ตอนที่แล้วบทที่ 3 ตกเป็นผู้ต้องสงสัย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 ถ้าซื่อสัตย์จะได้รับการผ่อนปรน ถ้าโกหกจะได้รับโทษหนัก

บทที่ 4 ข้อสันนิษฐาน


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 4 ข้อสันนิษฐาน

เมื่อพวกเขากลับมาที่รถแล้ว เฉินฉีก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวนก่อนจะถามว่า

“คุณตำรวจครับ ผมขอสูบบุหรี่ซักมวนก่อนได้ไหม?”

“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ!” หลินถงซูพูดเสียงแข็ง “อ้อ ฉันจะจ่ายเงินคืนให้คุณเลยก็แล้วกัน”

เฉินฉีหยิบโทรศัพท์ออกมาและยื่นให้เธอ บนจอโทรศัพท์นั้นแสดงคิวอาร์โค้ดทิ้งไว้ หลินถงซูกำลังจะยื่นโทรศัพท์ไปสแกนเพื่อจ่ายเงินแต่ปรากฏว่ามันเป็นคิวอาร์โค้ดสำหรับเพิ่มเพื่อน เธอจึงขมวดคิ้ว

“นี่หมายความว่าไง? ใครจะไปอยากเพิ่มคนแบบคุณเป็นเพื่อนบนวีแชทกัน!?”

เฉินฉียิ้มและถามว่า “ก็แค่เพิ่มผมเป็นเพื่อนบนวีแชทเองเป็นปัญหาใหญ่ตรงไหน?”

“ฉันหมายความว่าฉันไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเพิ่มคุณเป็นเพื่อนบนวีแชทสักหน่อย! คุณคือผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมนะ อย่ามาล้อฉันเล่นแบบนี้!” หลังจากหยุดไปชั่วครู่ หลินถงซูก็ถามขึ้นว่า “แรงจูงใจของคุณคืออะไรกันแน่?”

“คุณหมายความว่าไง ‘แรงจูงใจของผม’ งั้นเหรอ ผมไม่มีแรงจูงใจอะไรทั้งนั้นแหละ”

“คุณรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคุณทำอะไรลงไป! นอกจากนั้นคุณยังวางแผนที่จะให้ฉันเพิ่มเป็นเพื่อนคุณตั้งแต่แรกอีก อย่างแรกเลย คุณแกล้งทำเป็นไม่สนใจว่าฉันเป็นตำรวจ หลังจากนั้นคุณก็พยายามทำตัวว่าตัวเองเป็นคนดีต่อหน้าฉัน และคุณก็ยังพยายามที่จะติดสินบนฉันด้วยรองเท้าฟรีสักคู่ อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันนะ! เพื่อนร่วมงานฉันสืบประวัติของคุณมาหมดแล้ว”

เฉินฉียิ้มอย่างขมขื่น “ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าผมทำอะไรลงไป ทำไมคุณไม่บอกอะไรผมสักหน่อยล่ะ?”

“คุณทำอะไรอยู่ในคืนที่ 10 กันยายน?”

“ผมทำงานแล้วก็ไปดื่มกับเพื่อนร่วมงานนิดหน่อย หลังจากนั้นก็กลับบ้านไปอาบน้ำ เสร็จแล้วก็เข้านอน”

หลินถงซูยิ้มเยาะ “อย่าคิดว่าฉันจะเชื่อคุณง่าย ๆ คุณทำอะไรอีก?”

“คุณคิดว่าชีวิตคนขับรถอย่างผมจะอู้ฟู่น่าตื่นเต้นเหรอ? เอาแบบนี้ไหม ทำไมคุณไม่เตือนสติแล้วเรียกความจำผมหน่อยล่ะว่าผมควรจะทำอะไรลงไป?”

“เลิกทำเป็นไขสือได้แล้ว! คุณแค่พยายามทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้นแหละ อย่าคิดว่าจะหลอกฉันได้!”

เฉินฉีกดบุหรี่ลงกับถาดเขี่ยแล้วชี้ไปที่หน้าของเขา “ดูที่หน้าหล่อ ๆ นี่สิ หน้าแบบนี้เนี่ยนะจะเป็นผู้ต้องสงสัยได้?”

“การแยกแยะว่าเป็นคนดีหรือเลวมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตา!”

“นั่นไม่จริงเสมอไปสักหน่อย มันอาจไม่ได้โชว์หราไว้บนหน้าก็จริง แต่มันก็มี ‘บางคำ’ ที่ต้องใช้สายตาที่เฉียบแหลมเพื่อที่จะเปิดโปงว่าคนคนนั้นมีบุคลิกที่เป็นคนเลวรึเปล่า อย่างเช่นคนที่ขโมยกระเป๋าเมื่อกี้ แค่ชำเลืองดูผมก็รู้ได้เลยทันทีว่าเขากำลังหวาดระแวงและกระวนกระวายมากต่างจากคนทั่วไป”

เสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์ดังขึ้น หลินถงซูเห็นว่าพี่ชายของเธอส่งข้อความมาตั้งแต่ตอนที่เธอลืมไว้บนรถ ถามว่าทำไมเธอถึงยังมาไม่ถึงสักที

หลินถงซูสั่งเฉินฉี “สตาร์ตรถเดี๋ยวนี้เลย!”

เธอเปิดประตูเข้าไปนั่งที่เบาะผู้โดยสารก่อนจะจับมือขวาของเฉินฉี แขนของเขามีสีขาวและเรียวบาง ดูไม่เหมือนคนที่ใช้แรงงานมาเป็นเวลานาน เฉินฉียิ้มแล้วถามว่า “มีอะไรเหรอ? คุณดูลายมือเป็นด้วยเหรอเนี่ย?”

คำตอบที่เขาได้รับคือเสียงของกุญแจมือที่สวมเข้าที่ข้อมือขวาของตนเอง ขณะที่หลินถงซูกำลังจะนำอีกข้างของกุญแจมือใส่เข้าที่ข้อมือของเธอ เฉินฉีก็กล่าวอย่างเฉียบคมว่า “ยัยเซ่อ แบบนี้ผมจะมีสมาธิตั้งใจขับรถได้ยังไง? เอาอีกข้างคล้องกับพวงมาลัยไว้สิ!”

หลินถงซูมองไปที่เขาด้วยความไม่พอใจ เฉินฉีอธิบายว่า “ผมต้องใช้มือขวาเปลี่ยนเกียร์ และต้องใช้มือซ้ายจับพวงมาลัย คุณขับรถเป็นมั้ยเนี่ย?”

“เงียบนะ! ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดไร้สาระจากคุณอีก!”

หลินถงซูปลดล็อกกุญแจมือออก และพาดร่างของเธอผ่านลำตัวของเฉินฉีเพื่อใส่กุญแจมือที่มือซ้ายของเขาขณะที่อีกด้านคล้องไว้กับพวงมาลัย เฉินฉีมองไปที่การกระทำที่แสนงุ่มง่ามของเธอพลางคิดในใจว่า ‘ต่อให้ฉันทำให้เธอสลบซะตรงนี้แล้วแย่งกุญแจของเธอมาก็คงไม่มีปัญหาเลย’

ในขณะเดียวกัน บางอย่างก็แทรกเข้ามาในความคิดเขา ‘ผู้หญิงคนนี้หุ่นดีเป็นบ้า!’

หลังจากสตาร์ตรถขึ้นมาอีกครั้ง เฉินฉียิ้มขึ้นมาบาง ๆ และถามว่า “คุณชื่ออะไร?”

“ฉันไม่เสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระกับผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมหรอกนะ!”

เฉินฉีส่ายหัวเบา ๆ “คุณเอาแต่พูดว่าผมเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม นั่นมันฟังดูแย่มากเลยนะ ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้เป็นคนผิดขึ้นมาล่ะ?”

ดวงตาของหลินถงซูเกิดอาการสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมองเห็นสายตาของเขาที่จ้องมองมาด้วยความจริงใจ ‘ผู้ชายคนนี้ดูแตกต่างไปจากฆาตกรคนอื่นอยู่บ้าง แต่พอลองคิดดูแล้วประวัติเขาเลวร้ายมาก มันจะไม่ใช่เขาได้ยังไง?’

“เป็นไปไม่ได้!”

“ผมพูดว่า ‘ถ้าเกิดว่า’ ทำไมเราไม่ลองเสี่ยงดูล่ะ?”

“งั้นฉันต้องลองเสี่ยงกับอะไร?”

“ถ้าผมสามารถพิสูจน์ได้ว่าผมเป็นคนบริสุทธิ์ คุณจะต้องเลี้ยงข้าวผมหนึ่งมื้อ”

“ฉันไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด!”

“นี่คุณ! ฟังนะ ผมเป็นแค่คนขับรถที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผมก็กำลังถูกเชิญไปให้ปากคำกับพวกคุณ สำหรับคุณแล้วนี่อาจเป็นเรื่องเล็กแต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม เพื่อน ๆ กับครอบครัวของผมเขาจะคิดว่ายังไงกัน? ยิ่งกว่านั้นวันนี้ผมเสียรายได้ไปหลายหมื่นเลยนะ พวกคุณจะรับผิดชอบยังไงไหว?”

“หลายหมื่น? นี่คุณกำลังจะบอกว่ารถคุณฝังเพชรไว้หรือยังไง?”

“ก็อาจจะ เท่าที่ผมรู้ผมอาจจะต้องไปส่งผู้หญิงอุ้มท้องรวย ๆ คนหนึ่งที่โรงพยาบาลเพื่อคลอดลูก ถ้าเธอใจดีก็อาจจะให้เงินกับผมสักหน่อยก็เป็นได้”

“คุณนี่พูดได้ไหลลื่นเหลือเกินนะ?” หลินถงซูรู้สึกรังเกียจ เธอเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุด เธอเกลียดเฉินฉีมากกว่าซูเสี่ยวตงที่เซ้าซี้เธอไม่เลิกซะอีก

เฉินฉีไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดและยังคงสะกิดเธอด้วยข้อศอกของเขา “ว่ายังไงล่ะ คุณไม่เสียอะไรเลยนะ!”

“ก็ได้!” เธอยอมว่าตามอย่างหงุดหงิด “เพราะยังไงคุณก็ไม่สามารถพิสูจน์ว่าคุณบริสุทธิ์ได้อยู่แล้ว!”

“ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้” เฉินฉีมองไปที่เธอและยิ้มเล็กน้อย

เฉินฉีขับรถอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งถึงทางแยก ขณะที่ติดไฟแดงอยู่เขาก้มหัวลงและเริ่มเล่นโทรศัพท์ ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ของหลินถงซูก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมา ในวีแชทระบุว่ามีผู้ใช้ที่ชื่อว่า ‘หมาป่ายักษ์สีเทา’ ซึ่งตั้งโปรไฟล์เป็นรูปดาราดังคนหนึ่งเพิ่มเธอเป็นเพื่อน

“ที่แท้เบอร์โทรของคุณก็คือหมายเลขเดียวกับวีแชทนั่นเอง!” เฉินฉีหัวเราะ

หลินถงซูจ้องมองที่เขาในขณะที่เฉินฉีเย้าแหย่

“รับผมเป็นเพื่อนสิ ไม่อย่างนั้นคุณจะติดต่อผมตอนคุณจะเลี้ยงข้าวได้ยังไงล่ะ?”

หลินถงซูไม่เคยเจอใครที่หน้าหนาขนาดนี้มาก่อน เธอกดไปที่ปุ่มยอมรับเฉินฉีเป็นเพื่อนและทำให้แน่ใจว่าคนอื่นจะไม่เห็นชื่อเขาในรายการเพื่อนของเธอ

เมื่อทั้งคู่เดินทางถึงบริเวณสถานีหลินถงซูเห็นหลินชิวผูและคนอื่น ๆ ยืนรออยู่ข้างนอก ราวกับว่าพวกเขาปูพรมแดงให้ดารา เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินมาหาพวกเขาทีละคนเพื่อยกย่องความดีความชอบอย่างที่สุดของหลินถงซู โดยพูดว่าเธอโชคดีมากที่สามารถคุ้มกันผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมมาได้เร็วแทบจะทันทีที่เธอออกจากห้องประชุมไป

หลินชิวผูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถงซู ถ้าคดีนี้ถูกไขได้แล้ว เราจะจดจำการกระทำที่มีเกียรตินี้ให้ดีเลย”

ในตอนนั้นเองประตูรถก็ได้เปิดออกและเฉินฉีที่ยิ้มพลางโบกมือทักทายทุกคน

“สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อเฉินฉี นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว! มีอาหารกลางวันให้กินมั้ยครับ?”

ทุกคนต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยเจอผู้ต้องสงสัยที่ทำตัวสนิทสนมกับพวกเขามาก่อน หลินถงซูกระซิบ

“หมอนี่เป็นคนเจ้าเล่ห์ อย่าไปหลงกลเขาเชียว!”

หลินชิวผูเรียกเจ้าหน้าที่มาสองนาย เขาพูดว่า “เสี่ยวไห เสี่ยวหวัง พาตัวเขาไปที่ห้องสอบสวน!”

สองชั่วโมงต่อมา ประตูห้องสอบสวนถูกเปิดออกเสียงดัง ตำรวจสองนายรีบรุดออกมา

“ผมทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว หมอนี่มีเหตุผลไร้สาระ มากตรรกะ และยังระมัดระวังกับคำให้การด้วย เราไม่สามารถเข้าใจอะไรเขาได้เลย หัวหน้า คุณต้องสอบปากคำเขาเองแล้วล่ะ!”

หลินชิวผูวางถ้วยชาในมือลง “เดี๋ยวผมจะไปคุยกับเขาดู!”

หลินถงซูคว้าเสื้อแจ็คเก็ต

“ฉันเข้าไปด้วยสิ!”

‘ถ้าไม่ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของพี่ชายด้วยตาตัวเองคงน่าเสียดายแย่!’

เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้องสอบสวน เฉินฉียังบ่นไม่หยุด

“เก้าอี้ตัวนี้นั่งไม่สบายเลย ริดสีดวงของผมจะกำเริบอีกแล้ว ขอหมอนรองหน่อยได้มั้ย”

หลินชิวพูวางแฟ้มข้อมูลของคดีลงและถอนหายใจ “ในเมื่อคุณเลือกที่จะละเมิดกฎหมาย ก็สมควรแล้วที่คุณจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ถ้าคุณอยากสบายก็ใช้ชีวิตอย่างสุจริตสิ!”

เฉินฉีกล่าวเตือน “ผมจะพูดย้ำอีกรอบนะว่าผมไม่ใช่อาชญากร ตอนนี้ผมเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย การที่ทำกับผมเหมือนที่ทำกับอาชญากรนี่ผมว่าคุณกำลังคิดผิดจากมิตรเป็นศัตรู เนื่องจากตอนนี้เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น คุณทำให้ผู้บริสุทธิ์สับสนจนกระทั่งเขายอมรับสารภาพทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พูดให้ดูดีก็คือนี่เป็นการละเลยหน้าที่ปัจจุบันของคุณ ถ้าจะพูดหยาบ ๆ ก็คือทัศนคติแย่ ๆ ของคุณเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ!”

หลินชิวผูฟาดมือลงบนโต๊ะอย่างแรง

“อย่ามัวแต่เล่นลิ้นอยู่เลย! ผมจะไม่พูดอ้อมค้อมแล้วนะ! ในคืนที่ 10 กันยายน คุณกำลังทำอะไรอยู่? สารภาพมาให้หมด!”

“ถ้างั้นผมเองก็จะตอบคุณอย่างตรงไปตรงมา!” เฉินฉีเริ่มทวนความทรงจำของตัวเองด้วยนิ้ว “ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มครึ่ง ผมกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารข้างทางกับเพื่อนที่เป็นคนขับรถเหมือนกัน ผมเริ่มทำงานกะของผม ได้รับคำสั่งและไปรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่ทุ่มครึ่งจนถึงตีสอง คุณไปย้อนดูจากที่บันทึกไว้แล้วก็ได้ จนตีสองครึ่งผมก็กลับถึงบ้านจากนั้นก็อาบน้ำแล้วจึงเข้านอน”

ผู้บันทึกเสียงกระซิบ “เขาพูดเหมือนที่พูดไว้ก่อนหน้าเป๊ะเลยครับ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด