนี้อย่างน้อยก็อยู่ในมารในตำนานและมันก็ไม่ใช่ความสามารถของมารระดับสูงทั่วไปเลย มันอาจเป็นพรสวรรค์ที่กลายพันธุ์ก็ได้ ดูเหมือนว่ามันจะโชคดีจริงๆที่รอดตายในคืนนั้น โชคดีที่มันไม่ได้ไปหาเรื่องพวกคนแคระเฒ่าและแก๊งค์เสื้อคลุม

สมาชิกของแก๊งค์เสื้อคลุมดูตื่นเต้นมาก แต่พวกเขากลับนับถือคนที่สวมเสื้อคลุมผู้นี้มากขึ้นไปอีก เป็นเวลานานแล้วที่ได้ยินเรื่องเล่าของคนผู้นี้ เพียงแต่พวกเขาไม่เคยเห็นตัวตนของคนผู้นี้จริงๆเลย และแน่นอนว่าการพบหน้าย่อมต้องแสดงให้เห็นยิ่งกว่าการได้ยินแค่เรื่องเล่าแน่นอน การที่มีผู้นำที่ทรงพลังแบบนี้ แก๊งค์เสื้อคลุมย่อมจะต้องมีชื่อเสียงในเมืองพระจันทร์ดับในอนาคตอย่างแน่นอน

คงมีแต่คนแคระเฒ่าดิดิเท่านั้นที่รู้สึกเจ็บปวด: นายท่าน อย่าทำลายสนามหญ้าที่ท่านเพิ่งเดินผ่านมาสิ เหรียญคริสตัลเวทมนตร์ที่ใช้สร้างทั้งหมดมันมีมูลค่า...

“ท่านเอกิล ขอโทษที่ข้าเพิ่งจะหยาบคายไป ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถิด” การสาธิตของ 'ยิงแสงสว่าง' ได้ทำให้ลิชละทิ้งความจองหองไปหมดสิ้น ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไป 360 องศาและน้ำเสียงของเขาก็สุภาพขึ้นในทันที "วันนี้ เดงคิและข้าได้มาที่นี่ในนามของนายพลอลัน เพื่อหารือกับท่านเอกิล"

ถึงแม้ว่านาจิบจะกลัวพลังของชายสวมเสื้อคลุม แต่เขาก็ยังดูใจเย็นและก็ได้ถามไปว่า“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเอกิลมาก่อนเลย ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านมาจากที่ใด? แล้วท่านมาทำอะไรที่เมืองพระจันทร์ดับแห่งนี้?”

“บ้านเกิดของข้าคือเมืองพระจันทร์ดับ และข้าก็ไม่เคยกลับมาเลยในเวลาหลายร้อยปีมานี้ ครั้งนี้ข้าได้กลับมาตามคำสั่งของท่านอาจารย์ มายังเมืองพระจันทร์ดับแห่งนี้” ชายผู้สวมเสื้อคลุมอยู่ก็คือเฉินรุย เขาเริ่มเผยเรื่องของเอกิลมาทีละน้อยๆ

ว่าแต่อาจารย์งั้นเหรอ? แสดงว่ามีคนที่แข็งแกร่งกว่าเอกิลอยู่อีก! นาจิบรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก สำหรับต้นกำเนิดของเอกิลนั้น เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย เมืองพระจันทร์ดับนั้นเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงและคึกคักเมื่อหลายร้อยปีก่อน มีผู้แข็งแกร่งหลายคนมารวมตัวกันที่นี่ ทว่าเนื่องจากราชวงศ์เบลเซบับได้เอาชนะเจ้าพระอาทิตย์เที่ยงคืน เมืองพระจันทร์ดับก็เริ่มเสื่อมถอยลง นอกจากนี้ หลายตระกูลก็ได้อพยพไปยังที่อื่น ดังนั้นเอกิลก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น

นาจิบมีความตั้งใจที่จะเข้าใจที่มาที่ไปขอเอกิล ดังนั้นเขาจึงถามไปอีกว่า “โปรดให้อภัยของข้า แต่ข้าขอทราบนามท่านอาจารย์ได้ไหมว่าคือ…”

“เจ้าไมมีคุณสมบัติพอที่จะทราบนามอาจารย์ของข้า” ชายสวมเสื้อคลุมพูดอย่างเย็นยะเยือก “แม้แต่พ่อของอลัน ผู้เป็นผู้นำของตระกูลคารอนก็ไม่มีสิทธที่จะรับรู้”

นาจิบยิ่งตกใจยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยังคงทระนงตนจนกล้าเหยียดหยามตระกูลคารอน นาจิบคิดว่าชายที่ปิดบังตนผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน เขาเก็บคำพูดที่เขาจะพูดออกไปในทันที เขาเริ่มระวังในคำพูดมากขึ้นและถามไปว่า “เพราะท่านเองก็เป็นคนที่ฉลาด ดังนั้นข้าจะทำอะไรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่านเองก็ทราบดีว่าแต่ละที่ย่อมมีกฏของมันเอง ตอนนี้ท่านได้ก่อตั้งแก๊งค์เสื้อคลุมขึ้นในเมือง ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตามกฎในเมืองพระจันทร์ดับ ด้วยการจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนเพียงเล็กน้อย นายพลอลันก็จะคุ้มครองยามเกิดปัญหาใหญ่โต”

“ข้าไม่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าการคุ้มครอง อาจารย์ของข้าเคยบอกว่าถ้าใครกล้าแตะต้องข้า เขาจะล้างตระกูลของพวกมันทั้งหมด ข้าไม่คิดที่จะต้องการมันเลยสักนิดเดียว” คำพูดเหล่านั้นได้เปลี่ยนสีหน้าของนาจิบและเดงคิไปโดยพลัน ดูเหมือนว่าคนๆนี้จะแน่วแน่เป็นอย่างมาก ด้วยพลังในตอนนี้ เอกิลก็สามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

จากนั้น ชายผู้สวมเสื้อก็ได้เปลี่ยนน้ำเสียงของเขา“อย่างไรก็ตาม…พวกเจ้าพูดถูก ทุกที่มีกฎของมันเอง เหตุผลที่ข้ามาที่เมืองพระจันทณ์ดับก็แค่มาดูบ้านเกิดและฝึกฝนไประหว่างทาง ดังนั้นข้าเองก็ไม่ต้องการเรื่องยุ่งยาก แก๊งค์เสื้อคลุมก็ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อค้นหาทรัพยากรบางอย่าง ข้าสามารถปฏิบัติตามกฎของพระจันทร์ดับได้ แต่เจ้าจงอย่ามาก่อกวนข้า ไม่อย่างนั้นละก็....”

นาจิบรู้สึกโชคดีมากและก็ได้พูดอย่างไปว่ารวดเร็ว “ท่านโปรดไว้วางใจได้เลยขอรับ สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิก โดยสมาชิกแต่ละคนจะต้องจ่ายเหรียญคริสตัลม่วง 1 เหรียญต่อเดือน ท่านแก๊งค์เสื้อคลุม…มีสมาชิกประมาณ 10 คน ดังนั้นรวมเป็นจำนวน 10 เหรียญคริสตัลม่วงต่อเดือน”

เนื่องจากความกลัวที่เขามีต่อเอกิล ราคาที่เขาเสนอไปจึงเป็นจำนวนขั้นต่ำที่สุด เฉินรุยมองไปรอบๆและเห็นคนสวมเสื้อคลุมอยู่กันประมาณ 20-30 คน ดูเหมือนว่าไอ้ลิชตนนี้จะมีไหวพริบอยู่พอควร เพื่อรักษาความลึกลับของเขา เขายอมทนความเจ็บปวดโดยการขว้างเหรียญคริสตัลดำให้กับนาจิบ “นี่เป็นความเคารพที่ข้ามอบให้กับตระกูลคารอน จงอย่ามารบกวนข้าทั้งสิ้นสิบเดือน”

นาจิบรู้สึกดีใจมาก ที่จริงแล้วอลันขอให้พวกเขาคอยดูแลองค์กรในเมืองเท่านั้น สำหรับกฎของการคิดต้นทุน มันก็ได้มาจากคนที่รู้จักนาจิบ เงินส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้มาก็ถูกเก็บไว้ใช้เอง บางทีพวกเขาก็อาจจะต้องให้อลันไปบ้าง อลันเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลคารอน ดังนั้นเขาคงไม่ต้องการเงินจำนวนเล็กน้อยนี้หรอก ตราบเท่าที่ไม่มีปัญหา อลันก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง

ด้วยชื่อของคตระกูลคารอน มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับนาจิบที่จะทำอะไรหลายๆอย่าง อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเอกิลนั้นใหญ่จริง เขาไม่กลัวแม้แต่ตระกูลารอน ดังนั้นการกระทำของนาจิบก็ถือว่าดีอยู่พอควร

“ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจขอรับท่าน” นาจิบคำนับพร้อมกับเดงคิ “หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการความช่วยเหลือ เราจะทำให้อย่างดีที่สุดอย่างแน่นอน”

เฉินรุยพยักหน้าและไม่พูดอีก นาจิบจากไปพร้อมกับเดงคิอย่างรวดเร็ว คนแคระเฒ่าที่เห็นอย่างนั้นก็รีบบอกแก๊งค์เสื้อคลุมที่เหลือไปว่า “พวกเจ้าออกไปกันเลยเดี๋ยวนี้ จงอย่ารบกวนการพักผ่อนของท่านผู้นำ!”

คนแคระทมิฬและอิมป์ต่างก็สลายตัวไปทีละคน หลังจากเห็นพลังของหัวหน้แล้ว พวกเขาก็ตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก

คนแคระเฒ่าก็ได้พูดด้วยความเคารพไปว่า “นายท่านโปรดนั่งลงเถิด”

เฉินรุยไม่ได้พูดอะไรเลยพร้อมกับเดินเข้าไปในบ้านแล้วนั่งบนเก้าอี้ตรงกลาง

“นายท่าน…” คนแคระเฒ่าพยายามดึงเหรียญคริสตัลม่วงออกมาประมาณ 30-40 เหรียญ “ท่านอาจารย์ได้มอบเหรียญคริสตัลสีม่วง 3 เหรียญให้ข้า ดิดิก็ได้คืนกลับมา 38 เหรียญ ข้าขอนำมันถวายท่าน”

38 เหรียญคริสตัลสีม่วง? ใจของเฉินรุยกระตุกเล็กน้อยและเขาก็ได้ถามไปว่า“ทำไมเพื่อนของข้าบอกว่า เมื่อวันก่อนเจ้ามีเงินเพียง 10 เหรียญเท่านั้น”

“คืออย่างนี้นะขอรับนายท่าน” คนแคระเฒ่าคิดว่าความสัมพันธ์ของนายท่านกับเลขาคงใกล้ชิดกันจริงๆ "ท่านเฉินรุยพูดถูกแล้วขอรับ เมื่อวานนี้มีเพียง 14 แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ข้าได้เล่นพนันที่สนามประลองและได้กลับมา 19 เหรียญ เมื่อรวมกับ 5 เหรียญที่ได้รับวันนี้ ก็มีทั้งหมด 38 เหรียญ ได้โปรดนำไปดูและเอามันไปเถิดขอรับนายท่าน”

เมื่อเห็นคนแคระเฒ่าอธิบายอย่างละเอียด เฉินรุยก็ถามไปอีกว่า “วันนี้มีอะไรกันในสนามประลองงั้นเหรอ?”

เมื่อเห็นนายท่านของเขาไม่รับเงิน คนแคระเฒ่าก็ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก เขาจึงตอบอย่างระมัดระวังไปว่า “สนามประลองมีการต่อสู้ทุกๆวันขอรับ สามารถเดิมพันข้างผู้แพ้หรือผู้ชนะก็ได้ ข้าได้ยินมาว่าสนามประลองแห่งนี้เป็นพื้นที่ๆมีชีวิตชีวาที่สุดในเมืองพระจันทร์ดับแล้วขอรับ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันค่อนข้างเงียบมาก นอกจากว่าจะมีการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่อย่างการประลองปรมาจารย์และศึกชิงเวหาครั้งก่อน ผู้ชมทั่วไปก็จะมีน้อยกว่า 30% ของพื้นที่การแข่งขันขอรับ” เฉินรุยเคยไปที่สนามประลองสองครั้ง ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเวทีนั้นใหญ่มาก หากเต็มก็สามารถรองรับผู้คนได้หลายหมื่นคน แม้ว่ามันจะน้อยกว่า 30% แต่ก็ยังมีคนมากกว่าหนึ่งพันคน

เฉินรุยสนใจในสนามประลองที่ได้ยินจากคนแคระเฒ่ามาก หลังจากถามคนแคระเฒ่าแล้ว เฉินรุยก็พบว่าผู้จัดการของสนามประลองนั้นเป็นหนึ่งในสามของข้ารับใช้โจเซฟ อรัค ทุกคนที่มีความแข็งแกร่งและความมั่นใจสามารถลงทะเบียนแข่งขันได้ ผู้ชนะการต่อสู้จะได้รับรางวัลจำนวนมากและผู้แพ้ก็ได้รางวัลเล็กน้อย การต่อสู้แบบนี้ค่อนข้างอันตราย เพราะมันเสี่ยงชีวิตและมีรายงานผู้เสียชีวิตเกือบทุกวัน

เมื่อคืนก่อน มังกรพิษได้บอกว่าคุณภาพพลังของเฉินรุยเริ่มคงตัวและการพัฒนาการเริ่มชะลอตัวลง เป็นการดีที่สุดที่จะปรับปรุงประสบการณ์ของเขาและกระตุ้นศักยภาพภายในของเขาผ่านการต่อสู้จริง นั่นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุดในการพัฒนาพลัง

เฉินรุยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ได้ตัดสินใจ เขากล่าวไปว่า“เพื่อนมนุษย์ของข้าได้พูดถึงความพยายามของเจ้าต่อหน้าข้าแล้ว เนื่องจากว่ามันเป็นอย่างนี้ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้า หากเจ้าสามารถตอบสนองความต้องการของข้าได้ เจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของข้าและแก๊งค์เสื้อคลุมก็จะได้รับการคุ้มครองจากพลังของข้า”

คนแคระเฒ่ามีความสุขมากและเสนอเหรียญคริสตัลสีม่วงทั้งมือของเขาให้เฉินรุยอีกครั้ง แต่เฉินรุยก็ไม่ยอมเอามันมา เขาหยิบเหรียญคริสตัลสีดำสองเหรียญออกมาและยัดเข้าไปในมือแทน “นี่คือเงินทุนสำหรับงานของเจ้า จงอย่าเอามันไปพนัน ข้าต้องการให้เจ้าทำงานสามอย่าง ก่อนอื่น จงใช้ประโยชน์จากแก๊งค์เสื้อคลุมเพื่อหาข้อมูลทุกอย่างในเมืองและรายงานให้ข้าทราบยามที่ข้าต้องการ สองเรียนรู้วิธีการทางธุรกิจและแบล็กเมล์ รวมถึงการเปิดสาขาของร้านค้า ประการที่สามจงรวบรวมศิลาเรืองแสงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งคุณภาพยิ่งสูงก็ยิ่งดีเท่านั้น มีวัสดุมากมายที่ข้าต้องการ แต่ข้าจะให้เพื่อนของข้าส่งรายชื่อให้เจ้าทีหลัง”

คนแคระเฒ่าไม่คิดเลยว่านายท่านผู้นี้จะไว้ใจมันมากขนาดนี้ ซึ่งเขายังมอบเหรียญคริสตัลสีดำอีก 2 อันให้มันอีก เวลานี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก“การทดสอบ” ครั้งก่อน มันคือการแต่งตั้งความรับผิดชอบที่สำคัญให้มันต่างหาก ในตอนแรกมันแค่ต้องการคนที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องมันจากการถูกรังแก ตอนนี้ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของมันจะถูกต้อง ขอแค่มีนายท่านเอกิล แก๊งค์เสื้อคลุมก็จะไม่ใช่เพียงเปลือกหอยว่างเปล่า แต่มันยังสามารถเติบโตได้มากกว่านี้

สำหรับการทำธุรกิจ มันก็เป็นจุดแข็งของคนแคระเฒ่าผู้นี้มาก ดูเหมือนว่านายท่านผู้นี้จะเห็นถึงพลังที่แฝงในตัวของมัน เขานั้นก็ได้โค้งคำนับในทันที “ข้าจะทำตามสั่งของนายท่านอย่างแน่นอนขอรับ!”

เฉินรุยเองก็อยากที่จะไปดูสนามประลองเหลือเกิน ดังนั้นเขาจึงอยากที่จะออกไปแล้ว เขาจึงได้พูดไปว่า “เฉินรุยเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้มากที่สุดของข้า คำพูดของเขาคือคำสั่งของข้า ดังนั้นเจ้าต้องเคารพเขาเช่นเดียวกับที่เจ้าปฏิบัติกับข้า! ข้าจะไปฝึกฝนที่สถานที่ลับแล้ว หากมีสิ่งใดที่สำคัญในอนาคต ข้าจะส่งเขามาบอกผ่านเอง”

คนแคระเฒ่าเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับมนุษย์แล้ว เขาจึงได้พยักหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เห็นเจ้านายของเขาหันไปรอบๆแล้วพูดพร้อมกับกัดฟัน "แต่ว่า! ข้าไม่ต้องการได้ยินข่าวลือใดๆเกี่ยวกับลูกสาวของเจ้าที่เป็นภรรยาของข้าแล้ว ไม่งั้นข้าจะเป็นคนแรกที่ทำลายแก๊งค์เสื้อคลุมทิ้งซะ!”

เมื่อได้ยินนายท่านสั่งมา คนแคระเฒ่าก็ไม่มีทางเลือกที่จะปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง

หลังจากออกมาจากแก๊งค์เสื้อคลุม เฉินรุยก็ไม่ได้ถอดเสื้อคลุมออกในทันที เขานั้นเดินไม่หยุดจนกระทั่งมาถึงสนามประลอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด