ตอนที่แล้วบทที่ 24: กลืนไม่เข้าคายไม่ออก! เริ่มได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 26: ออร่า? แร่ขยะของช่างเหล็ก

บทที่ 25: ยิงลำแสงและเอกิล


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 25: ยิงลำแสงและเอกิล

เฉินรุยไม่เคยฝึกมวยเลยในชีวิตก่อน ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาเรียกว่าไม่มีเลยซะจะดีกว่า ตอนแรกเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเขากำลังจะต่อสู้ การโจมตีที่รุนแรงของก็อบไม่โดนตัวเขาเลย จากนั้นเฉินรุยพุ่งไปที่ด้านหลังของก็อบและเตะมันไปที่ตูด ร่างของก็อบบินทะยานขึ้นฟ้าและตกลงบนพื้นอย่างจัง

เดงคิสังเกตเห็นได้เลยว่าชายที่ปกปิดบังตัวตนอยู่นี้ทรงพลังมาก เขาหยิบค้อนขึ้นมาพร้อมกับดึงร่างของลูกน้องของเขาขึ้นมาก่อนที่จะก้าวออกมาข้างหน้า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าไม่เคยได้ยินนามของข้า เดงคิแห่งเมืองพระจันทร์ดับงั้นรึ? หากเจ้าไม่ต้องการตกตายภายใต้ค้อนของข้า ก็จงไปเสีย!”

แต่ชายที่สวมเสื้อคลุมกลับเย้ยหยันเขากลับ “งั้นเจ้าก็คือเดงคิสินะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าร้องขอชีวิตจากผู้หญิงที่ลงมือกับเจ้าโดยใช้เพียงมือเดียว”

สิ่งที่เฉินรุยพูดก็คือเหตุการณ์ตอนที่เดงคิเกือบจะถูกผ่าเป็นครึ่งซีกโดยอาเธน่าที่ประตูเมือง

พอได้ยินเช่นนั้น เดงคิก็คำรามพร้อมกับยกค้อนขึ้นมาพุ่งไปหาเขา เดงคินั้นแม้จะยังเป็นแค่ระดับ F แต่เขาเร็วกว่าก็อบมากและพละกำลังการต่อสู้ของเขายังเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าถึงจะเป็นระดับเดียวกัน แต่ความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ 'ดวงตาวิเคราะห์' ของระดับการสะสมดวงดาวยังไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลรายละเอียดได้มากนัก

แม้ว่าความแข็งแกร่งของเดงคินั้นจะเหนือกว่าก็อบ แต่ในสายตาของเฉินรุยแล้ว เขายังไม่ได้แกร่งไปจนถึงจุดที่เฉินรุยจะไม่สามารถหลบได้ เฉินรุยนั้นสามารถปรับตัวเข้ากับจังหวะการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว เขากระโดดถอยออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทิ้งระยะห่างจากเดงคิ จากนั้นเขาก็เลียนแบบท่าทางในไอคอนบนตารางทักษะ เขากางนิ้วทั้งห้าและเล็งไปที่เดงคิ จากนั้นเขาก็พูดในใจว่า “'ยิงแสงสว่าง' !”

แสงสีขาวได้สว่างไปทั่วตรอกอันแสนมืดมิด ในสายตาอันแสนหวาดกลัวของก็อบและคนอื่นๆ ลูกบอลขนาดใหญ่ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสองเมตรได้ปะทุออกมาจากฝ่ามือของเฉินรุยและพุ่งตรงไปหาเดงคิ

เมื่อ 'ยิงแสงสว่าง' ได้ปลดปล่อยออกมา ตัวเฉินรุยรู้สึกว่าพลังแห่งดวงดาวในร่างกายดูเหมือนจะหายไปครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของลูกบอลไฟนี้ทำให้เขาตกใจมาก มันไม่ได้เกินจริงไปจากวิดีโอประกอบเลยสักนิด นี้ไม่ใช่ 'ยิงแสงสว่างแล้ว' มันคือ 'ปืนใหญ่แสงสว่าง' ต่างหาก !

เดงคิพยายามจะหลบไปด้านข้าง แต่เขาก็ยังถูกลูกบอลแสงสีขาวเฉียดๆอยู่ดี ร่างที่แข็งแกร่งของเขาถูกทำลายไปแทบไม่เหลือและเขาก็ล้มลงกับพื้น ค้อนได้หยุดจากมือของเดงคิและบังเอิญบินไปหาก็อบที่พึ่งจะยืนขึ้นมา เขานั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

แสงสีขาวยังไม่ลดแรงปะทะและมันพุ่งตรงไปยังกำแพงหิน ทันใดนั้น กำแพงหินหนาก็ได้ถูกเจาะเข้าไปเป็นรูขนาดใหญ่ มีกระทั่งรอยแตกๆอยู่รอบๆ จากนั้น กำแพงหินทั้งหมดก็ได้พังทลายลงมา โชคดีที่เมื่อกลุ่มของเดงคิกำลังต่อสู้อยู่กับเขา พ่อและลูกสาวที่เป็นเหยื่อก็ได้หนีไปได้ทันเวลา แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงดังสนั่น แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลย

ร่างกายที่แข็งแกร่งของเดงคิได้ล้มลงบนกับพื้นเหมือนโคลน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว แผ่นเกราะของเขาถูกฉีกขาดและผิดรูปผิดร่างไปจากพลังอันแสนน่าหวาดกลัว มือของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด กายของเขาสั่นเป็นอย่างมากและเขาไม่สามารถที่จะควบคุมให้ร่างกายของเขาขยับไปได้เลย เจ้าเซนทอร์ผู้โชคร้ายก็ได้คิดอะไรบางอย่างในใจ: นี่ข้าถูกเฉียดๆแค่ขอบเองนะ หากข้าถูกเข้าตรงๆข้าอาจจะตายไปเลยก็ได้

ก็อบและคนอื่นๆเริ่มตระหนักว่าพวกเขาได้มาเจอกับศัตรูที่น่าหวาดกลัวเข้าให้แล้ว พวกเขาหวาดกลัวจนต้องร้องขอความเมตตาจากเฉินรุยในทันที

แม้ว่า 'ยิงแสงสว่าง; จะใช้พลังงานมากไปนิด แต่ความทรงพลังของมันเรียกได้ว่าเหนือจินตนาการ เดงคิพ่ายแพ้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เฉินรุยรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่า ความกดดันในใจของเขาตั้งแต่ที่มาเกิดใหม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งความมั่นใจของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“หากแกยังกล้ารังแกคนอ่อนแออีก ข้าจะเอาหัวของแกทั้งสามตัวไปแขวนที่ประตูเมือง!” เฉินรุยชี้ไปที่เดงคิที่ล้มลงกับพื้น “ตอนนี้ข้าให้เวลาพวกแกสองนาที พาเจ้านี้ออกไปจากสายตาของข้า ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ!”

ถ้าพวกเขาไม่รังแกคนอ่อนแอ จะให้พวกเขาไปหาเรื่องคนที่แข็งแกร่งอย่างแกมาให้ฆ่าตัวพวกเขาหรือไง? บ้าหรือไงกัน!

ก็อบพึมพำในใจของเขา แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เขารีบพากันแบกตัวของเดงคิพร้อมกับเพื่อนของเขา ตัวเขานั้นไม่กล้าแม้แต่จะหยิบค้อนของเดงคิขึ้นมาด้วย

'ยิงแสงสว่าง' ใช้ 10 ออร่า พอหักกับ 'ดวงตาวิเคราะห์' ไป 2 จุด เขาก็เหลือเพียง 10 จุดเท่านั้น

“เกียรติภูมิของท่านเปรียบดั่งดวงจันทร์คู่บนท้องฟ้ายามค่ำของอาณาจักรมาร! ข้าช่างซาบซึ้งในความมีน้ำใจของท่านอย่างแท้จริง” คนแคระที่ถูกช่วยชีวิตยืนขึ้นและคุกเข่าต่อหน้าของเฉินรุยพร้อมกับคนแคระสาว

เฉินรุยพอใจกับการแสดงเป็นผู้กล้าของเขามาก เขารู้สึกแข็งแกร่งและมีพลังอย่างยิ่งในตอนนี้ พอรวมกับแสงจันทร์ของดวงจันทร์คู่ยิ่งทำให้เขาดูหล่อเท่ไปอีก ทันใดนั้น เขาก็คิดว่าเขาลืมทวงเงินที่ถูกขโมยไปให้พ่อและลูกสาวคนแคระ เขาได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดพร้อมกับหยิบเหรียญคริสตัลสีม่วงออกมา “ลุกขึ้น นี่สำหรับเจ้า เอาไปซื้ออาหารซะ”

ตอนแรกคนแคระต้องการให้เหรียญคริสตัลสีขาวไม่กี่เหรียญที่เขาซ่อนไว้ให้ตอบแทน แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่าเฉินรุยจะให้เงินกับเขาก่อน เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้รับเหรียญคริสตัลสีม่วงทันที ราวกับว่าเขากลัวว่าเฉินรุยจะเอามันกลับไป “ขอบคุณท่านมากขอรับ…!”

จากนั้นดิดิก็คิดอะไรบางอย่างในใจ นี่มันวันโชคดีของข้าชะมัด ไม่เพียงแต่คนที่มาช่วยข้าจะจัดการเดงคิให้ แต่ยังมอบเหรียญคริสตัลสีม่วงให้กับข้าอีก

อาณาจักรมารนั้นเห็นดีเห็นงามกับผู้ที่มีความแข็งแกร่ง โดยทั่วไปแล้ว ความอ่อนแอคือสิ่งชั้นต่ำ มีมารเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นที่จะช่วยเหลือและให้เงิน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนแคระผู้นี้คิดว่าคนที่มาช่วยเขามันบ้า

ดิดิคิดสักพักและก็พูดขึ้นมาว่า“ความเมตตาของท่านต่อพวกเราลึกยิ่งเสียกว่าทะเลแห่งความตายเสียอีก หากท่านไม่รังเกียจ ดิดิยินดีที่จะมอบลูกสาวของข้า ซาซ่าให้กับท่านเป็นนางสนม”

คนแคระชราผู้นี้วางแผนได้แยบยลเลยทีเดียว แม้ว่าชายผู้นี้จะโง่ แต่เขานั้นมีพละกำลัง แม้แต่จอมวายร้ายที่โด่งดังอย่างเดงคิก็ไม่สามารถสู้กับเขาได้ ถ้าลูกสาวของข้าสามารถติดตามเขาไปได้ ข้าก็จะไม่กลัวคนอย่างเดงคิอีกต่อไป บางทีข้าอาจจะกลายเป็นมารที่เหนือกว่าใครในเมืองพระจันทร์ดับนี้ก็ได้

ซาซ่า ลูกสาวของคนแคระชราที่พอได้ยินคำพูดของบิดานาง หล่อนก็ได้แต่มองไปที่ผู้กล้าจอมโง่

ซึ่งขณะนี้หัวใจและวิญญาณของเฉินรุยราวกับกำลังถูกฟ้าผ่าอยู่

ซาซ่านั้นงามหยดย้อยมาก ส่วนสูงของนางเพียงแค่เอวของเขาเท่านั้น ผิวของนางด่างดำเขียวดูแปลก ใบหน้าของนางสวยเหมือนกับถูกสรรสร้างขึ้นโดยนักศิลปะ หูทั้งสองข้างมีขนาดใหญ่และยาว ตาโปน โหนกแก้มโหนก จมูกรั้น ปากดูใหญ่…แม้กระทั่งดาราดังหลายคนในชีวิตก่อนของเขาก็คงต้องยอมศิโรราบต่อหน้านาง!

เฉินรุยรู้สึกหนาวขนลุกขนพองมากๆเลย ช่างเป็นความงดงามที่สามารถทำลายล้างได้ทุกอย่างๆจริง

พอเห็นท่าทีว่าผู้กล้าคนนี้จะปฏิเสธ คนแคระก็ได้พูดขึ้นมา “เราได้รับการช่วยเหลือจากท่านและเราไม่สามารถหาอะไรมาตอบแทนได้เลย มีเพียงแค่นี้ที่เราสามารถให้ท่านได้”

ตัวของเฉินรุยสั่นด้วยความกลัวและเขาก็ได้แต่ส่ายหัวแรงๆ จากนั้น เขาก็คิดว่าคนแคระคนนี้คงจะหลอนประสาทเพราะตกใจมากไปหน่อย คนแคระชราผู้นี้คงจะเคารพเฉินรุยดั่งปรมาจารย์ เพราะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่มารจะนับถือคนแข็งแกร่ง

อีกทั้งเฉินรุยเองก็มีข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์อยู่แล้ว ดังนั้นเขาคงไม่สามารถรับเพิ่มได้อีก อนกจากนี้เขายังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเขาด้วย เขานั้นทำอะไรไม่ถูกเลยต่อหน้าคนแคระที่กำลังร้องไห้ แต่ตัวเขาก็ไม่อยากที่จะเสียภาพลักษณ์โดยการไปเตะคนแคระออกไปให้ห่างจากตัวเขาหรอกนะ ดังนั้นแล้ว เขาจึงให้คนแคระอีกสองเหรียญคริสตัลสีม่วง เพื่อที่จะให้ดิดิล้มเลิกความตั้งใจที่จะมอบลูกสาวของตัวเขา

“ท่านปรมาจารย์ ได้โปรดบอกนามของท่านให้ข้าได้รับรู้ด้วยเถิด!”

เมื่อเห็นว่าได้รับเหรียญคริสตัลสามเหรียญแล้ว คนแคระชราก็ยังไม่หยุดเรียกเขาว่าปรมาจารย์ ตัวเฉินรุยก็รู้ดีว่าคนแคระชราผู้นี้โลภมาก แน่นอนว่าตัวเขาไม่คิดที่จะให้มากกว่านี้หรอก เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับพูดคำบางคำขึ้นมา ก่อนที่จะหายไปในความมืด

“ข้ามีนามว่า…เอกิล”

เขาพูดชื่อปลอลมขึ้นมาโดยไม่คิดที่จะบอกชื่อจริง แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูเท่มาก แต่มันก็ทำให้เขาสูญเสียเงินไปมากเลยทีเดียว ในทางกลับเฉินรุยก็ได้แต่คิดในใจ: การเป็นฮีโร่นั้นมีความเสี่ยงมาก เขาจะต้องคิดให้รอบคอบหากจะทำอาชีพนี้

คนแคระชรามองไปในทางที่ชายที่สวมเสื้อคลุมหายตัวไป ในใจของเขาก็พูดชื่อของปรมาจารย์ผู้นี้ซ้ำๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นมาว่า“ไม่ต้องกังวลท่านปรมาจารย์ แม้ว่าสมองของท่านจะมีปัญหา แต่ดิดิผู้นี้จะไม่ใช้เงินของท่านเสียเปล่า!”

เฉินรุยไม่รู้ว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาจะกลายเป็นหนังหมาป่าของคนแคระชราผู้นั้น ในอนาคตเขาก็ไม่รู้ด้วยว่านาม "เอกิล" จะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายอย่างมากในอาณาจักรมาร เพราะในตอนนี้ เขากำลังดื่มด่ำกับความสุขอันยิ่งใหญ่ที่ได้พลังมากมายขนาดนี้มาครอบครอง

หลังจากหลบเลี่ยงยามในลานด้านนอกอย่างลับๆล่อๆแล้ว เขาก็กลับไปที่ห้องทดลองได้ แต่เฉินรุยยังไม่ได้นอนในทันที เขาค่อยๆพยายามทำให้จิตใจของเขาสงบลง เดงคิเป็นผู้นำกลุ่มยามเล็กๆในเมืองพระจันทร์ดับ จากการต่อสู้ครั้งก่อน ความแข็งแกร่งของเขาน่าจะสามารถกลั่นแกล้งทหารมารธรรมดาได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม หากเป็นพลังที่เชียแสดงให้เขาเห็นที่สวนของจักพรรดิ เขาก็ยังคงอ่อนแอมากอยู่ดี ไม่ต้องถามถึงคนที่แข็งแกร่งเช่นปากลีโรเลย

เฉินรุยไม่ได้หมดกำลังใจไปซะทีเดียว เพราะไม่ว่าการเก็บสะสมดวงดาวหรือสถานะอัลไคน์เอง ในตอนนี้พวกมันก็เพิ่งจะอยู่ในจุดเริ่มต้น เส้นทางแห่งความแข็งแกร่งเริ่มจะปรากฏให้เขาเห็นอย่างชัดเจนแล้ว เหลือแค่เรื่องเวลาเท่านั้นที่จะทำให้ตัวเขาพัฒนาขึ้น

แม้ว่าระบบสุดยอดนั้นยอดเยี่ยม แต่เขาก็ยังอยู่ในขั้นพื้นฐานที่สุดอยู่ดี อาณาจักรมารมีอันตรายและสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากเกินไป ก่อนที่พลังของเขาจะแข็งแกร่งมากพอที่จะควบคุมชะตากรรมของตัวเขาเอง เขาก็จะต้องทำตัวให้ไม่สำคัญและไม่หาเรื่องคนอื่น ด้วยตัวตนของศิษย์นักปรุงยาพร้อมด้วย 'กลั้นลมหายใจ' มันย่อมเป็นการปลอมตัวที่ดีที่สุด

ในตอนนี้เฉินรุยได้เลือกเส้นทางของเขาแล้ว ในอนาคตเขาจะไม่อ่อนแออีกต่อไป แต่ตอนนี้เขาจะพึ่งโชคและสติปัญญาในการแก้ไขวิกฤติเสียก่อน ในโลกมารที่ไม่คุ้นเคยและอันตรายแห่งนี้ เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ให้จงได้

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยหลังการเกิดใหม่ที่เขามีความมั่นใจในเรื่องของอนาคตข้างหน้า

ออร่า! สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการพยายามเพิ่มออร่า ไม่เพียงแต่ใช้เพิ่มทักษะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพื้นที่ฝึก คลังเก็บสินค้า พื้นที่แลกเปลี่ยน…และอีกมากมาย ...

ในวันถัดไป เฉินรุยเริ่มลองใช้พิษเพื่อเพิ่มออร่า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนัก ขวดยาพิษร้ายแรงซึ่งมีมูลค่านับร้อยเหรียญคริสตัลสีม่วง มันกลับเพิ่มออร่าเพียง 2 จุด นอกจากนี้ ยังมียาพิษเพียงไม่กี่ขวดที่ห้องทดลองอีก

อัลดาซนั้นให้ยาไปเพราะคิดว่าเฉินรุยกำลังทดสอบยาเพื่อเรียนรู้ เขานั้นทุกข์ใจเป็นอย่างมากและพยายามแนะนำเรื่องต่างๆให้เฉินรุย พร้อมกับบอกว่าเขาว่าจงเริ่มต้นจากพื้นฐานและอย่าทะเยอทะยานจนเกินไป โชคดีที่อาจารย์ของเขาคืออัลดาซ ถ้าเป็นอาจารย์คนอื่น คงไม่มีใครที่ใช้เงินจำนวนมากเพื่อสั่งสอนลูกศิษย์หรอก

เฉินรุยรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการใช้ยาพิษมันสูงเกินไป ดังนั้นเขาคงต้องหาทางอื่น

ส่วนที่แซนโดรพ่ายแพ้ในการท้าทายก็ได้เสียเงินเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น เงินจำนวนนั้นก็หาจะใช่เป็นของอัลดาซทั้งหมด จริงๆแล้วเงินพวกนั้นส่วนใหญ่ได้ถูกมอบให้เจ้าหญิงเชีย เพื่อใช้พัฒนาเมืองพระจันทร์ดับ เพราะยังไง ตัวอัลดาซก็เป็นเพียงคนที่คอยติดตามเชีย ถ้าเขาต้องการใช้เงินจริงๆ เขาก็แค่ขอเท่านั้น

พอเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องเงินแล้ว เฉินรุยก็ดูเงินในกระเป๋าของตัวเขา มันมีอยู่เพียงแค่ห้าเหรียญคริสตัลดำเท่านั้น เขาควรจะได้มากกว่านี้สิ ไม่ใช่เพราะอัลดาซนั้นขี้งก แต่เป็นคำสั่งของเจ้าหญิงต่างหาก ดังนั้นแล้ว เฉินรุยก็ได้แต่ทำใจยอมรับมัน อย่างไรก็ตาม เงินนั้นไม่สำคัญหรอก หากว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่านางเข้าใจผิดว่าเขาไปสารภาพรักกับนาง หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

หากเหรียญคริสตัลสีขาวเป็นเงินหนึ่งเซ็นต์ เหรียญคริสตัลสีดำห้าเหรียญก็เท่ากับห้าพันดอลลาร์ เมื่อรวมกับเหรียญคริสตัลสีม่วงที่โกงจากเคมมา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เยอะมากนัก แต่ก็ใช้ได้อยู่

เหรียญคริสตัลเวทย์มนต์นั้นเกิดมาจากพลังงานที่บีบอัดจนเป็นก้อน ปีศาจสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้โดยการดึงพลังงานในคริสตัล ยิ่งความบริสุทธิ์สูงมากเท่าใด คริสตัลเวทย์มนต์ก็ยิ่งมีราคาแพงมากเท่านั้น ในตอนนี้ คริสตัลสีดำ คริสตัลสีม่วงและคริสตัลสีขาวต่างก็เป็นสกุลเงินของโลกมาร เหนือคริสตัลสีดำ ก็คือคริสตัลเลือดและคริสตัลทองที่ค่อนข้างหาได้ยาก ไม่มีใครกล้าจะใช้พวกมันเป็นสกุลเงินหรอก

เมื่อคืนเฉินรุยพยายามใช้ 'ดูดออร่า' กับเหรียญคริสตัลม่วง แน่นอนว่ามันสามารถดูดซับได้ เหมือนกับที่ที่แสดงในไอคอน หลังจากดูดเหรียญคริสตัลสีม่วงเสร็จแล้ว มันก็กลายเป็นผง แต่ค่าออร่ากลับไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งมันน่าจะเพิ่มเล็กน้อยโดยขึ้นเป็นจุดทศนิยม

พอคำนวณจากการดูดซับเหรียญคริสตัลสีม่วงแล้ว ก็หมายความว่าการดูดซับคริสตัลสีดำหนึ่งเหรียญจะได้รับหนึ่งออร่า เขามีเหรียญคริสตัลสีดำเพียงห้าเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับการรอสองชั่วโมงของ 'ดูดซึมอัตโนมัติ' ซึ่งดูเหมือนว่าการรอเวลาดูดซึมอัตโนมัติจะช้าเป็นอย่างมาก

ใช่แล้ว! เขาน่าจะใช้เหรียญพวกนี้เพิ่มออร่าก็ได้นี่!

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด