ตอนที่แล้วบทที่ 29: มังกรพิษผู้แห้งเหี่ยว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31: ศึกตัดสิน! แผนการร้ายของพวกน่ารังเกียจ

บทที่ 30: เริ่มการฝึกอบรมพิเศษ


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 30: เริ่มการฝึกอบรมพิเศษ

“เอาเลย ข้าขอทดสอบเทคนิคลับนั้นทีซิ” จากนั้นปากลีโรก็ได้กลืนของทุกอย่างในหม้อไฟ พร้อมกันนั้นเขาก็ได้หันไปทางด้านตรงข้ามกับเฉินรุย

"ระวังตัวด้วยล่ะ!" หลังจากเอาชนะเดงคิได้อย่างง่ายดายในครั้งก่อน เฉินรุยก็อยากจะทดสอบอีกเช่นเดียวกัน เขาเปิดฝ่ามือแล้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนเข้ม “'ยิงแสงสว่าง' !”

ทันใดนั้นก็ได้มีแสงสีขาวขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา ดวงตาของปากลีโรสว่างขึ้น แต่เขากลับไม่ได้หลบไปไหน มือซ้ายของเขาตวัดเร็วปานสายฟ้าและเขาก็สามารถจับ 'ยิงแสงสว่าง' ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็คว้ามันไว้ในมือแล้ว“ฟุบ!” ลูกบอลแสงสว่างลูกใหญ่ได้หายไปราวกับมันไม่เคยมีอยู่

แม้ว่าเฉินรุยจะรู้ว่า 'ยิงแสงสว่าง' ไม่สามารถทำอันตรายต่อปากลีโรได้ แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเพียงของเล่นในมือของปากลีโร พอเป็นเช่นนี้ เฉินรุยจึงได้เปิดใช้งานทักษะ 'ดวงตาวิเคราะห์' อย่างลับๆ พอเขาประเมินมังกรพิษแล้วมันก็ขึ้นว่า “ไม่สามารถประเมินได้”

อย่างไรก็ตาม ปากลีโรที่สามารถรับ 'ยิงแสงสว่าง' ได้อย่างง่ายดายกลับรู้สึกประหลาดใจ เขานั้นเห็นรอยแตกเล็กๆสองสามส่วนบนผิวหนังที่แข็งกระด้างของเขาและยังมีเลือดบางส่วนสีเขียวไหลออกมาด้วย

“แม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังไม่พร้อมเต็มที่ แต่การโจมตีตของเจ้าช่างพิเศษมาก มันไม่เหมือนกับพลังบริสุทธิ์หรือเวทมนตร์ พลังทำลายล้างของมันอยู่เหนือทั้งสองอย่างและยังสามารถทำลายการป้องกันของข้าได้” ปากลีโรดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างและท่าทางของเขาตอนนี้ดูสง่างามเป็นอย่างมาก เขากล่าวอีกว่า“เฉินรุย ความแข็งแกร่งของเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ข้าชักเชื่อแล้วว่าเจ้าสืบทอดมรดกจากปรมาจารย์มาจริงๆ ในความคิดของข้า ปรมาจารย์วูคองคงไม่ใช่เพียงนักเล่นแร่แปรธาตุระดับปรมาจารย์ธรรมดา พลังการต่อสู้ของเขามีแนวโน้มที่จะเป็นถึงกึ่งพระเจ้าหรือสูงยิ่งกว่านั้น!”

เฉินรุยได้แต่ส่ายหัว แค่ระดับกึ่งพระเจ้างั้นเหรอ? เขาน่ะอยู่เหนือไปกว่าสามอาณาจักรแล้วและเขาก็ไม่สนใจธาตุทั้ง 5 ด้วย และมีเพียงปรมาจารย์คนนี้เท่านั้นที่ทำได้

หลังจากฟังคำอธิบายของเฉินรุยเกี่ยวกับ "มรดกของปรมาจารย์" และความสามารถในการตื่นแล้ว ดวงตาของปากลีโรก็เบิกกว้างขึ้น "มรดกเช่นนี้คล้ายคลึงกับการตื่นขึ้นของสายเลือดราชวงศ์ ยิ่งผ่านไปนานยิ่งทรงพลังมาก ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเจ้า มันคงจะแข็งแกร่งระดับเดียวกับมารระดับกลาง เพียงแต่อาจอ่อนแอกว่าเล็กน้อย”

เมื่อเฉินรุยได้ยินว่าเขามีความแข็งแกร่งระดับกลาง ตัวเขาก็ดูผิดหวังเล็กน้อย แต่พอปากลีโรเห็นหน้าตาของเขา เขาก็พูดด้วยความโกรธ “เจ้าควรจะพอใจแล้ว! เจ้าในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนกับเกิดขึ้นมาพร้อมกับพลังมารระดับกลางแล้ว นอกจากนี้ เจ้ายังเป็นเพียงมนุษย์ การดึงพลังออกมา ศักยภาพของเจ้าย่อมดีกว่ามารธรรมดา แม้แต่สายเลือดราชวงศ์ยังมิอาจทัดเทียมกับเจ้าได้! ฮึ่ม ยกเว้นมังกรแหละนะ ลูกมังกรบางตนเกิดมาด้วยความแข็งแกร่งน้อยกว่าราชามารเพียงน้อยนิด”

เฉินรุยได้แต่เบ้ปาก แล้วถ้าพวกเขาไปอยู่ในระดับราชามารเล่า? การเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของมังกรนั้นต้องใช้เวลาถึงหลายพันปี นอกจากนี้แล้ว จำนวนประชากรของมังกรก็ต่ำมากๆ ถึงกระนั้นก็ตาม ปากลีโรเองก็มีจุดเริ่มต้นที่ค่อนข้างดีกว่าคนอื่นมาก อนาคตของเขาดูสดใสยิ่ง

ปากลีโรเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พยายามไม่ให้เฉินรุยคิดไปไกลมากนัก“ถึงแม้ความแข็งแกร่งของเจ้าจะตรงตามมาตรฐานขั้นต่ำของมารระดับกลาง แต่ประสบการณ์การต่อสู้และทักษะของเจ้าเข้าขั้นแย่มาก ดูเหมือนว่าเจ้ายังไม่สามารถใช้ความแข็งแกร่งได้เต็มประสิทธิภาพ เจ้าสามารถกลั่นแกล้งมารที่มีระดับต่ำกว่าเจ้าได้ แต่หากเจ้าพบเข้ากับมารระดับกลางที่มีความแข็งแกร่งเท่ากัน เจ้าจะแพ้อย่างแน่นอน หากเจ้าต้องการฝึกฝนพลังอย่างรวดเร็วและปรับปรุงประสิทธิภาพการต่อสู้ของเจ้า เจ้าควรต้องเข้ารับการฝึกอบรมพิเศษซะ”

ความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมังกรพิษนั้นเทียบเท่ากับเจ้าแห่งมาร ซึ่งเรียกว่าเป็นระดับสูงที่สุดเลยก็ได้ เนื่องจากตราประทับและความแข็งแกร่งที่ลดลงมา เขาจึงมีพลังเพียงแค่ระดับราชามารเท่านั้น ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ใช่ตัวตนที่เฉินรุยจะสามารถต่อกรได้เลย

เฉินรุยพยักหน้า ดวงตาของเขามีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริง ความแข็งแกร่งนั้นล้วนแล้วแต่ถูกเห็นดีเห็นงามด้วยมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนๆก็ตาม แม้ว่าเขาจะตั้งรกรากอยู่ในเมืองเมืองพระจันทร์ดับมาพักหนึ่งแล้ว แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นเลย อลันมองว่าเขาเป็นศัตรูคนสำคัญ ส่วนความแข็งแกร่งของโจเซฟก็มากพอสมควร ในอนาคตคงจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งมากกว่านี้แน่ หากเขาไม่มีอำนาจพอ เขาก็จะถูกฆ่าอย่างง่ายดาย

แม้ว่าการใช้ปัญญาจะแก้ปัญหาได้ชั่วคราว แต่ปัญญาไม่สามารถต่อกรกับพลังที่แข็งแกร่งมากได้ ดังนั้นแล้ว พลังจึงเป็นรากฐานของการอยู่รอด ในตอนนี้ ระบบสุดยอดได้ให้โอกาสเขาแล้ว เขาก็จะต้องใช้ความพยายามในการคว้ามันมา!

เมื่อเขามีอำนาจและใช้มันร่วมกับสติปัญญา นั่นสิถึงจะเป็นวิถึแห่งราชัน

ทัศนคติที่แน่วแน่ของเฉินรุยได้ทำให้ปากลีโรพอใจมาก แม้ว่าปากลีโรจะคิดว่าการที่เขาทำสัญญาชีวิตกับมนุษย์ผู้นี้จะเป็นตัวเขาที่ถูกหลอก แต่ตอนนี้ความคิดของมังกรพิษได้เปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์ผู้นี้ได้รับมรดกที่แข็งแกร่งจากอดีตกาลจริงๆและศักยภาพของเขานั้นไร้ขีดจำกัด ถ้าวันหนึ่งความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดและสามารถร่วมมือกับเขาได้ นี้สิถึงจะเป็นหุ้นส่วนกับเขาอย่างแท้จริง

"บูม! บูม!"

“ไอ้เวรปากลีโร! เจ้าลอบโจมตีข้าจริงๆงั้นเหรอ!”

จากนั้นมังกรพิษก็ได้หัวเราะเยาะขึ้นมา “ช่างทำตัวไร้เดียงสาเสียจริง เจ้าเก็บความเจ้าเล่ห์ของเจ้าไว้ที่ใดกัน? เจ้าคิดว่าจะมีใครให้เวลาเจ้าในการต่อสู้หรือไงกัน? อะไรก็ตามที่สามารถใช้ล้มศัตรูได้นั้นแหละคือความแข็งแกร่ง ใครจะไปสนใจว่ามันเป็นการลอบโจมตีกัน? ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าได้ลดพลังของข้าให้เทียบเคียงกับมารระดับกลางแล้ว ข้าไม่ฆ่าเจ้าแน่!”

“อั๊ยหยา! เราตกลงกันแล้วนะว่าจะไม่โจมตีที่หน้า!”

“ก็เจ้าโจมตีที่ขาหนีบของข้าก่อน! มังกรทุกตัวนี้มันน่ารังเกียจอย่างนี้เหรอฟร๊ะ!”

“…”

รูปแบบการฝึกของมังกรพิษนั้นง่ายมาก ไม่มีอะไรพิศดาร เขาแค่ทำสิ่งที่ดูจะเป็นประโยชน์มากที่สุด ภายใต้การที่ต้องตั้งรับในสถานการณ์อันแสนกดดัน นั้นแหละเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

หลังจากถูกปากลีโรทำให้ล้มลงหลายครั้ง เฉินรุยผู้ที่มีใบหน้าบวมก็เริ่มสงสัยว่ามังกรพิษนั้นจงใจหลอกเขา เขาจึงได้เริ่มด่าไป ปากลีโรไม่ได้สนใจมากนักและสนุกกับการทำหน้าที่ฝึกสอนซะเหลือเกิน

เขามีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทรมานคนอื่น

“ดึงความกล้าของเจ้าออกมาสิ! ยิ่งเจ้ากลัวเท่าใด เจ้าก็ยิ่งตายไวมากเท่านั้น!”

“รักษาจุดศูนย์ถ่วงของเจ้าให้เสถียร!”

“อย่าใช้ดวงตาตัดสิน! จงใช้ความรู้สึก!”

“…”

หลังจากผ่านการกระทำชำเราหลายครั้ง การพัฒนาของเฉินรุยในการต่อสู้ก็ดูจะเห็ฯได้ชัดมาก “อัลไคท์” เป็นระดับดวงดาวขั้นแรกและพื้นฐานที่สุด โดยมุ่งเน้นไปที่การฝึกพัฒนา“ร่างกาย” มันคล้ายกับ "การชำระล้างร่างกาย" ของวิวัฒนาการครั้งแรก แต่ถึงกระนั้น "การชำระล้างร่างกาย" ก็เหมือนกับการวิวัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือ การฝึกฝนทักษะ การใช้ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองและดับและพัฒนาร่างกาย

แม้ว่าเฉินรุยจะมีพลังที่แข็งแกร่งในร่างกายของเขา แต่เขากลับไม่สามารถควบคุมมันได้ ระหว่างการต่อสู้กับเดงคิ เขาก็ได้พึ่งพาพลังอันสุดยอดของเขาอย่าง 'ยิงแสงสว่าง' สำหรับตอนนี้ ภายใต้การฝึกอบรมอันแสนเข้มขนกับปากลีโร พลังอันยิ่งใหญ่ของเขาก็ค่อยๆทะลวงเปลือกของมันออกมา มันค่อยๆกระจายไปทั่วร่างกายของเขา เขาสามารถรู้สึกถึงกระแสพลังดวงดาวได้อย่างชัดเจน

พลังดวงดาวมีศูนย์กลางอยู่ที่ส่วน "อัลไคท์" และในตอนนี้มันกำลังหมุนวนไปทั่วร่างกายของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่เขาสามารถเข้าใจจังหวะของการหมุนเวียนนี้ได้ เขาก็จะสามารถใช้พลังดวงดาวได้อย่างอิสระ

หลังจากรู้สึกถึงมันแล้ว ตัวเฉินรุยก็เริ่มจะมีชีวิตชีวามากขึ้น ความเจ็บปวดในร่างกายของเขาดูเหมือนจะลดลงมากและเขาก็เริ่มที่จะตั้งใจฝึกมากขึ้น ปากลีโรที่ไม่รู้ว่ามนุษย์ผู้นี้มีคุณสมบัติ 'ดวงดาว' อยู่ เขาจึงได้แต่รู้สึกใจมาก ในตอนนี้การฝึกฝนของเขาดูเหมือนจะไม่สามารถรับขีดความจำกัดความแข็งแกร่งของเฉินรุยได้แล้ว ไม่คิดเลยว่าความอดทนและความสามารถในการฟื้นฟูของมนุษย์ผู้นี้จะมากเกินเหนือจินตนาการ แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ยังคงแข็งแรงอยู่ นอกจากนี้ ความเร็วในการเข้าใจและความก้าวหน้าของเขาก็ยังค่อนข้างน่าทึ่งมาก ทั้งการตอบสนองและการตอบโต้สวนกลับมาก็ดูจะพัฒนาขึ้นพอสมควร

มีอีกจุดหนึ่งที่แปลก โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเผชิญกับศัตรูที่มีระดับสูงกว่าตัวเอง ย่อมมีแรงกดดันอยู่เสมอ คนที่มีความแข็งแกร่งต่ำกว่าจะไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดของตนได้ มังกรพิษเองก็ได้ลองสับเปลี่ยนพลังเป็นมารระดับสุดยอด แต่กฏนี้ดูเหมือนจะไม่มีผลกับเฉินรุย

มังกรพิษได้พยายามกดดันโดยการกระแทกเฉินรุยลงกับพื้นอีกครั้ง และในตอนนี้เขาก็ได้ยิ้มออกมา: ยิ่งคู่หูในอนาคตของเขาแข็งแกร่งเท่าใด มันก็ยิ่งดีมากเท่านั้น อนาคตของมนุษย์ผู้นี้มันคุ้มค่าที่เขาจะเฝ้าคอยดู!

เมื่อมนุษย์ไม่สามารถลุกขึ้นมาจากพื้นได้ ปากลีโรก็ได้บอกว่าจบการฝึกพิเศษเพียงเท่านี้ แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะดูน่าสังเวชมาก แต่เฉินรุยก็ได้กำไรไม่น้อยเลยทีเดียว พลังแห่งดวงดาวของเขาค่อยๆเปลี่ยนจากการทำงานแบบติดตัวกลายเป็นการทำงานแบบเลือกใช้งาน ค่าประสบการณ์ซึ่งไม่เคยขึ้นเลยได้ขึ้นมาเป็น 1% แล้ว เรียกได้ว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลย ดูเหมือนว่าเขาจำเป็นที่จะต้องฝึกพิเศษอีก

แต่ในตอนที่เขาจะจากไป มังกรพิษก็ได้ทำท่าทางราวกับว่าเมื่อตะกี้มันเป็น “การต่อสู้อย่างง่าย ๆ” นั้นจึงทำให้เฉินรุยรำคาญพอสมควร

ระหว่างทางกลับ มีเพียงเขาเท่านั้นที่จำได้ว่าเขานั้นมุ่งมั่นในการฝึกพิเศษมากเกินไปจนลืมเกี่ยวกับเรื่องเรียนรู้จารึกไปเสียสนิท เนื่องจากเขาไม่เข้าใจคำของจารึกสุดท้ายที่เขาเรียนรู้ไป เขาจึงกะว่าค่อยมาเรียนครั้งหน้าละกัน แค่กำไรในวันนี้ก็มากพอสมควรแล้ว

ผลการฟื้นฟูของ 'ดวงดาว' ก็ดีพอสมควร นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้เขาทนการฝึกฝนพิเศษของมังกรพิษได้เป็นเวลานาน แน่นอนว่ามังกรพิษไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดของเขา เมื่อแรดสามเขาพาเขามาถึงเมืองพระจันทร์ดับ เฉินรุยก็หายเป็นปกติ

เมื่อกลับไปที่ห้องทดลอง เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าอาเธน่าและอลิซกำลังรอเขาอยู่นานแล้ว

ไม่ใช่ว่าอาเธน่าไม่อยู่เหรอเมื่อสองวันก่อน? อ้อจริงสิ วันนี้เป็นวันที่ต้องไปเอา "ยาแก้พิษ" แต่ทำไมอลิซถึงมาด้วยล่ะ? นางรู้เรื่องของ "พิษ" จากอาเธน่างั้นเหรอ?

ในตอนนี้อาการบาดเจ็บของเฉินรุยเกือบจะหายไปหมดแล้ว แต่รอยช้ำบนใบหน้าของเขายังไม่ไปหมดและเสื้อผ้าของเขาก็ดูสกปรกมากจริงๆ เมื่ออาเธน่าเห็นหน้าตาของเขาก็รู้สึกโกรธในทันที“เฉินรุย ใครทำแบบนี้กับเจ้ากัน? ข้าจะไปฆ่ามัน!”

นางไม่สามารถเอาชนะคนนั้นได้หรอก…เฉินรุยได้แต่คิดในใจ เขาเห็นหน้าตาอันแสนบูดบึ้งของอาเธน่าก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน จากนั้นเขาก็ได้ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ล้มเอง”

“อย่าโกหกข้า เจ้าจะล้มจนมีสภาพแบบนี้ได้เช่นไรกัน?” อาเธน่าคิดอยู่ครู่หนึ่งและก็โกรธเป็นอย่างมาก “อลันส่งคนมาทำกับเจ้าแบบนี้งั้นเหรอ? ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจเสียจริง! ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นพวกแบบนี้ ข้าจะไปจัดการมันเพื่อล้างแค้นให้เจ้าเอง!”

"เดี๋ยวก่อน!" เฉินรุยหยุดอาเธน่าอย่างรวดเร็ว “อย่าไปเลย! มันไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด!”

“เจ้าเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้ตอนไหนกัน? เจ้าไม่กล้าพูดความจริงงั้นเหรอ?” เมื่ออาเธน่ากำลังจะด่าเฉินรุยเพราะความขี้ขลาดของเขา นางก็นึกถึงสติปัญญาและความกล้าหาญของมนุษย์คนนี้ในตอนที่เผชิญหน้ากับมังกรพิษ จากนั้นนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา อลันไม่ได้แข็งแกร่งกว่ามังกรพิษใช่มั้ย? คงจะมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน

“เรา เหล่ามนุษย์ได้มีคำกล่าวไว้ว่า แผนอันยิ่งใหญ่สามารถถูกทำลายได้โดยความอดทน เราไม่สามารถที่จะทำการใหญ่ได้หากหุนหันพลันแล่นมากเกินไป หากเจ้าไปหาเรื่องกับอลันในตอนนี้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเจ้าหญิงมาก” เฉินรุยสามารถโน้มน้าวผู้หญิงหัวรุนแรงคนนี้ได้ด้วยสถานการณ์ของเมืองพระจันทร์ดับและวางกรอบให้อลันไว้ด้วย เพราะยังไงเขากับอลันไม่มีทางที่จะคืนดีกันได้อยู่แล้ว

พอเขาพูดเช่นนั้นออกไป ความโกรธของอาเธน่าก็ค่อยๆจางหายไป อลิซซึ่งแต่เดิมก็อยากรู้อยากเห็นก็ได้พยักหน้าเห็นด้วย แต่นางก็ได้ถามขึ้นมาว่า “เฉินรุย ยังไงเจ้าก็เป็นคนฉลาดมาก ทำไมเจ้าถึงไปเข้าร่วมการประลองเวหาวันพรุ่งนี้เล่า?”

"การประลองเวหา? พรุ่งนี้งั้นเหรอ?" เฉินรุยตกใจมาก “ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าตัวเองไปเข้าร่วมล่ะ? ใครบอกเจ้าไปแบบนั้นกัน?”

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด