ตอนที่แล้วบทที่ 11 โชคเข้าข้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 เพื่อนสนิท

บทที่ 12 เปิดเผยฆาตกรตัวจริง


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 12 เปิดเผยฆาตกรตัวจริง

สองวันต่อมาเฉินฉียังคงขับรถรับส่งลูกค้าตามปกติ ทั้งยังสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าแต่ละรายด้วยความอัธยาศัยดีและเป็นกันเอง ไม่ว่าพบใครก็จะชวนคุยไม่หยุดอยู่อย่างนั้น

ฝั่งตำรวจยังคงเดินหน้าสอบปากคำเพื่อนร่วมงานรวมถึงมิตรสหายที่ไปกินข้าวด้วยกันในคืนวันเกิดเหตุ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้อะไรเลยจากเบาะแสจากการสืบสวนครั้งนี้ อีกทั้งเพื่อน ๆ ของเขาก็ทำหน้าที่เพื่อนได้ดีโดยการติดต่อเฉินฉีผ่านการโทรหรือผ่านวีแชททุกครั้งว่าตำรวจสอบถามอะไรไปบ้าง

ขณะเดียวกันหลินถงซูได้ขอให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพทำการทดสอบยา ซึ่งได้รับการยืนยันว่ามีสารอีเทอร์ตกค้างอยู่ในร่างของผู้เสียชีวิตจริง จึงรีบบอกกล่าวข่าวนี้ให้กับเฉินฉี

สายเรียกเข้าจากหลินถงซูดังขึ้นขณะที่เฉินฉีกำลังพูดคุยกับผู้โดยสารคนล่าสุดถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างออกรส

เสียงของหญิงสาวจากปลายสายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ฉันเจอแล้ว! ผู้ตายมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อเกาเสี่ยวฮุ่ย เธอมีอาชีพเป็นแพทย์ทำงานในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง”

“ส่งโลเคชันมาเลย”

“ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะแชร์ผ่านวีแชทก็แล้วกัน”

“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนล่ะ?”

“เกาเสี่ยวฮุ่ยขึ้นวอร์ดจนถึงเที่ยง ดังนั้นเธอน่าจะเลิกงานในอีกประมาณสิบนาที ฉันจะรีบไปพบเธอเดี๋ยวนี้!”

“เฮ้! เดี๋ยวสิ!”

“รีบตามมาเร็ว ๆ แล้วกัน” หลินถงซูกำชับก่อนกดวางสายไป

หลังจากวางสายไปหลินถงซูก็ถือบัตรคิวรอขานเลขอยู่บริเวณหน้าโถงใหญ่ในโรงพยาบาลแห่งนั้นซึ่งมีพยาบาลหลายคนเดินขวักไขว่ เธอสูดลมหายใจสองสามครั้งก่อนเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป

เธอสืบทราบว่าเกาเสี่ยวฮุ่ยเป็นแพทย์ประจำแผนกโรคผิวหนังและเวทยวิทยา หลินถงซูจึงตรงดิ่งไปยังแผนกนั้นทันทีพร้อมสอบถามพยาบาลว่าห้องประจำของเกาเสี่ยวฮุ่ยอยู่ที่ไหน เมื่อพบแล้วจึงเคาะประตูและเดินเข้าไปภายใน ภาพตรงหน้าคือหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดแบรนด์เนมดูสง่าผ่าเผย หล่อนยิ้มให้ผู้มาใหม่ก่อนเอ่ยถามอย่างสุภาพ “วันนี้คุณไม่สบายตรงไหนหรือคะ?”

หลินถงซูแสดงตราว่าตนเป็นเจ้าพนักงาน “ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจค่ะ มาที่นี่เพื่ออธิบายเรื่องบางอย่างให้คุณทราบ”

เกาเสี่ยวฮุ่ยเลิกคิ้ว “คุณเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เดาว่าต้องการสอบถามเรื่องเกี่ยวกับกู้เหมิงซิงใช่ไหมคะ? ฉันทราบข่าวการจากไปของเธอแล้วจากกลุ่มเพื่อนในวีแชท ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกใจหายเหลือเกินค่ะ ถึงอย่างไรก็เคยเป็นเพื่อนเรียนร่วมมหาวิทยาลัยกัน ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ...”

เกาเสี่ยวฮุ่ยพูดพลางยกกระดาษขึ้นซับหัวตา ท่าทางของเธอเห็นได้ชัดว่ารู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ต้องสงสัยที่อาจเป็นฆาตกรเป็นครั้งแรก หลินถงซูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่จิตสำนึกอีกด้านที่ไม่ยอมแพ้ก็บอกตัวเองให้ใจแข็งเข้าไว้... อย่างไรก็ต้องจับตัวผู้กระทำความผิดให้ได้

“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ แล้ว... คุณพบกับกู้เหมิงซิงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”

“ประมาณสองสามเดือนที่แล้วค่ะ เธอมาชวนฉันออกไปทานข้าวด้วยกัน”

“ถ้าอย่างนั้น...” หลินถงซูทบทวนว่าควรถามคำถามใดต่อไปดี “วันที่กู้เหมิงซิงถูกฆาตกรรม เวลานั้นคุณกำลังทำอะไรอยู่หรือคะ?”

มุมปากของเกาเสี่ยวฮุ่ยกระตุกเล็กน้อย “คุณเจ้าหน้าที่คะ รู้ตัวไหมว่าถามอะไรออกมา? อย่าบอกนะว่าคุณสงสัยว่าฉันอาจเป็นคนฆ่าเธอ ฉันสนิทกับเหมิงซิงมานานหลายปีแล้วนะ!”

“ฉะ... ฉันก็แค่ถามน่ะค่ะ!” หลินถงซูหน้าแดง

“ตอนนั้นเหรอ...” เกาเสี่ยวฮุ่ยทำท่านึก “ฉันไปทานมื้อเย็นร่วมกับเพื่อนสมัยมหาลัยสองสามคน มีใบเสร็จในคืนนั้นเป็นหลักฐานด้วยนะคะ ขอฉันค้นสักครู่...”

ว่าแล้วเกาเสี่ยวฮุ่ยก็หยิบใบเสร็จรับเงินใบนั้นออกมาจากกระเป๋าในเวลาไม่นานนัก หลินถงซูรับมาตรวจสอบพร้อมสังเกตที่วันเวลา เมื่อเห็นว่าตรงกันกับเวลาก่อเหตุโดยประมาณจึงกัดริมฝีปากด้วยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป เกาเสี่ยวฮุ่ยส่งยิ้มให้ “พบข้อสงสัยตรงไหนไหมคะ? ถ้าไม่มีฉันต้องขอตัวกลับบ้านก่อน”

“คุณ... เอ่อ... คุณมีความขัดแย้งส่วนตัวกับกู้เหมิงซิงบ้างหรือเปล่าคะ?”

เกาเสี่ยวฮุ่ยชักสีหน้าเป็นเชิงประหลาดใจกับคำถามนั้น “ไม่เลยค่ะ อย่างที่ฉันแจ้งไปก่อนหน้านี้ว่าฉันเคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ ความสัมพันธ์เราทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกันทีเดียว”

หลินถงซูกำหมัดแน่นอย่างจนปัญญา ขณะเดียวกันเกาเสี่ยวฮุ่ยจึงลุกขึ้นพร้อมพูดขอตัว “ขอโทษนะคะ ฉันต้องรีบไปแล้ว ถ้าช้ากว่านี้เกรงว่าโรงอาหารจะปิดในช่วงบ่าย ขอตัวก่อนนะคะ”

ทันใดนั้นประตูกลับถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกับเฉินฉีที่ก้าวเข้ามา ข้างแก้มขึ้นสีแดงเรื่อแสดงให้เห็นว่าเขาวิ่งด้วยความเร็วไม่น้อยกว่าจะมาถึงที่นี่ เฉินฉีหอบอยู่พักหนึ่งก่อนพูดขึ้น “คุณหมอเกา... ขอโทษที่มาขัดขวางไม่ให้คุณไปทานมื้อกลางวัน แต่ผมยังมีบางคำถามต้องการถามคุณ!”

“คุณเป็นใคร?”

หลินถงซูรีบหันไปมองด้วยสายตายินดีราวเขาคือวีรบุรุษผู้มาช่วยกอบกู้เอกราช จากนั้นจึงแนะนำว่า “เขาคือคู่หูของฉันเองค่ะ ที่มาช้าน่าจะเพราะวนรถหาที่จอดใต้อาคารโรงพยาบาล”

เฉินฉีขยิบตาส่งสัญญาณให้หลินถงซูว่าอย่าแทรกแซงการสืบถามของเขา จากนั้นจึงงับประตูปิดและลากเก้าอี้เพื่อนั่งลง “เชิญนั่งก่อนครับคุณหมอเกา”

“ตอนนี้ฉันออกเวรแล้ว เพราะงั้นรีบถามหน่อยก็ดีนะคะ” เกาเสี่ยวฮุ่ยดูหมดความอดทนเล็กน้อย

“เกรงว่าจะไม่ได้” เฉินฉียิ้ม “เพราะผมจะแสดงให้ดูว่าคุณฆ่ากู้เหมิงซิงยังไง!”

ดวงตาของเกาเสี่ยวฮุ่ยเบิกกว้างอย่างตระหนก หลินถงซูก็มีปฏิกิริยาคล้ายกันกับอีกฝ่าย ในชั้นเรียนวิชาสืบสวนคดีอาญาไม่เห็นมีระบุในหลักสูตรเลยว่าการสอบสวนโดยใช้ถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

“คุณพูดบ้าอะไรน่ะ?!” เกาเสี่ยวฮุ่ยตะคอกดังลั่น “ฉันมีเหตุผลอะไรต้องฆ่ากู้เหมิงซิง?! จู่ ๆ คุณก็บุกเข้ามาและกล่าวหาฉันอย่างร้ายแรง ทำแบบนี้ฉันฟ้องร้องหมิ่นประมาทคุณได้นะ!”

“คุณหมอเกา ผมแน่ใจว่าเราสองคนเคยเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่ง” เฉินชี้นิ้วเข้าหาใบหน้าตัวเอง

“เราสองคน?”

“ตอนนั้นมืดค่ำแล้ว อีกอย่างคุณอาจไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของผมแบบชัด ๆ แต่ผมจำคุณได้ คุณคือคนที่ขึ้นรถของผมในคืนนั้น”

“คุณคือ...” ดวงตาของเกาเสี่ยวฮุ่ยเริ่มฉายแววสับสน

“ทำเหมือนจำเสียงผมได้เลยนะครับ ผมไง... ผมคือคนขับอูเบอร์ที่รถคุณขึ้นรถในคืนนั้น!” เฉินฉียิ้ม “แถมปลายทองที่คุณปักหมุดไว้บังเอิญอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุเสียเหลือเกิน!”

ทันทีที่เขาสังเกตว่าหญิงสาวตกหลุมพราง เกาเสี่ยวฮุ่ยจึงแสดงกิริยาเป็นเชิงกลบเกลื่อนทันที เธอยกแขนขึ้นกอดอก ย่นคิ้วเล็กน้อย ทั้งยังเม้มริมฝีปาก ซึ่งการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยเหล่านั้นก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาของเฉินฉี

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือและกดเข้าไปในคลังภาพจากนั้นจึงยื่นให้เกาเสี่ยวฮุ่ยดู เป็นภาพถ่ายเสื้อโค้ตตัวหนึ่งซึ่งเขาขอซื้อจากหญิงชราที่กำลังเก็บขยะอยู่ริมแม่น้ำ เขาเริ่มตั้งคำถาม “คุณรู้สึกว่าเสื้อตัวนี้ดูคุ้นตาบ้างหรือเปล่า?”

เกาเสี่ยวฮุ่ยขบริมฝีปาก “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร”

“คืนนั้นอุณหภูมิของเมืองหลงอันอยู่ที่ประมาณสิบถึงสิบหกองศา ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่อำนวยเหลือเกินต่อการสวมใส่เสื้อประเภทนี้ แต่ผมจำได้ว่าตอนที่คุณขึ้นรถของผม เสื้อผ้าของคุณกลับบางมาก เวลานั้นผมได้แต่นึกสงสัยว่าคนสวยอย่างคุณไม่กลัวลมหนาวเลยหรือยังไงกัน...”

“คุณพูดเรื่องอะไรกันแน่?”

“เสื้อตัวนี้เป็นของคุณใช่ไหม?”

“ไม่! ฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน!”

“โอ้... จริงเหรอ? แล้วถ้าส่งให้หน่วยชันสูตรตรวจสอบแล้วพบรอยนิ้วมือ เส้นผม แม้กระทั่งรังแคของคุณล่ะ? จะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี?”

เกาเสี่ยวฮุ่ยนิ่งงันไป แน่นอนว่าผลชันสูตรเหล่านั้นเป็นเพียงคำสมอ้างของเฉินฉีเท่านั้น ต่อให้เขาซื้อเสื้อโค้ตมาได้จริงแต่ก็ไม่มีเครื่องมือหรือฐานข้อมูลในมือพอที่จะทำการตรวจสอบ แต่ด้วยข้อสันนิษฐานหลายประการรวมถึงบทสนทนาในวันนั้นก็เป็นข้อสังเกตชั้นดีว่าฆาตกรต้องเป็นเธอไม่ผิดแน่

“อย่าเพิ่งสติแตกไปสิครับ รอให้ผมพูดอธิบายอย่างละเอียดก่อน คืนนี้กู้เหมิงซิงและคู่ขาคนหนึ่งของเธอเปิดห้องในโรงแรมเฝิงจื้อหลินด้วยกันก่อนออกมาจากห้องในเวลาประมาณสองทุ่ม คุณเดินทางไปพบเธอและขอให้เธอไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเลียบริมฝั่งแม่น้ำ จากนั้นจึงอาศัยช่วงจังหวะฉีดอีเทอร์เข้าเส้นประสาทจนเธอหมดสติไป แล้วค่อยใช้เชือกรัดคอจากด้านหลัง น่าเสียดายที่ยาสลบดังกล่าวมีฤทธิ์ไม่เพียงพอกู้เหมิงซิงจึงตื่นในระหว่างนั้น พอรู้ว่าตัวเองถูกทำร้ายจึงพยายามดิ้นรนสุดแรงให้รอดชีวิตและคว้าเอาสิ่งหนึ่งติดมือมาได้ นั่นคือกระดุมเม็ดหนึ่งบนเสื้อโค้ตตัวนี้ที่คุณสวมใส่!”

“หลังรัดคอจนกู้เหมิงซิงขาดอากาศหายใจแล้วคุณจึงหยิบกระเป๋าของเธอติดมาด้วยความรีบร้อน ระหว่างทางที่คุณหลบหนีถึงได้สังเกตว่ากระดุมเม็ดหนึ่งบนเสื้อหายไป ดังนั้นคุณตึงตกใจมาก! เพราะถ้ากระดุมเม็ดนี้ร่วงหล่นอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุจะต้องเป็นหลักฐานชั้นดีที่มัดตัวคุณ เพราะฉะนั้นคุณจึงทำสองสิ่ง... หนึ่งคือจัดการทิ้งเสื้อตัวนั้นไปและใช้โทรศัพท์ของกู้เหมิงซิงเรียกอูเบอร์เพื่อกลับไปยังสถานที่เดิม และคุณคงไม่คาดคิดหรอกว่าคนขับคนนั้นจะเป็นผม นั่นคือสิ่งที่ผมจะพูดต่อไป ในตอนนั้นคุณเกิดจำได้ว่าไม่นานมานี้มีข่าวใหญ่ในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมที่คนขับอูเบอร์รายหนึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ คุณจึงเกิดไอเดียบางอย่างและใช้โทรศัพท์กู้เหมิงซิงส่งข้อความถึงแฟนหนุ่มของเธอ”

“พอผมขับไปส่งคุณที่ปลายทาง คุณก็รีบย้อนกลับไปที่ริมแม่น้ำและหากระดุมเม็ดนั้นจนพบว่ามันอยู่ในมือของกู้เหมิงซิง คุณตัดสินใจจัดฉากทั้งหมดให้ดูเหมือนเธอถูกข่มขืนโดยฉีกเสื้อผ้าของเธอออกและโยนกระเป๋าของเธอทิ้งแม่น้ำ แผนของคุณเกือบสำเร็จแล้วเชียว ตำรวจหน้าโง่ในสำนักงานปักใจเชื่อแล้วว่าฆาตกรคือคนขับอูเบอร์ แต่ต้องขอบคุณที่ตำรวจเชิญผมไปจิบชาสองสามถ้วยจึงทราบเรื่อง บนโลกนี้มีรถยนต์นับล้านคัน... แต่คุณดันซวยเพราะขึ้นรถคันที่ผมเป็นคนขับ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด