ตอนที่แล้วบทที่ 4 ข้อสันนิษฐาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 หมึกไม่กี่หยดในคดีหมายถึงหยดเลือดของคนนับพันในสังคม

บทที่ 5 ถ้าซื่อสัตย์จะได้รับการผ่อนปรน ถ้าโกหกจะได้รับโทษหนัก


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 5 ถ้าซื่อสัตย์จะได้รับการผ่อนปรน ถ้าโกหกจะได้รับโทษหนัก

หลินชิวผูยิ้มหยัน ส่วนเฉินฉีก็ยิ้มตอบกลับ จากนั้นหลินชิวผูจึงสั่งให้เฉินฉีอ่านออกเสียงตัวหนังสือที่แปะอยู่บนผนังด้านหลังเจ้าหน้าที่

“การต่อต้านจะถูกตอบกลับด้วยความเกรี้ยวกราด ส่วนความซื่อสัตย์จะได้รับการตอบแทนด้วยการผ่อนปรน นี่ผมอ่านถูกไหมเนี่ย?”

“คุณไม่ใช่อาชญากรจอมโกหกคนแรกหรือคนสุดท้ายที่นั่งอยู่ตรงนั้นหรอกนะ นี่คุณคิดจริง ๆ เหรอว่า...”

“ฟังผมให้ดีนะคุณหัวหน้าหลินผู้ยิ่งใหญ่ ตามกฎหมายแล้วผมเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยเท่านั้นเองนะไม่ใช่คนร้ายสักหน่อยผมยังเป็นประชาชนอยู่! กักขังผมไว้โดยที่ไม่มีหลักฐานแล้วยังจะมาซักไซ้โน่นนี่ผมอีก ทำแบบนี้มันผิดกฎหมายชัด ๆ” เฉินฉียืนกราน

“ไม่มีหลักฐานงั้นเหรอ!?” หลินชิวผูตวาด “ถ้าจำไม่ได้งั้นผมจะช่วยนึกให้แล้วกัน ในคืนที่ 11 กันยายนตอนตีสอง ผู้โดยสารหญิงที่ชื่อว่ากู้เหมิงซิงขึ้นรถคุณไป ข้อความที่เธอส่งไปหาแฟนยืนยันแล้วว่าคุณล่วงละเมิดเธอด้วยคำพูด วันต่อมาเธอถูกพบเป็นศพใกล้แม่น้ำ แถมยังมีร่องรอยถูกข่มขืนชัดเจนมาก คุณกล้าพูดได้ยังไงว่าคุณเป็นผู้บริสุทธิ์?”

สายตาสามคู่จับจ้องมาที่เฉินฉี ใบหน้าของเขาแสดงอาการตกใจก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นเรียบเฉยในทันที

“ตอนเช้าของวันที่ 11 กันยายน มีผู้โดยสารคนสวยนั่งรถผมก็จริง แต่ผมส่งเธอถึงจุดหมายแล้วเป็นโรงแรมเฝิงจื้อหลิน บันทึกการขับของผมก็พิสูจน์ได้” เฉินฉีกล่าวอย่างเรียบเฉย ‘ตอนนี้ถ้าไม่บอกความจริงไปคงถูกสงสัยหนักกว่าเดิมแน่’

“จุดเริ่มต้นของเที่ยวนี้คือที่ไหน?”

“ถนนฉีโหวจื่อตอนนั้นผมกำลังรอผู้โดยสารเรียกประมาณสองชั่วโมงและมีร้านบาร์บีคิวข้างทางอยู่ใกล้ ๆ ด้วย”

“ทำไมถึงรอนานขนาดนั้น?”

“ผมเผลอหลับไปน่ะ”

“เท่าที่ผมรู้ตอนนี้คุณจะผ่านที่เกิดเหตุตั้งแต่โรงแรมเฝิงจื้อหลินไปจนถึงถนนฉีโหวจื่อ”

เฉินฉีกลอกตาส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา “ลองตรวจดูบันทึกการขับของผมดูสิ!”

“บันทึกมันก็ปลอมกันได้”

เฉินฉีหัวเราะออกมาเสียงดัง “ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่คุณต้องการความจริงแบบไหนกันวะ?! ผมบอกไปหมดแล้วคุณก็ยังไม่เชื่อผม พอผมบอกว่ามีหลักฐานคุณก็บอกว่ามันเป็นของปลอม คุณอดที่จะใส่ร้ายป้ายสีผมไม่ได้เลยรึไง? สำหรับคุณแล้วการไขคดีมันเหมือนการนัดบอดเหรอ? รึคุณคิดว่าการสืบสวนเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงแค่ดูจากส่วนใดส่วนหนึ่งแค่นั้น?”

“ดูสถานะตัวเองบ้าง!” หลินชิวผูสั่งอย่างเยือกเย็น

“ผมเป็นคนบริสุทธิ์ที่ถูกกักขังไง แถมเลยเที่ยงไปนานแล้วยังไม่มีอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรให้กินด้วย มิหนำซ้ำไม่ใช่แค่โดนดูถูกด้วยคำพูดแต่คุณยังพยายามบังคับให้ผมรับสารภาพความผิดที่ผมไม่ได้ก่ออีกต่างหาก ผมจะแสดงความไม่พอใจไม่ได้เหรอ?”

สีหน้าของหลินชิวผูแสดงออกราวกับว่ามองขยะอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ข้างตัวเขาขึ้นมาพูดกับคู่สนทนาอยู่สองถึงสามประโยคก่อนจะถามขึ้นว่า “จริงไหมที่คุณล่วงละเมิดผู้โดยสารด้วยคำพูด?”

เฉินฉีตอบราวกับว่าเขากำลังอ่านหนังสือ “ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศด้วยวาจา กฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศในประเทศของเราไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างแรกมีดังนี้ การใช้คำหยาบเพื่อล้อเลียนเพศตรงข้าม ตัวอย่างถัดไปคือเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ทางเพศส่วนตัวแก่ผู้อื่นและเล่าเรื่องลามกหรือเรื่องตลกลามก ตัวอย่างสุดท้ายคืออ่านบันทึกทางเพศของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ในแง่นี้ผมไม่ได้คุกคามเธอด้วยคำพูด ผมแค่คุยกับเธอเท่านั้น”

“อย่ามาบ่ายเบี่ยง! ที่ผมถามคือคุณใช้คำพูดล่วงละเมิดผู้โดยสารรึเปล่า?”

“คุณเองต่างหากที่ไม่เข้าใจนิยามของคำว่าคุกคาม ในความคิดของคุณอะไรคือการล่วงละเมิดล่ะ? การพูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ เหรอ? ขอช่องทางติดต่อเหรอ? ถามไถ่เรื่องครอบครัวเหรอ? ตรงไหนที่ผิดกฎหมาย?”

หลินถงซูถึงกับพูดไม่ออก ด้วยความหวังที่จะเปลี่ยนสถานการณ์เธอจึงเปลี่ยนเรื่องที่ใช้สอบสวน

“ระหว่างทางมาที่สถานีคุณดูสนใจผู้โดยสารที่เป็นผู้หญิงมาก ฉันคิดว่ามันน่าแปลกที่จะทำท่าทีแบบนั้นกับผู้โดยสารหญิงตอนตีสอง”

“นั่นก็แค่ความเห็นของคุณ อย่างแรกเลยคือผมก็แค่เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว อย่างที่สอง ผมชอบผู้หญิงและผมก็โสดอยู่ผมเห็นผู้โดยสารสาวสวยขึ้นรถผมแค่คุยกับเธอมันผิดเหรอ? เมื่อกี้ตอนอยู่ในรถบทสนทนาของผมล่วงละเมิดคุณมั้ย?”

ได้ยินดังนั้นหลินชิวผูจึงหันไปถามหลินถงซูว่า “ไอ้หมอนี่พูดอะไรกับเธอตอนอยู่ในรถ?”

หลินถงซูใช้นิ้วม้วนผมก่อนจะตอบช้า ๆ ว่า “ก็แค่... บทสนทนาธรรมดา”

เฉินฉีเห็นว่าอีกฝ่ายยอมผ่อนปรนให้เล็กน้อยเขาจึงได้โอกาสพูด “ในฐานะชายโสดผมคิดว่ามันปกติมากที่จะสนทนากับเพศตรงข้ามในทุกโอกาสถ้าอยู่ในกฎหมายและสมเหตุสมผล ในเมื่อผมขับรถหาเงินผมจึงอยู่ในรถแทบจะทั้งวัน ถ้าผมไม่พูดคุยกับผู้โดยสารเลยผมคงเหงาตายพอดี”

หลินชิวผูตบมือลงกับโต๊ะ “เลิกเถียงเรื่องหยุมหยิมแล้วมาที่ประเด็นหลักดีกว่า ความจริงคือผู้ตายอยู่บนรถของคุณ คุณล่วงละเมิดเธอ จากนั้นเธอก็ถูกฆ่าข่มขืนระหว่างทาง...”

เฉินฉีเกาคอ “คุณพูดแบบนี้แล้วฟังดูมีเหตุผลดีนะ นี่... ขอผมสูบบุหรี่หน่อยสิ” พูดจบเฉินฉีก็เรียกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งด้วยนิ้วชี้เพื่อขอบุหรี่

เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมาการสูบบุหรี่ในที่นี้หมายถึงการสารภาพ เขาไม่อยากเชื่อว่าชายคนนี้จะสารภาพอย่างรวดเร็วหลังจากที่เถียงกันอยู่นาน หลินชิวผูยื่นบุหรี่ยี่ห้อหนึ่งให้ ขณะที่เขากำลังจะจุดไฟให้นั้นเฉินฉีก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ขอร้องล่ะ คุณพกบุหรี่สองยี่ห้ออันหนึ่งสำหรับอาชญากรอีกอันสำหรับคุณเอง คุณจะหลอกผมเหรอ? เอาอีกอันมาสิ”

“แก!”

“จมูกของผมไม่ได้มีไว้แค่ประดับนะ ผมได้กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อนี้จากคุณล่ะ”

หลินถงซูนำมือขึ้นมาบังปากไว้เพื่อพยายามกลั้นเสียงหัวเราะหลินชิวผูหยิบบุหรี่ยี่ห้อดังกล่าวออกมาจากกระเป๋ามาหนึ่งมวนก่อนจะจุดไฟให้เฉินฉีที่พ่นควันออกมาด้วยความพึงพอใจทั้งสามคนกำลังรอให้เขาสารภาพแต่สิ่งเดียวที่ออกมาจากปากเขาก็มีเพียงแค่ควันบุหรี่เท่านั้น

เมื่อไฟของบุหรี่ดับลงหลินชิวผูก็เร่งเร้า “นี่ เริ่มพูดความจริงได้แล้วใช่มั้ย?”

เฉินฉีแหงนมองขึ้นบนเพดานและเริ่มทบทวนอย่างใช้อารมณ์ “สามสิบปีที่แล้ว”

“ทำไมต้องย้อนกลับไปไกลตั้งสามสิบปีก่อนด้วย?” เจ้าหน้าที่ผู้จดบันทึกพูดอย่างขุ่นเคือง

“สามสิบปีก่อนในคืนฤดูใบไม้ร่วง หมาที่บ้านคุณถูกรถชน วันถัดมาคุณก็คลอด!”

“แกนี่มัน!” หลินชิวผูลุกขึ้นยืนตบโต๊ะอย่างแรงที่แม้แต่ภูเขายังต้องสั่นสะเทือน

“ใจกล้าน่าดูนี่ ดูถูกเจ้าหน้าที่ขนาดนี้แกว่งเท้าหาเสี้ยนชัด ๆ!”

เฉินฉีดับบุหรี่ “ผมแค่พูดถึงสองเหตุการณ์เองผมได้พูดถึงการกลับชาติมาเกิดซะที่ไหน ผมพูดจาดูถูกตรงไหนเนี่ย?”

หลินถงซูพยายามกลั้นหัวเราะส่วนหลินชิวผูกำลังโกรธมากแต่ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เหลือบมองไปที่เฉินฉีเท่านั้นขณะที่เจ้าที่ผู้จดบันทึกทำสีหน้างุนงงไม่รู้ว่าควรจะจดบันทึกบทสนทนาสุดท้ายในการสอบสวนอย่างไร

เฉินฉีให้เหตุผลว่า “ที่คุณพูดถึงเมื่อกี้เป็นข้อเท็จจริงที่ผมยอมรับว่าถูกต้อง แต่ยังไงการไปอยู่ผิดที่ผิดทางก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นสาเหตุหรือผลลัพธ์ แล้วมันยังไม่ได้บ่งบอกว่ามีความเชื่อมโยงกันเพียงเพราะคุณเอามารวมกันเป็นประโยคจนกว่าจะมีหลักฐานเป็นรูปธรรมมันก็เป็นแค่เหตุการณ์ที่แยกจากกัน!”

“เยี่ยมมาก! เยี่ยมจริง ๆ!” หลินชิวผูแพ้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่รู้จะพูดอะไรในนาทีนี้

หลินถงซูคิด ‘หมอนี่ไม่เหมือนคนร้ายทั่วไปที่พูดโกหกกับทุกคำถาม อันที่จริงเขาพูดด้วยเหตุผลโดยที่ไม่หลบเลี่ยงคำถามใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีประเด็นที่น่าสนใจ ความคิดเขามีรายละเอียดและไร้ข้อบกพร่อง คนคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลยบางทีอาจจะจริงก็ได้ที่เขาไม่ใช่ฆาตกร’

หลินถงซูเหลือบมองท่าทีที่โกรธจัดของหลินชิวผูและรู้สึกละอายใจต่อความสงสัยในใจและความเชื่อมั่นที่เริ่มสั่นคลอน

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งนำผลการตรวจสอบบันทึกการขับรถของเฉินฉีมาให้หลินชิวผู เขาเหลือบมองและพูดคุยกันอยู่สองสามคำก่อนจะพยักหน้าเพื่อแสดงให้เจ้าหน้าที่คนนั้นรับรู้ว่าเขาออกไปได้แล้ว

หลินชิวผูพลิกดูเอกสารไม่กี่หน้าของแฟ้มที่เขาถืออยู่

“โอ้ ดูเหมือนว่าไอ้สิ่งที่คุณเรียกว่าหลักฐานเนี่ยมันไม่ค่อยเอื้อให้คุณซักเท่าไหร่นะ...”

“โอ๊ย พอสักทีเถอะ!” เฉินฉีพูดอย่างเหลืออด “คุณกำลังพยายามทำให้ผมประหม่าด้วยความว่างเปล่า ผมรู้ว่าลาโง่อย่างคุณไม่เหลือไพ่ในมือแล้ว วันนั้นทั้งวันผมมีลูกค้าแค่คนเดียว ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าผมจะต้องไปไหน?”

หลินชิวผูหน้าเจื่อนหลังจากที่แผนการเขาถูกจับได้ “คุณเรียกใครว่าลาโง่!?”

“คุณสอบตกการตีความรึยังไงเนี่ย? ผมไม่ได้บอกว่าคุณเป็นลาโง่... มันเป็นสำนวนต่างหาก ผมไม่ได้พูดว่า ‘เจ้าทึ่มกัปตันหลิว’ สักหน่อยใช่มั้ย? อีกอย่างทำไมผมต้องพูดถึงลาในแง่ลบด้วยล่ะ? มันเป็นสัตว์ที่ทั้งขยันและสดใส ขอโทษลาทั้งโลกเดี๋ยวนี้นะ!” หลินชิวผูโมโหและอับอายมากจนทั้งใบหน้าของเขารวมถึงหูกลายเป็นสีแดง เป็นครั้งแรกที่เขาถูกผู้ต้องสงสัยทำให้อับอายขายหน้าแบบนี้ ‘ดูเหมือนจะต้องเอาจริงแล้วสินะ!’

หลินชิวผูหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและจงใจสั่งอย่างเสียงดังว่า “เสี่ยวหวาง! ปิดระบบกล้องวงจรซะ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด