ตอนที่แล้วบทที่ 43: แก๊งค์ผ้าคลุม! คนแคระทมิฬข่มขู่ท่านอาจารย์อันเลื่องลือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 45: การเจรจาต่อรอง

บทที่ 44: ศิลาเรืองแสงและข้อมูล


บทที่ 44: ศิลาเรืองแสงและข้อมูล

เหมือนกับที่กาก้าบอกมา เดงคิได้มาที่แก๊งค์เสื้อคลุมด้วยอาการบาดเจ็บและเขาก็โคตรจะสุภาพมาก อาณาจักรมารก็เป็นเช่นนี้แล คนที่แข็งแกร่งกว่ามีสิทธที่จะพูด ผู้แพ้จะยอมตายหรือได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น

เดงคิบอกว่าต้องการพบเอกิลไม่ใช่เพื่อแก้แค้น แต่เป็นตัวแทนของนายอำเภออลัน เพื่อที่จะทำให้แก๊งค์เสื้อคลุมเป็นองค์กรทางการในเมืองพระจันทร์ดับ ด้วยการจ่ายเหรียญคริสตัลเวทมนตร์เพียงเล็กน้อย แก๊งค์เสื้อคลุมก็จะสามารถทำงานได้อย่างอิสระในเมืองพระจันทร์ดับ ตราบใดที่มันไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่

เฉินรุยตระหนักแล้วว่าอลันคงคิดที่จะแอบควบคุม "องค์กร" ทั้งหมดในเมืองพระจันทร์ดับ ในแง่หนึ่งก็อาจถือได้ว่าเป็น "การสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่กับโจร" ข้อมูลใหม่นี้ได้ให้อะไรกับเขามากมายเลยทีเดียว ความคิดบางอย่างได้พุ่งตรงมายังจิตใจเขา แต่เขาต้องการเวลาในการคัดแยกพวกมันเสียก่อน แต่เรื่องวันนี้ยังคงอยู่ที่เรื่องของการทดสอบวัสดุเวทมนตร์

“เอกิลกำลังฝึกซ้อมในช่วงเวลานี้ เขาคงจะว่างในอีกสองวัน ข้าจะส่งข้อความถึงเขาให้เอง บอกให้เดงคิมาพบกันที่นี่ในเวลากลางคืนหลังจากวันพรุ่งนี้แล้วกัน”

คนแคระเฒ่าเองก็กังวลอย่างมาก แต่เขาดีใจมากเมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินรุยบอกมา “ท่านเฉินรุย ขอบคุณท่านอย่างมากที่ช่วยส่งข้อความให้!”

"มีอีกหนึ่งอย่าง!" เฉินรุยย้ำพร้อมกับกัดฟันแล้วก็พูดไปว่า“ถ้าเจ้าไม่อยากให้เอกิลโกรธ จงอย่าให้ลูกสาวของเจ้าเสนอตัวไปเป็นภรรยาของเขาอีก!”

คนแคระเฒ่าพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น ดวงตาเล็กๆของเขาก็ได้เปล่งประกายและเขาก็มองเลขามนุษย์ด้วยความหวัง นี้เริ่มจะทำให้ขนของเฉินรุยตั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่คนแคระเฒ่าจะพยายามขายลูกสาวให้เฉินรุย เฉินรุยก็ได้วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วจากสำนักงานใหญ่ของแก๊งค์เสื้อคลุม

เฉินรุยรีบวิ่งกลับไปที่ห้องทดลองของเขาในทันที เขารีบเข้าไปในอารามเทพช้างเผือกของระบบสุดยอดอย่างรวดเร็ว บนพื้นที่โล่งด้านนอกของอารามเทพช้างเผือก มันได้มีการเพิ่มอาคารคลังสินค้าไว้ด้วย ซึ่งก็ได้มีแสงไฟบนบัลลังก์ เป็นตัวแทนบ่งบอกว่ามันคือคลังเก็บของ มันถูกทำให้เห็นเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสองมิติ โดยแสดงว่ามีอะไรโชว์อยู่ข้างในบ้างและบอกความจุในตอนนี้ นอกจากนี้ มันยังมีฟังก์ชั่นการจำแนกอัตโนมัติ ซึ่งสะดวกมากมาย

เฉินรุยก็ออกจากระบบสุดยอดและกลับไปที่ห้อง เขาลองคิดในใจของเขาแล้วเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในห้องก็ถูกเก็บไว้ทั้งหมด เมื่อรวมกับกระเป๋าสัมภาระแล้ว มันใช้กล่องขนาดเล็กเพียง 3 กล่องเป็นภาพประกอบ ซึ่งประมาณ 1% ของพื้นที่ทั้งหมด ดูเหมือนว่าที่เก็บของนี้จะมีขนาดใหญ่มาก นอกจากนี้ มันจะขยายโดยอัตโนมัติเมื่อระดับดาววิวัฒนาการเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดใช้งานพื้นที่เก็บข้อมูลแล้ว เขาก็เหลือออร่าเพียง 570 จุด โชคดีที่มีวัสดุเวทมนตร์มากมายให้ทดลองใช้ดู

เฉินรุยเริ่มลองใช้มันทีละชิ้น หลังจากทดสอบพวกวัสดุทั่วไป ก็ได้ออร่ามาราวๆ 20-80 จุด ชิ้นส่วนของศิลาเถาวัลย์คุณภาพดีได้มาถึง 160 จุด มันเป็นแหล่งออร่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว นอกเหนือจากนั้น ยังมีสามวัสดุที่ดีกว่าศิลาเถาวัลย์ ชิ้นแรกคือผลึกน้ำแข็งหยก ซึ่งเป็นวัสดุที่หายากมากที่ให้รัศมีถึง 850 จุด อย่างที่สองคือคริสตัลโลหิต ซึ่งให้สูงกว่าคริสตัลดำเสียอีก เนื่องจากความหายาก มันจึงไม่ได้ใช้เป็นสกุลเงินแบบคริสตัลสีดำหรือคริสตัลสีม่วง แต่ถูกจัดประเภทเป็นสินค้าพรีเมี่ยมโดยให้มากถึง 620 จุด อย่างสุดท้ายคือศิลาเรืองแสง ซึ่งเป็นวัสดุเสริมเวทมนต์ซึ่งให้ออร่าไปทั้งหมด 315 จุด

หลังจากการทดลองออร่าของเฉินรุยแล้ว เขามีทั้งสิ้นตอนนี้ 4015 จุด ผลึกน้ำแข็งหยกและคริสตัลโลหิตนั้นหายากมาก ราคาของคริสตัลน้ำแข็งชิ้นหนึ่งคือ 1,000 เหรียญคริสตัลสีดำและคริสตัลโลหิตคือ 600 เหรียญคริสตัลสีดำ การชื้อพวกมันดูไม่คุ้มค่าเลยสักนิด อย่างไรก็ตาม ศิลาเรืองแสงเป็นข้อยกเว้น ศิลาเรืองแสงเป็นวัสดุที่ใช้ในการประดิษฐ์ มันส่องแสงสลัวๆและมีราคาต่ำกว่าศิลาเถาวัลย์ ซึ่งใช้แค่เหรียญคริสตัลสีดำเพียง 10 เหรียญต่อชิ้น บทบาทของมันคือเป็นตัวยับยั้งและสร้างเสถียรภาพ มันถูกใช้โดยทั่วไปเพื่อจำกัดการหดตัวของภาชนะบรรจุเวทมนตร์บางอย่าง อีกทั้งยังสามารถใช้ศิลาเรืองแสงขนาดเท่ากำปั้นได้หลายครั้ง ดังนั้นความต้องการจึงไม่สูงนัก เนื่องจากว่ามีพวกอุปกรณ์คุณภาพพิเศษอยู่ หลายคนจึงมักใช้งานฝีมือที่สร้างด้วยเวทมนตร์อยู่แล้ว โดยทั่วไป มันถือว่าเป็นสินค้าที่ค่อนข้างแปลกใหม่ ร้านขายของเวทย์มนตร์โดยทั่วไปมีมันเพียงไม่กี่ชิ้นในสต็อก

จากมุมมองของเรื่องออร่าแล้ว ราคาของผลึกน้ำแข็งหยกและคริสตัลโลหิตสูงเกินไป ในขณะที่ศิลาเรืองแสงควรมีราคาสูงกว่านี้สิโว้ย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาวิธีที่เอาศิลาเรืองแสงมาเสียแล้ว

เฉินรุยเปลี่ยนวัสดุพวกนั้นให้เป็นผงและทิ้งไว้ในที่เก็บของ จากนั้นเขาก็ได้ออกจากระบบสุดยอดอีกครั้ง ด้วยจำนวนออร่ามากกว่า 4,000 จุด ตอนนี้ออร่าของเขาน่าจะสูงกว่าตอนที่ได้รับศิลาเถาวัลย์กว่า 60 ชิ้นแล้ว ถึงกระนั้น มันก็ไม่สามารถใช้งานได้ง่าย เพราะตอนนี้มันไม่ใช่เวลาไปฝึกอยู่สนามฝึกซักหน่อย ดังนั้นเขาจึงได้แต่เก็บออร่าให้มากขึ้นและใช้ประโยชน์จากมังกรพิษปากรีโลให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับพลังแห่งดวงดาวมากขึ้นด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน คากูรอนก็ได้มาที่ห้องทดลองพร้อมเอกสารที่มีข้อมูลที่เฉินรุยถามจากเชีย หัวหน้าทหารของจักรวรรดิส่งข้อความจากเชียมาด้วยว่า “อย่าลืมทำลายเอกสารหลังจากที่จำทั้งหมดแล้ว”

เฉินรุยพลิกเอกสารและตระหนักได้เลยว่าทำไมเชียจึงระมัดระวังมากขนาดนี้ มันบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆในดินแดนพระจันทร์ดับ รวมถึงการเงินการทหาร กองกำลัง ครอบครัวและสมาชิกผู้มีอิทธิพล หลังจากวิวัฒนาการเริ่มต้นความทรงจำของเขาก็พัฒนามากขึ้นกว่าเดิมโคตร สมองของเขาเป็นเหมือนฐานข้อมูลคอมพิวเตอ ร์สามารถบันทึกข้อมูลทุกชิ้นได้อย่างแม่นยำ เขาอ่านรายละเอียดเอกสารและจดจำมันทุกอย่างได้ในทันที สำหรับเอกสาร เขาไม่ได้ทำลายมันทิ้ง เขาเก็บมันไว้ในที่เก็บของแทน เพราะมันไม่ได้ใช้พื้นที่มาก

เฉินรุยระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับข้อมูลของโจเซฟ โจเซฟมีอายุ 300 ปีแล้ว แต่สำหรับอายุนี้ถือว่าเป็นวัยกลางคนในเผ่ามารที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น เขาเป็นบุตรชายของจ้าววิญญาณสีชาดจอร์จ ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของตระกูลอัลวิน กระนั้นเขาก็ไม่ได้เป็นทายาททันที เพราะจอร์๗มีลูกชายอีกสองสามคน ในบรรดาเด็กๆ สิ่งที่คุกคามที่สุดของโจเซฟคือลูกชายคนสุดท้องของจอร์จที่มีชื่อว่า คานิตา โจเซฟมาที่เมืองพระจันทร์ดับ เพื่อหาความสำเร็จและเพิ่มโอกาสได้เป็นทายาท แม้ว่าคานิตาจะอยู่ห่างไกลจากจ้าววิญญาณสีชาด แต่เขาก็ต่อสู้กับโจเซฟไม่ขาดสาย จอร์จไม่ได้หยุดพวกเขา เนื่องจากความอยู่รอดของพวกเขาก็เป็นประเพณีของอาณาจักรมาร การแข่งขันกันก็ช่วยให้ตระกูลของพวกเขาผ่านมาหลายชั่วอายุคน

ในอาณาจักรมาร ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านั้นแล้ว มันก็เหมือนกันสำหรับราชวงศ์ เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่พ่อของอาเธน่าให้นายพลจอร์จได้ให้การสนับสนุนเชียต่อสาธารณชน เป็นเพราะเจ้าชายออบซิเดียนยังไม่ได้เข้าใจ“ดาบนางฟ้าตกสวรรค์” อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกำจัดลูกหลานของเจ้าพระอาทิตย์เที่ยงคืนและได้แต่ปล่อยให้ตระกูลลูซิเฟอร์รอดไปทั้งอย่างนี้ นั่นทำให้ตระกูลลูซิเฟอร์เริ่มเดินไปบนเส้นทางเหมือนราชวงศ์อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเจ้าชายออบซิเดียนได้รับการยอมรับจาก“ดาบนางฟ้าตกสวรรค์” นายพลจอร์จก็จะไม่สามารถปกป้องเชียได้อีกต่อไป เว้นแต่เขาจะเต็มใจถูกเรียกว่าเป็นคนทรยศและเสี่ยงต่อการถูกฆ่าล้างโคตร

สำหรับอลัน เขาเป็นลูกชายคนเดียวของปรมาจารย์ตระกูลคารอน ลีกู ในตอนแรกค ตระกูลคารอนก็เหมือนกับนายพลจอร์จที่สนับสนุนกริมและสายเลือดของเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากการตายของกริม เขาเริ่มหันไปรับใช้เจ้าชายออบซิเดียนแทน ความแข็งแกร่งของอลันในตอนนี้อยู่ในจุดสูงสุดของมารระดับกลาง มันคล้ายกับอาเธน่าในตอนแรก แต่ตอนนี้อาเธน่าได้เลื่อนขั้นเป็นมารระดับสูงและทิ้งห่างเขาไปไกลโข แม้ว่าจุดสูงสุดของมารระดับกลางและมารระดับสูงที่พึ่งเลื่อนขั้นจะห่างกันไม่กี่ข้าว แต่ความแตกต่างของระดับนั้นกว้างขวางเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่าอลันไม่สามารถสู้อาเธน่าได้เลย อย่างไรก็ตาม อลันมีคนแข็งแกร่งเคียงข้างอยู่มากมาย ดังนั้นจึงประมาทไม่ได้เลย

แต่เดิมเมืองพระจันทร์ดับนั้นเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงและคึกคัก จึงไม่ขาดเรื่องอำนาจทางเศรษฐกิจไปเลย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการทำลายล้างจากสงครามเมื่อ 400 ปีก่อน หลายตระกูลจึงได้ย้ายไปที่แห่งอื่น แต่รากฐานที่สะสมมานานหลายปียังคงอยู่ที่เดิม ตระกูลไซฟูและตระกูลเมลลอน เป็นกองกำลังตัวแทนของตระกูลโบราณ ตระกูลไซฟูจงรักภักดีต่อเชีย เมื่อสองปีที่แล้ว ท่านผู้เฒ่า ลูกชายของคาร์เตอร์ ทิมได้ไปสมคบคิดกับโจเซฟว่าจะย้ายไปยังพื้นที่อันตรายของภูเขาซีหลาง ในฐานะเจ้าหน้าที่ทำเหมืองและก็ได้เสียชีวิตไปโดยไม่เหลืออะไรเลย เป็นผลให้ผู้เฒ่าคาร์เตอร์เกลียดโจเซฟและตระกูลอัลวินถึงที่สุด ส่วนตระกูลเมลลอนเป็นนักฉวยโอกาสที่อยู่ข้างๆโจเซฟ ตระกูลเล็กๆตระกูลอื่นต่างก็แบ่งแยกตามฝ่ายกันไป

ข้อมูลนี้มีประโยชน์มาก อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้โจเซฟและอลันมีความขัดแย้งภายในกัน เขาไม่สามารถเริ่มต้นกับโจเซฟได้ ดังนั้นบางทีเขาอาจเริ่มจากอลันก่อน กุญแจสำคัญคือการหาโอกาส นอกจากนี้เขายังสามารถใช้น้องชายตัวซวยของโจเซฟ แต่เขาไม่ได้มีแผนที่ดีนักในตอนนี้

เชียเองก็เป็นคนรอบคอบมาก เพื่อหลีกเลี่ยงบางคนที่แอบเข้าไปในห้องทดลองและมาสอดส่องไวเวิรน นางจึงได้เพิ่มความปลอดภัยด้านนอกพระราชวังมากขึ้น สถานการณ์นี้ทำให้รอยซ์เริ่มเชื่อขึ้นไปอีกว่าปรมาจารยดาร์คเอลฟ์กำลังปรุงยาระดับปรมาจารย์ในตำนาน

เฉินรุยไม่รู้ว่าสิ่งที่บังเอิญจะทำให้เกิดข้อดีได้เช่นเดียวกัน ซึ่งวันนี้เขายังคงขี่ไวเวิร์นไปที่ทะเลสาบสีเงินเพื่อฝึกอบรมพิเศษ จากนั้นก็จะไปทำงานประจำเป็นเลขาในตอนบ่ายและพูดคุยกับเชียเกี่ยวกับสถานการณ์ของเมืองพระจันทร์ดับ

สองวันต่อมา เฉินรุยจำได้ว่าจะไปที่แก๊งค์เสื้อคลุม คืนนี้เขาก็เริ่มเตรียมชุดของเขา ไม่ว่ายังไง เอกิลก็ได้เป็นหัวหน้าแก๊งค์เสื้อคลุมแล้ว

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ที่ปากทางเข้าของ "สำนักงานใหญ่" ของแก๊งค์เสื้อคลุม คนแคระเฒ่าดิดิกำลังเดินไปเดินมาอย่างกังวลใจ เขาได้เชิญเดงคิมาแล้วและเขาอาจจะมาตอนไหนก็ได้ แต่นายท่านเอกิลยังไม่โผล่มาเลย มันคงเป็นปัญหาหากนายท่านของเขาไม่มา หากไม่ใช่เพราะเลขาบอกว่าให้เก็บเป็นความลับ เขาคงพุ่งตรงไปยังห้องทดลองเพื่อไปหามนุษย์นั้นแล้ว

หลานชายของคนแคระเฒ่า กาก้าก็รีบรายงานไปว่า “ท่านลุงดิดิ เดงคิและคนของเขาได้มาถึงทางเข้าแล้วครับ”

“นายท่านยังไม่มา เราควรทำยังไงกันดี!” เมื่อคนแคระเฒ่าเพิ่งพูดจบ เขาก็ได้เห็นกาก้ามองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ

คนแคระเฒ่าหันหลังและก็มองเห็นชายคนหนึ่งที่ปรากฏอย่ข้างหลังเขา จากนั้นเขาก็ก้าวถอยหลังไม่กี่ก้าวด้วยความกลัวและล้มลงกับพื้น

“ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง” เสียงเย็นชาและเสียงแหบเล็กน้อยได้ดังขึ้น

คนแคระเฒ่ามองไปที่ชายที่สวมเสื้อคลุมที่ปกปิดใบหน้าและมันก็รู้สึกว่าคุ้นเคยกับร่างตรงหน้าอย่างมาก แต่เสียงนั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย เขาถามกลับไปด้วยความไม่แน่ใจนัก“น…นายท่าน?”

“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกข้าอย่างนั้น ข้าไม่ใช่นายท่านของเจ้า” ชายเสื้อคลุมเหยียดนิ้วและเล็งไปทางคนแคระเฒ่า เขาพูดอย่างเยือกเย็นอีกว่า “ที่จริงแล้ว แค่เจ้าแอบอ้างชื่อของข้าในการสร้างแก๊งค์เสื้อคลุมก็เพียงพอแล้วที่ข้าจะทำให้เจ้าแตกกระจายเป็นชิ้นๆ!”

คนแคระเฒ่าจำได้ว่าท่านี้เป็นท่าปล่อยลูกบอลแสงอันน่าหวาดกลัว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะสงสัยอีกต่อไปเลย เขาได้แต่กลัวและขอร้องออกมา “ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ดิดิแค่อยากทำเพื่อนายท่าน!”

"ฮึ่ม!" ชายเสื้อคลุมค่อยๆสะบัดนิ้ว “หลีกทางไป ให้ข้าจัดการกับเจ้าพวกขี้แพ้ก่อน จากนั้นเจ้าจะเป็นรายต่อไป”

คนแคระเฒ่ารีบยืนและแสดงความเคารพอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นเอง เสียงของเดงคิก็ได้ดังขึ้นจากทางเข้า "หัวหน้าของพวกเจ้าอยู่ไหน?"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด