ตอนที่แล้วระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 25 การแสดงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไประบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 27 ทหารหน่วยรบพิเศษ

ระบบทักษะพลิกชีวิต - ตอนที่ 26 ฉันชื่อเย่โม่


ตอนที่ 26 ฉันชื่อเย่โม่

“ไอ้เด็กเวร! แกเป็นใคร? มาเสือกเรื่องของคนอื่นแบบนี้ คงเบื่อชีวิตแล้วสินะ?”

ฉู่ฮ่าวเทียนไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามาแส่เรื่องของตัวเอง เขายกกระบอกปืนในมือขึ้นเล็งไปที่ศรีษะของเย่โม่ พร้อมกับร้องคำรามออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ฉันเป็นใครน่ะเหรอ? ฮ่าๆๆ แกตั้งใจฟังให้ดีล่ะ ฉันชื่อว่าเย่โม่! แล้วก็เป็นคนที่แกไม่ควรมีเรื่องด้วย!”

เย่โม่หันหน้าไปเผชิญกับกระบอกปืนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมตอบโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“โอ๊ะ! มีคนไม่กลัวตายด้วยโว้ย! ฮ่าๆๆๆ ถ้างั้นฉันจะลองยิงแกให้ขาพรุนเป็นรูก่อน ดูสิว่ายังจะปากเก่งอยู่อีกมั๊ย?”

หลังจากนั้น ฉู่ฮ่าวเทียนก็ได้เลื่อนปากกระบอกปืนลงมาเล็งที่ต้นขาของเย่โม่แทน

แต่ก่อนที่มันจะทันได้ทำอะไรต่อไป เย่โม่ก็จัดการคว้าข้อมือของมันไว้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับออกแรงบีบข้อมือของฉู่ฮ่าวเทียนแน่น มันถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มือที่กำกระบอกปืนอยู่นั้นคลายออก แล้วปืนก็ร่วงหล่นลงกับพื้นทันที

เพียะ!

เย่โม่ยกมือขึ้นตบหน้าฉู่ฮ่าวเทียนหนึ่งที ส่งผลให้ร่างของมันกระเด็นลอยละลิ่วออกไปทางโซฟา ก่อนจะร่วงหล่นลงกระแทกกับโต๊ะบริเวณนั้นเข้า ปากเต็มไปด้วยเลือดสีแดงพร้อมกับฟันที่ร่วงออกมาจากปาก

ซูเหล่าซานเห็นเข้าก็ถึงกับโมโหเดือดดาลอย่างมาก มันยกมือขึ้นชี้หน้าเย่โม่พร้อมกับร้องคำรามออกไปว่า

“ไอ้เด็กเวร! นี่มึงเป็นใคร? มึงกล้าแตะต้องคุณชายฉู่ของพวกเราเชียวเหรอ? มึงกล้าดียังไงวะ? นี่มึงคงไม่รู้สินะว่าใครเป็นเจ้าของที่นี่ เพราะถ้ามึงรู้ มึงก็คงไม่กล้าโอหังอวดดีแบบนี้แน่!”

ซูเหล่าซานถึงกับต้องยกเอาเจ้าของบาร์แห่งนี้ขึ้นมาอ้าง

“ถามอยู่ได้ว่าเป็นใคร? ฉันก็บอกแล้วว่าชื่อเย่โม่! พวกแกนี่มันลืมง่ายจริงๆ สงสัยวันนี้ฉันคงต้องสั่งสอนพวกแกสักหน่อย พวกแกจะได้ไม่ลืมชื่อของฉันง่ายๆแบบนี้!”

เย่โม่คว้าขวดเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา พร้อมกับเดินตรงเข้าไปหาซูเหล่าซาน และจัดการฟาดขวดในมือลงไปบนหัวของมันทันที แต่เย่โม่ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาหันไปคว้าขวดที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีก และจัดการฟาดเข้าใส่หัวของซูเหล่าซานนับสิบขวด จนกระทั่งมันสลบเหมือดลงไปกองกับพื้น และมีเลือดไหลอาบทั่วทั้งตัว

“ชิบหายแล้ว! หนีเร็ว!”

ผู้ชายสองคนซึ่งเป็นลูกน้องของซูเหล่าซานได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเข้า ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด และกำลังเตรียมตัวที่จะวิ่งหนีออกไป

แต่มีหรือที่เย่โม่จะปล่อยให้พวกมันสองคนหนีออกไปได้ ร่างของเขาพุ่งตรงไปยืนขวางประตูไว้ได้อย่างรวดเร็ว

“ลูกพี่.. พี่เย่! ได้โปรดปล่อยพวกเราสองคนไปเถอะนะครับ พวกเราสองคนไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเราแค่ยืนดูเฉยๆ ถ้าไม่เชื่อ พี่เย่ลองถามเพื่อนๆของพี่ดูก็ได้นะครับ!”

“นั่นน่ะสิครับลูกพี่! พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ”

เวลานี้ ลูกน้องสองคนที่เหลือของซูเหล่าซาน ได้แต่พากันอ้อนวอนขอชีวิตจากเย่โม่

“พวกแกสองคนคุกเข่าลง แล้วก็ตบหน้าตัวเองข้างละหนึ่งร้อยที ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มได้! อ่อ.. อย่าคิดที่จะโกงฉันล่ะ เพราะถ้าฉันจับได้พวกแกตาย!”

หลังจากที่เย่โม่พูดจบ อันธพาลทั้งสองคนก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที จากนั้นจึงเริ่มลงมือตบหน้าตัวเองอย่างไม่รีรอ

เสียงเพียะๆ ดังขึ้นต่อเนื่องจนได้ยินกันทั่วทั้งห้อง!

เวลานี้ ไม่เพียงหวังยู่หยางเท่านั้น คนอื่นๆที่อยู่ในห้องต่างก็จ้องมองเย่โม่ด้วยสีหน้าตกตะลึง และตกอกตกใจ พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าเย่โม่จะสามารถจัดการปัญหาตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย

เย่โม่หันไปถามหวังยู่หยางว่า “ทุกคนปลอดภัยดีใช่มั๊ย?”

“อืมม ไม่มีใครเป็นอะไร มีแค่ตู้เผิงเท่านั้นที่ถูกพวกมันใช้ขวดตีหัวจนเลือดไหล!”

เย่โม่พยักหน้ารับรู้ แล้วรีบเดินเข้าไปดูตู้เผิงทันที หลังจากสำรวจดูบาดแผลอย่างละเอียดแล้ว จึงพบว่าเป็นเพียงบาดแผลระดับผิวหนังเท่านั้น และตอนนี้เลือดก็เริ่มหยุดไหลแล้ว มีเพียงคราบเลือดเก่าที่แห้งเกรอะกรังอยู่

“ขอบคุณพี่เย่มากนะคะ! ถ้าไม่ได้พี่เย่ ฉันกับพี่หลิง… คง..”

หลี่เจียฉีเดินเข้ามาหาเย่โม่ เธอเอ่ยขอบคุณเขาพร้อมกับโน้มศรีษะลงต่ำด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ

“ไม่เป็นไรครับ! เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง แต่ผมว่าคุณอย่ามาทำงานที่นี่อีกเลยจะดีกว่า สถานที่แบบนี้มันเป็นแหล่งอโคจรที่พวกคนเลวๆชอบมารวมตัวกันล่าเหยื่อ วันนี้เด็กสาวอ่อนแออย่างคุณอาจจะโชคดีหนีรอดไปได้ครั้งหนึ่ง แต่ครั้งหน้าอาจจะไม่รอดก็ได้!”

เย่โม่โบกมือไปมา พร้อมกับแนะนำหลี่เจียฉี

หยวนเฟยที่ยืนอยู่ข้างๆก็รีบพูดขึ้นทันที “นั่นน่ะสิ! ที่พี่เย่พูดมาก็ถูกนะครับ ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องเงินจริงๆ ก็ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่บริษัทของพ่อผมในช่วงวันหยุดก็ได้ ผมจะให้เงินเดือนคุณ 2,500 หยวน เงินจำนวนนี้น่าจะเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในรั้วมหาวิทยาลัยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณพี่เย่ ขอบคุณพี่หยวนที่ช่วยเหลือนะคะ!” หลี่เจียฉีเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยดวงตาแดงก่ำ

“พี่เย่คะ! ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้”

“พวกเราก็ขอบคุณพี่เย่ด้วยเหมือนกันนะครับ!”

หลังจากนั้น ทั้งพี่หลิง ตู้เผิง และคนอื่นๆต่างก็พากันเดินเข้ามาหาเย่โม่ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณเขาจากใจจริง

“คุณชายหวัง ผมขอยืมเงินคุณสัก 20,000 หยวนได้มั๊ยครับ? ผมอยากจะให้หลี่เจียฉีเก็บไว้เป็นจ่ายค่าเทอม ผมพอจะรู้ว่าค่าเทอมของคณะการดนตรีไม่ใช่ถูกๆเลย”

ในเมื่อตัดสินใจที่จะเป็นคนดีแล้ว เย่โม่ก็ต้องการที่จะทำให้สุด เขาจึงได้เอ่ยปากของยืมเงินจากหวังยู่หยาง

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยพี่เย่! เอาเป็นว่าพี่เย่ไม่ต้องยืมเงินผมก็ได้ ผมจะเป็นคนให้หลี่เจียฉีเอง เงินห้าหมื่นหยวนคงจะพอสำหรับค่าเทอมสองปี”

ปกติหวังยู่หยางจะพกเงินสดติดตัวครั้งละสามสี่หมื่นเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆเขามักจะใช้บัตรรูดซะมากกว่า

“พี่เย่ครับ ผมตู้เผิงขอร่วมช่วยหลี่เจียฉีอีกห้าหมื่นหยวน!”

“ผมหยวนเฟยก็ขอร่วมด้วยอีกห้าหมื่น!”

“พี่เย่คะ ฉันฮั่นเหมิงเหมิงก็อยากจะช่วยน้องหลี่เหมือนกัน”

“พี่เย่คะ ฉันไม่ได้พกเงินสดติดตัวมามาก แต่ฉันโจวหุยก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว ในบัตรของฉันมีอยู่สองหมื่นหยวน ฉันจะขอช่วยน้องหลี่ด้วยเหมือนกันค่ะ!”

หลี่เจียฉีรู้สึกอบอุ่นใจและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้รับน้ำใจ และความเอื้ออาทรจากทุกๆคน เธอรู้ว่า เพราะอะไรบรรดาคุณหนูคุณชายภายในห้องนี้ถึงได้พากันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ นั่นเพราะเย่โม่ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในตัวเขามากขึ้นไปอีก!

“ฉันขอบคุณแล้วก็ซาบซึ้งในน้ำใจของทุกคนมากเลยนะคะ แต่ว่า… ฉันไม่ได้ต้องการเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น” หลี่เจียฉีกระซิบตอบเสียงเบา

“อืมม… ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องช่วยทั้งหมดก็ได้ ในเมื่อหยวนเฟยก็ช่วยหางานพิเศษให้หลี่เจียฉีทำในช่วงวันหยุดแล้ว ส่วนคุณชายหวังก็ให้เงินจำนวนหนึ่งสำหรับใช้เป็นค่าเทอมได้ถึงสองปี แค่นี้ฉันว่าก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะ!”

ในเมื่อเย่โม่พูดออกมาแบบนั้น มีหรือที่ทุกคนจะกล้าแสดงความเห็นคัดค้าน เพราะฉะนั้น จึงมีเพียงแค่หวังยู่หยางที่จัดการโอนเงินจำนวนห้าหมื่นหยวนให้กับหลี่เจียฉี

“ขอบคุณ.. ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่ช่วยเหลือ เอ่อ.. พี่เย่คะ ไม่ทราบว่าฉันจะขอเบอร์ติดต่อพี่ไว้ได้มั๊ยคะ? ฉันรู้ดีว่า ตัวเองไม่ใช่คนระดับเดียวกับพี่เย่ แต่.. แต่ถ้าวันหน้ามีโอกาส ฉันก็อยากจะตอบแทนบุญคุณค่ะ”

หลี่เจียฉีเอ่ยบอกเย่โม่อย่างมีความหวัง

“นั่นน่ะสิพี่เย่! พวกเราก็อยากได้เบอร์ติดต่อพี่เหมือนกัน!”

ตู้เผิง หยวนเฟย ฮั่นเหมิงเหมิง และคนอื่นๆต่างก็ประสานเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ไม่มีปัญหาครับ!”

หลังจากนั้น เย่โม่ก็ได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์กับทุกๆคนในห้อง จากนั้นจึงได้หันไปบอกกับตู้เผิงและหยวนเฟยว่า

“นายสองคนช่วยไปส่งฮั่นเหมิงเหมิง โจวหุย แล้วก็หลี่เจียฉีก่อนนะ ส่วนฉันกับคุณชายหวังจะจัดการเคลียร์ปัญหาที่นี่เอง ส่วนพี่หลิงวันนี้ก็กลับบ้านไปเลยนะครับ ไม่ต้องทำงานต่อแล้ว เรื่องอื่นหลังจากนี้พวกเราจะจัดการเอง ไม่ต้องกังวลใจ”

“พี่เย่! จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน? พี่เห็นพวกเราเป็นคนยังไง ถึงจะกล้าทิ้งพี่กับเจ้าหยางให้อยู่เผชิญปัญหากันแค่ลำพังสองคน!”

ตู้เผิงร้องบอกอย่างไม่เห็นด้วยนัก ส่วนหยวนเฟยก็พยักหน้าหงึกๆสนับสนุน

“นี่! พวกนายสองคนฟังที่พี่เย่พูด จัดการส่งสาวๆกลับไปก่อน ส่วนที่นี่ ฉันกับพี่เย่จะจัดการเอง พวกนายสบายใจได้ พี่เย่สามารถจัดการกับพวกสวะนี่ได้แน่!”

หวังยู่หยางรีบร้องบอกเพื่อนทั้งสองของตัวเองทันที เขาเองก็รู้ดีว่าปล่อยผู้หญิงสองสามคนอยู่ต่อก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

“ใช่ครับ! คุณชายหวังพูดถูก พวกคุณรีบส่งสาวๆออกไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า!”

ในเมื่อเย่โม่ย้ำคำพูดเดิมอีกครั้ง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องดื้อดึงอีก ดังนั้น หลังจากร่ำลาเย่โม่กับหวังยู่หยางแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองคนก็เดินนำสาวๆออกไปจากห้องทันที

“พี่เย่ครับ! พวกเราสองคนตบหน้าตัวเองครบหนึ่งร้อยครั้งแล้ว ไม่ทราบว่าพวกเราจะออกไปจากห้องได้หรือยังครับ”

ชายหนุ่มสองคนหน้าบวมเป็นหัวหมูที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เอ่ยปากถามเย่โม่เสียงอ่อย

“ไอ้พวกสวะ! จำไว้ให้ดี ขืนวันหน้าพวกแกยังกล้าหาเรื่องคนอื่นไปทั่วแบบนี้ สักวันจะเจอเสือกัดเข้า ถึงวันนั้นพวกแกอย่าหวังว่าจะโชคดีเหมือนวันนี้!”

หลังจากพูดจบ เย่โม่ก็ยกมือขึ้นโบกไล่อันธพาลทั้งสองคน พวกมันรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ราวกับนักโทษที่ได้รับการนิรโทษกรรม

“พี่เย่ แล้วจะจัดการกับไอ้สองสามตัวที่เหลือนี่ยังไงดี?” หวังยู่หยางร้องถามออกมา

“นี่คุณชายหวัง ทำไมพวกเราไม่จัดการฆ่าพวกมันสามคนทิ้งซะเลยล่ะ? คนอย่างพวกมันไม่ต่างจากปีศาจในร่างมนุษย์ อยู่ต่อไปก็มีแต่เป็นภัยสังคม!”

เย่โม่เอ่ยตอบพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว

“ฆ่าคน?! ที่นี่อ่ะนะ?!”

หวังยู่หยางถึงกับร้องอุทานออกมาหน้าตาตื่น พร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“ฮ่าๆๆๆ ฉันล้อนายเล่น!”

เย่โม่ยกมือขึ้นตบบ่าหวังยู่หยาง พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

--------------------------

ติดตามนิยายแปลสนุกๆอีกหลายเรื่องได้ที่เพจ  : แปลสนุก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด